เล่มที่ 2 บทที่ 36 ล่อเสือออกจากถ้ำ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“แต่ต้องจำเอาไว้ว่าต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องปกป้องดูแลตัวเองให้ดี ห้ามทำอะไรโง่ๆ เช่นนี้อีก เข้าใจแล้วหรือไม่?”

    โชคดีที่ตำหนักแห่งนี้มียาดี ดังนั้นบาดแผลของเสี่ยวอวี้จึงไม่น่ากลัวดังเดิมแล้ว

    แต่ว่าความเจ็บปวดในครั้งนี้จะยังคงติดตรึงในใจของหลินเมิ้งหยา

    “พี่สาวอยู่ดูแลข้าที่นี่ได้หรือไม่?” เสี่ยวอวี้นอนบนตักของหลินเมิ้งหยา เสียงของเขาเบาเสียจนแทบจะไม่ได้ยิน

    ทว่า เสียงอ้อนวอนร้องขอนั้นกลับทำให้หลินเมิ้งหยาไม่อาจปฏิเสธเขาได้

    “ได้สิ พี่สาวจะอยู่ดูแลเจ้าที่นี่ นอนเถอะ”

    เหตุเพราะได้รับคำสัญญาจากหลินเมิ้งหยาแล้ว ในที่สุดเสี่ยวอวี้ก็ไม่อาจขัดขืนเปลือกตาอันแสนหนักอึ้งได้อีกต่อไป ไม่นานเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

    หลินเมิ้งหยาพิงกายข้างเตียง ก่อนจะจ้องมองใบหน้ายามหลับของเสี่ยวอวี้

    หลงเทียนอวี้จะต้องรู้เรื่องนี้แล้วอย่างแน่นอน ทว่าจนกระทั่งตอนนี้นางกลับยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

    แต่ถึงอย่างนั้นหลินเมิ้งหยากลับรู้ดีว่า หลงเทียนอวี้ไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเป็นแน่

    ผู้ชายที่รักศักดิ์ศรีเสียยิ่งกว่าชีวิต เขาไม่มีทางยอมปล่อยให้มีใครเข้ามายั่วยุตนเองได้อย่างง่ายดาย

    ตัวนางเองเป็นเพียงหญิงสาวที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน มิมีอำนาจอันใด ดังนั้นการแก้แค้นจึงเป็นเพียงฝันเท่านั้น

    ดังนั้นนางต้องทำใจดีสู้เสือ มีเพียงการหยิบยืมกำลังของหลงเทียนอวี้เท่านั้น นางจึงจะสามารถส่งคนที่เข้ามาทำร้ายคนของนางลงนรกไปได้!

    “เจ้าจะจัดการพวกคนที่ก่อเรื่องบนถนนในวันนี้อย่างไร?” เสียงน่าเกรงขามดังขึ้น มุมปากของหลินเมิ้งหยาหยักยิ้ม…เขามาแล้ว

    “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา จะจัดการได้อย่างไรเพคะ ท่านอ๋องว่าอย่างไรหม่อมฉันก็ว่าตามกัน” โยนปัญหากลับไปหาหลงเทียนอวี้อย่างแนบเนียน หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทางประหนึ่งไม่ติดใจอะไรในเรื่องนี้ ทั้งหมดล้วนรอฟังคำสั่งของเขาเท่านั้น

    ไม่ได้ตอบคำถามของหลินเมิ้งหยา ร่างของหลงเทียนอวี้ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู

    ภายในห้องนั้นมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากเปลวเทียนบนโต๊ะเท่านั้นที่พอจะส่องสว่างให้เห็นสภาพภายในห้องได้

    หลินเมิ้งหยานั่งพิงหัวเตียง มองไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวและส่งเสียงโอดโอยออกมาเนืองๆ

    เขาหลุบตาต่ำ เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าสองพี่น้องช่างน่าสงสารมากถึงเพียงนี้?

