ตอนที่ 38 กลิ่นคาวเลือด

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 38 กลิ่นคาวเลือด

เวลานี้เฉียนจินหวู่ผลักประตูและได้ยินเฉียนเซียงเซียงกำลังพูดถึงเจ้าปัญญาอ่อนนั่นอยู่พอดี เขาจึงส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย “หึ ๆ เจ้าเป็นอะไรกันเซียงเซียง เจ้าปัญญาอ่อนนั่นหาเรื่องเจ้ารึ ?”

เนื่องจากพวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการใกล้ชิดกันของชายหญิงเท่าไหร่นัก

เมื่อเจียงต้ายาที่นอนอยู่บนเตียงอิฐเห็นเฉียนจินหวู่ นางก็นึกถึงเรื่องที่แม่ของนางอยากให้นางแต่งงานกับเฉียนจินหวู่ก่อนหน้านี้ คิดได้ดังนั้น สายตาของนางก็หม่นลงเล็กน้อย

จะเสียใจทีหลังหรือไม่นั้น คงมีแต่เจียงต้ายาเท่านั้นที่รู้!

เจียงเอ้อยายังอายุไม่ถึงวัยที่จะมีความคิดที่เต็มไปด้วยอารมณ์รัก แต่ช่วงนี้แม่ของนางก็ได้พูดความในใจให้นางฟังแล้ว แม่บอกว่าจะให้นางแต่งเข้าไปในบ้านของป้าสอง

เดิมทีเจียงเอ้อยายังคงลังเลใจ ทว่าเมื่อนางเห็นเสื้อผ้าของเฉียนเซียงเซียงที่แตกต่างจากเด็กผู้หญิงในหมู่บ้าน หัวใจของนางก็สั่นคลอนแทบจะในทันที

ดูอย่างพี่ของนางสิ บอกว่ารักชอบกับหม่าเฉิงหยวนอะไรนั่น ทั้งยังสัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตอีกต่างหาก แต่สุดท้ายกลับแลกมาด้วยอะไรกันล่ะ ?

ตอนนี้ก็นอนอยู่บนเตียงอิฐมาหลายวันแล้ว สีหน้าขาวซีดราวกับผี ซ้ำร้ายสภาพยังร่อแร่ขนาดนั้น

คุ้มแล้วหรือ ?

คิดได้ดังนั้น ตอนที่เจียงเอ้อยามองเฉียนจินหวู่อีกครั้ง ในใจของนางก็มีคลื่นลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น  เมื่อมองดี ๆ พี่ชายของนางก็รูปร่างสูงใหญ่อยู่พอสมควร แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะไม่ได้โดดเด่นมาก แต่อย่างน้อยก็คิ้วเข้มตาโต ในชีหลี่โวดูเหมือนจะไม่มีใครล่ำสันไปกว่าพี่ชายของนางแล้ว

หัวใจดวงน้อยของเจียงเอ้อยาอดไม่ได้ที่จะเต้นเร็วและแรงขึ้น

เฉียนเซียงเซียงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของเจียงต้ายาและเจียงเอ้อยา นางทำปากจู๋และทำการฟ้องเฉียนจินหวู่ “พี่ เจ้าปัญญาอ่อนนั่นร้ายมากเลยนะ นางแอบฟ้องท่านย่าลับหลัง ทั้งยังรังแกพี่เอ้อยาด้วยแหละ”

เฉียนจินหวู่รู้สึกคันไม้คันมือเล็กน้อย: “ไอ้โย! เจ้าปัญญาอ่อนนั่นแสดงฝีมือแล้วรึ ? ไม่ได้การ ประเดี๋ยวข้าจะต้องจัดการนางสักหน่อยแล้ว ให้นางได้เห็นความร้ายกาจสักหน่อยเป็นไร!”

เจียงเอ้อยาเงยหน้าขึ้นมา นางชำเลืองมองเฉียนจินหวู่เล็กน้อย จากนั้นก็รีบก้มหน้าลง แต่นางกลับหน้าแดงอย่างอดไม่ได้

ทุกเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครสนใจเจียงเหมยฮัวที่กำลังทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ตรงมุมห้องอย่างเงียบ ๆ เลยสักคน

เนื่องจากงานแต่งของเจียงต้ายาล้มเหลวแล้ว เดิมทีงานเย็บปักถักร้อยสองชิ้นที่เจียงต้ายาให้เจียงเหมยฮัวทำให้ก็ถูกดองไปแล้ว เจียงเหมยฮัวจึงโล่งใจจากเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นางยังต้องเร่งทำงานเย็บปักถักร้อยที่หลีโผจื่อบอกให้ทำ

