ก่อนจะเลิกงานในวันศุกร์ เหลิ่งรั่วปิงก็รับสายจากหนานกงเยี่ย “คืนนี้ตอนหนึ่งทุ่มไปร่วมงานเลี้ยงที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถกับผมหน่อย”
เหลิ่งรั่วปิงหยุดชะงักไปชั่ววูบ นี่เป็นครั้งแรกที่หนานกงเยี่ยพาเธอออกไป แต่ก่อนหน้าไม่ว่าข่าวลือจะลือกันอย่างดุเดือดมากแค่ไหน เขากับเธอก็ยังคงรักษาระยะห่างกันเอาไว้ ต่อให้อยู่ในบริษัทก็บังเอิญเจอกันไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาก็ไม่แสดงสีหน้าอะไรให้กับเธอเลย และเธอเองก็อยู่เป็น ไม่เคยไปถามเรื่องจุกจิกของเขา
“คุณหนานกงคะ อยากถามหน่อยคะว่างานเลี้ยงเป็นงานแบบไหน ดิฉันจะได้เตรียมชุดและแต่งตัวถูก?” เหลิ่งรั่วปิงเอ่ยพูดด้วยเสียงเรียบเฉย ต่อหน้าหนานกงเยี่ย เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใดๆ ทำได้เพียงทำตามคำสั่งทุกอย่าง
“ไปเจอะเพื่อนๆ ไม่กี่คนเท่านั้น แต่งตัวธรรมดาก็พอ” น้ำเสียงของหนานกงเยี่ยฟังไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ
“ค่ะ” เธอจึงวางสายลง แล้วก็เริ่มเก็บของเพื่อเลิกงาน หนานกงเยี่ยบอกว่าไปเจอเพื่อน เหลิ่งรั่วปิงจึงเดาออกว่าเป็นใคร คนอย่างหนานกงเยี่ยไม่ค่อยมีเพื่อน ส่วนมากคนที่เขารู้จักก็มักจะเป็นคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันเฉยๆ เพื่อนที่เขาหมายถึงก็คงจะเป็นคุณชายทั้งสี่แห่งเมืองหลง
พอกลับถึงวิลล่าหย่าเก๋อ เธอจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เธอสวมใส่เสื้อไหมพรมสีแดงสดที่รัดหุ่นและสัดส่วนของเธอ และสวมใส่กางเกงลำลองสีฟ้าที่เป็นขายาว จากนั้นก็ใส่เสื้อคลุมยาวที่เป็นสีเทาหม่น และรองเท้าหนังสีดำส้นแหลม เป็นเพราะว่าอาชีพที่เธอทำเมื่อก่อน ทำให้เธอไม่ค่อยแต่งตัว แต่ต่อให้เธอไม่สวมใส่ชุดกระโปรงตัวหรูหรา เธอก็ยังคงดูสวยแปลกตาและทำให้ดึงดูดสายตาคน
พอทานมื้อค่ำเสร็จ เธอจึงนั่งรถที่หนานกงเยี่ยจัดเตรียม แล้วไปที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ จากนั้นพนักงานต้อนรับก็พาเธอไปห้องเหมาส่วนตัวของหนานกงเยี่ย
พึ่งจะก้าวเข้าไปตรงประตู คนในห้องเหมาต่างก็จับจ้องมาที่เธอ จากนั้นก็มองเธอเพราะกำลังตลึงถึงความสวยของเธอ
เธอที่อยู่ใต้แสงไฟทำให้เธอดูอ่อนโยนและสวยงามกว่าเดิม ใบหน้าที่มีผิวพรรณขาวผ่องดั่งไข่มุกใต้มหาสมุทร ขนตาที่งอลยาว ดวงตากลมโตทั้งสองข้างดูแววใสมากๆ ริมฝีปากอมชมที่ค้ลายคลึงกับกลีบดอกกุหลาบ เธอดูมีออร่าชวนคนมองและน่าหลงใหล ท่าทางของเธอดูสวยมีเสน่ห์ อีกทั้งยังมีสง่าราศีและดูเป็นคนใจกว้าง เหมือนดั่งรูปปั้นแกะสลักที่เลอค่ามากๆ
การมาถึงของเธอ ทำให้อวี้ไป่หันที่กำลังโอบเอวของผู้หญิงสองคนและนั่งอยู่บนโซฟาไม่อยากเหลียวมองผู้หญิงสองคนนั้นอีกต่อไป
ถังเฮ่าจึงค่อยๆ วางแก้วในมือลง กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ทันได้สังเกตเห็น ทำให้เห็นว่าตอนนี้เขามีความสนใจการชื่นชมผู้หญิงสวยมากว่าทำการงานวิจัยเกี่ยวกับยา
และมู่เฉิงซีที่ใบหน้าเคล้าด้วยความเลือดเย็นและอาฆาตอยู่ตลอดเวลา นัยน์ตาก็ยังเปล่งประกายแสงออกมาไม่กี่ครั้ง
“ฟิ้ววว” อวี้ไป่หันที่ผ่านผู้หญิงมาไม่รู้เท่าไหร่ยังอดใจไม่ได้ที่จะผิวปากด้วยความชื่นชม “มิน่าละผู้หญิงคนนี้ถึงเข้าตาหนานกง ที่แท้ก็เหมือนดั่งนางฟ้านี่เอง ฮ่าๆ”
เหลิ่งรั่วปิงกลับไม่ได้พูดอะไรมากมาย แค่ส่งยิ้มบางๆ กลับด้วยความสง่า
หนานกงเยี่ยที่มีใบหน้าอันเลือดเย็นตลอดมาก็เผยยิ้มอ่อนๆ ออกมา จากนั้นก็มองเหลิ่งรั่วปิงแล้วตบที่นั่งที่อยู่ข้างเขา เพื่อให้เธอไปนั่งทางนั้น
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ทำตัวชักช้า จากนั้นก็เดินไปนั่งข้างหนานกงเยี่ยด้วยความสง่างาม
“จะดื่มอะไร” หนานกงเยี่ยก้มหน้าลงมองใบหน้าอันสะสวยของเหลิ่งรั่วปิง การตอบสนองของทุกคนนั้นทำให้เขาพอใจมาก เขาไม่เคยรู้สึกภูมิใจขนาดนี้มาก่อน ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาได้หน้าจริงๆ
“ชา ขอบคุณค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงอมยิ้มแล้วไม่พูดอะไรอีก ตอนที่เธอพึ่งจะเข้ามาในห้อง ก็ได้กวาดสายตามองทุกคนโดยเร็ว คนที่เป็นจุดสนใจที่สุดของเธอคือมู่เฉิงซีที่เอาแต่นั่งเงียบๆ แล้วไม่เอ่ยพูดอะไรเลย คนๆ นี้มองเธอด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรมากนัก อีกอย่างเธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา คิดว่าเขาคงจะฆ่าคนมาไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงต้องทำตัวระมัดระวังตอนที่อยู่ต่อหน้าเขา
พอเหลิ่งรั่งปิงตอบกลับ หนานกงเยี่ยจึงหันไปมองพนักงาน พอพนักงานรับรายการเครื่องดื่มเสร็จ ก็รีบไปเตรียมชามา ทันใดนั้น ก็มีกาน้ำชาสีแดงที่ดูเลอค่าถูกเสริฟมา