เจียงเหมยฮัวเย็บงานตรงมุมห้องอย่างเงียบ ๆ

เมื่อเฉียนจินหวู่กับเฉียนเซียงเซียงบอกว่าจะต้องจัดการเจียงป่าวชิง พวกเขาก็ไม่รอช้า รีบพากันไปเรียกเจียงโหย่วฉายให้ไปขุดโคลนสองถังที่ริมแม่น้ำด้วยกัน และวางแผนว่าถึงตอนนั้นพวกเขาจะสาดโคลนใส่เจียงป่าวชิงเพื่อเป็นการสั่งสอนนาง

แต่ตอนที่เฉียนจินหวู่กับเจียงโหย่วฉายถือโคลนสองถังกลับมาอย่างอารมณ์ดี กลับพบว่ามีแม่กุญแจทองเหลืองขนาดใหญ่คล้องอยู่ที่ประตูด้านนอกห้องดินเหนียว แสดงให้เห็นว่าเจียงป่าวชิงออกไปข้างนอกเสียแล้ว

เฉียนจินหวู่รู้สึกงงงวยเล็กน้อย

ส่วนเจียงโหย่วฉายนั้น เขาโมโหจนถีบประตูใหญ่สองทีแรง ๆ จากนั้นก็สาดโคลนสองถังนั้นไปที่ประตูห้องดินเหนียว ทำเสร็จเขาถึงจะยอมเลิกรา

ทางด้านเจียงป่าวชิง ตอนนี้นางได้เข้าไปในป่าลึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมบอก ‘เธอ’ ว่าเฉียนจินหวู่คนนั้นชอบรังแกเจียงป่าวชิงมาตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้รูปร่างของเขาก็ล่ำสันถึงขนาดนั้น  ต่อให้ ‘เธอ’ มีของแหลมคมจำพวกเข็ม ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมก็จัดว่าผอมซูบเกินไป  เกรงว่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่า

สู้เลี่ยงหนีออกมาอย่างนี้จะดีกว่า

เมื่อคิดได้ดังนั้น เจียงป่าวชิงก็ทำการซ่อนงานเย็บปักถักร้อยในมือทันที จากนั้นก็วางเศษผ้าให้กระจัดกระจายไปทั่วเตียงอิฐ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการปลอมแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่แค่นี้ยังไม่พอ นางดึงโซ่ทองแดงที่แลกด้วยทองแดงสิบกว่าแผ่นจากร้านตีเหล็กในหมู่บ้านเมื่อสองสามวันก่อนออกมา จากนั้นก็ทำการปิดห้องดินเหนียวที่ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรด้วยแม่กุญแจ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการรับประกันอย่างหนึ่งว่าห้องของนางจะปลอดภัย

เจียงป่าวชิงนำเสื้อผ้าเก่าที่มีรูมากมายและที่ไม่ใช้แล้วมาตัดกระเป๋าออกแล้วเย็บเป็นสายพาดไหล่เพื่อทำเป็นกระเป๋าผ้าสะพายหลังง่าย ๆ ในมือของนางมีพลั่วขนาดเล็กที่เพิ่งแลกมาด้วยเงินสองสลึงจากร้านตีเหล็ก และนางกำลังเตรียมตัวเข้าไปในภูเขาเพื่อไปขุดสมุนไพรเพื่อนำมาตากแดด

ถึงอย่างไรพื้นฐานร่างกายของนางก็ค่อนข้างอ่อนแออยู่พอสมควร ความอ่อนแอประเภทนี้ ไม่ใช่ว่าออกกำลังกายง่าย ๆ แล้วจะสามารถเติมเต็มสิ่งที่ขาดกลับมาได้ทำนองนั้น

ช่วงแรกที่เจียงป่าวชิงออกกำลังกาย ก็เพื่อต้องการเคี่ยวเข็ญให้ร่างกายนี้มีความอดทนเพิ่มขึ้นก็เท่านั้น  หลายปีมานี้ตระกูลเจียงบอกว่าเลี้ยงดูนาง แต่แท้ที่จริงหากพูดตรง ๆ การกระทำของพวกเขาคือการที่พวกเขาไม่ปล่อยให้นางหิวตายเท่านั้นเอง

ร่างกายนี้ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง และอ่อนแอจนทำให้ทนดูต่อไปไม่ไหว อีกอย่าง เจียงป่าวชิงกลัวว่าถ้าหากตัวเองกินยาบำรุงเข้าไปแล้ว มันจะเป็นการบำรุงจนตัวตาย

ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย ก่อนหน้านี้ที่เจียงป่าวชิงจับไก่ป่าได้หนึ่งตัว ตอนที่นางกินไก่มื้อแรกก็กลับรู้สึกว่ากระเพาะของตัวเองรับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์แบบนี้ไม่ไหว แต่ก็โชคดีที่ต่อมานางไม่ได้ท้องเสียจนตาย

เพราะเจียงป่าวชิงรู้เรื่องการฝังเข็ม นางจึงฝังเข็มให้ตัวเอง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่เจอสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคนคนนั้นคงจะตายไปเสียแล้ว

ร่างกายที่ได้ออกกำลังกายในช่วงแรกถือได้ว่าเป็นพื้นฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ  ตอนนี้เจียงป่าวชิงตั้งใจจะกินยาและกินของบำรุงร่างกายควบคู่กันไป เพื่อจะได้ซ่อมแซมร่างกายของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

‘การปฏิวัติยังไม่ประสบความสำเร็จ สหายยังไม่สามารถล้มลงได้!’ เจียงป่าวชิงแอบให้กำลังใจตัวเองในใจ

ตลอดหลายวันมานี้ ถือได้ว่าเจียงป่าวชิงมีความคุ้นชินต่อเส้นทางในป่าลึกเป็นอย่างดีแล้ว นางเดินทะลุป่าพวกนี้ราวกับใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งนางยังเก็บเห็ดหอมที่กินได้จำนวนมากจากรากของต้นไม้ที่เน่าผุอีกด้วย

เพื่อจะขุดสมุนไพรให้ได้เยอะ ๆ วันนี้เจียงป่าวชิงจึงเดินเข้าไปในป่าลึกกว่าปกติ  ทว่ายิ่งนางเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น

เจียงป่าวชิงใช้จมูกสูดดมกลิ่นเล็กน้อย แล้วก็ต้องขมวดคิ้วทันที

คนที่ประกอบอาชีพหมอมักจะไวต่อกลิ่นคาวเลือดมาก ยิ่งถ้ามีกลิ่นคาวเลือดลอยอยู่ในอากาศโดยรอบแล้วละก็… แม้จะเป็นกลิ่นอ่อน ๆ แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นจมูกของเจียงป่าวชิงไปได้  นางเดินไปไม่กี่ก้าวก็นั่งยอง ๆ ลง  ดูเหมือนว่าจะมีรอยเลือดอยู่บนพุ่มไม้ตรงนี้

เจียงป่าวชิงใช้นิ้วสัมผัสเล็กน้อย จากนั้นก็บดขยี้และนำมาดมที่ใต้จมูก

เป็นเลือดคนจริง ๆ ด้วย! ทั้งยังสดใหม่อยู่เลย

ก่อนหน้านี้คงจะมีการต่อสู้นองเลือดเกิดขึ้นที่นี่เมื่อไม่นานมานี้กระมัง ?

เจียงป่าวชิงไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับเรื่องยุ่งยากเป็นที่สุด นางวินิจฉัยทิศทางคร่าว ๆ ของรอยเลือดเล็กน้อย จากนั้นก็วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับรอยเลือดอย่างแน่วแน่

‘เกิดเป็นคนต้องมีวันหนึ่งที่เย็นชาและไร้ความรู้สึกบ้าง… ข้าจะบอกให้เจ้าฟังว่าแบบนี้ถึงจะส่งผลดีต่อตัวเอง’ เจียงป่าวชิงพึมพำในใจ ‘หากอยากมีชีวิตนาน ๆ ก็ต้องอยู่ให้ห่างจากเรื่องนองเลือดเหล่านี้ ถึงคนเป็นหมอจะต้องมีจิตใจเมตตา แต่ก็ต้องมีชีวิตของตัวเองก่อนถึงจะมีความเมตตาได้ ไม่อย่างนั้นความเมตตาของตนก็จะเหมือนกับผักจี่!’

เจียงป่าวชิงวิ่งอย่างเร่งรีบ เถาวัลย์และหญ้าในป่าขูดขีดแขนขานางจนเกิดเป็นรอยเลือด แต่นางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เอาแต่วิ่งสวนทางกับรอยเลือดที่ตัวเองเพิ่งพบอย่างตั้งใจ

เจียงป่าวชิงวิ่งสะดุดและชนนั่นนี่บ้าง ทั้งยังไม่รู้เลยว่าตัวเองวิ่งมานานเพียงใดแล้ว นางจำได้เพียงราง ๆ ว่าด้านหน้าเป็นลำธารที่แยกออกมาจากแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำคราด

ในที่สุด ด้านหน้าก็ดูเหมือนจะเป็นฝั่งลำธาร ก้อนกรวดเหล่านั้นที่อยู่บนริมลำธารกระจัดกระจายอยู่บนฝั่งลำธารภายใต้แสงสว่างที่อยู่ใต้แสงแดด

เจียงป่าวชิงหายใจเหนื่อยหอบ นางเอามือค้ำหัวเข่าไว้และหอบหายใจอยู่บนริมลำธารทั้งอย่างนั้น

ต่อมาเมื่อหายใจสะดวกขึ้นมาบ้างแล้ว ร่างกายของเจียงป่าวชิงกลับดีดขึ้นอย่างฉับพลัน นางเพิ่งได้กลิ่นคาวเลือดที่นี่ตรงนี้… และดูเหมือนจะแรงอยู่พอสมควร

เจียงป่าวชิงค่อย ๆ ใช้มือคลำบริเวณเอวของตัวเอง