    “พรุ่งนี้จะมีองครักษ์แปดคนส่งเจ้าไปที่หยาหาง” เขาอยากรู้ว่าหลินเมิ้งหยาจะมีราคาพอที่เขาจะปกป้องหรือไม่

    “เพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง” หลินเมิ้งหยาเป็นคนฉลาด นี่เป็นแผนการล่อเสือออกจากถ้ำของหลงเทียนอวี้ ส่วนนางเป็นตัวล่อศัตรู

    “หากเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้ เปิ่นหวังจะปกป้องเจ้าให้พบแต่ความสงบสุข” แม้จะไม่สามารถเป็นพระชายาของเขาได้ แต่อย่างน้อยเป็นเบี้ยในกระดานให้เขาได้ก็ยังดี

    “เพคะ” หากนางมีค่ามากพอที่จะใช้ประโยชน์ นั่นหมายความว่านางจะมีคนคุ้มครองชีวิตของตนเอง ถ้านางทำได้แล้วละก็ หลงเทียนอวี้ผู้หยิ่งทะนงจะต้องรักษาสัญญา!

    เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป สายตาของหลินเมิ้งหยากวาดมองไปที่หน้าประตู

    เงาของหลงเทียนอวี้หายไปแล้ว ดวงตาเผยให้เห็นร่องรอยของความเย็นชา พรุ่งนี้จะต้องเจอเข้ากับเรื่องอันตรายใหญ่หลวง บางที…อาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นใด

    หลินเมิ้งหยากล่อมเสี่ยวอวี้นอนจนหลับสนิท นางจึงกลับไปยังห้องของตนเอง

    ป๋ายจื่อถูกเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันทำให้หวาดผวา เมื่อเห็นคุณหนูกลับมาแล้ว นางจึงรีบพุ่งตัวเข้าหาอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา

    “คุณหนู ข้ากลัวเหลือเกิน ฮือ ฮือ…” ในหัวใจของป๋ายจื่อ ความน่ากลัวยังคงไม่จางหายไป

    แม้ตอนที่อยู่ในจวนสกุลหลินจะเคยพบเจอกับเล่ห์กลมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นป๋ายจื่อก็ไม่เคยใส่ใจ เมื่อลองเทียบกันแล้ว ซ่างกวนฉิงและลูกสาวยังโหดร้ายไม่เท่ากับคนพาลที่พบเจอในวันนี้

    “นี่คือสิ่งที่เราต้องเจอ” ไร้ซึ่งคำปลอบโยน น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยาในเวลานี้ทำให้หัวใจของป๋ายจื่อสั่นสะท้าน

    “เจ้าต้องจดจำวันนี้เอาไว้ นับตั้งแต่วันที่ข้าพาเจ้ามายังที่นี่ เจ้าจะไม่ใช่ป๋ายจื่อคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเก่งกาจเหมือนอย่างใคร ไม่จำเป็นต้องล่วงรู้เล่ห์เพทุบายต่างๆ แต่เจ้าจะต้องไม่หวาดกลัว”

    ดวงตาทั้งสองข้างที่กำลังเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาจับจ้องมองทางหลินเมิ้งหยา เหตุใดคุณหนูของนางจึงดูเหมือนคนที่นางไม่รู้จักเช่นนี้?

    “คุณหนู ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่คุณหนูกำลังพูด เหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุหรือเจ้าคะ?” แม้จะโง่ แต่ถึงอย่างนั้นป๋ายจื่อก็ยังเข้าใจความหมายของหลินเมิ้งหยา

    “ใช่ วันนี้มีคนจงใจทำเช่นนั้น พวกเราไม่เคยทำร้ายใคร แต่กลับมีคนเข้ามาทำร้ายเรา ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการขุดคนเหล่านั้นขึ้นมา จากนั้นทำให้พวกเขาไม่สามารถทำร้ายพวกเราได้อีก เข้าใจหรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยาไม่เคยคิดทำร้ายใครมาก่อน

    แต่เพราะแผนการเจ้าเล่ห์กลับพุ่งเข้าหานางนับตั้งแต่วันที่นางก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักแห่งนี้แล้ว

    แต่ใครกันนะที่กำลังคิดว่าจะกลั่นแกล้งนางได้ง่ายๆ แล้วยังคิดอีกว่านางจะเป็นเพียงคนอ่อนแอและปล่อยให้ใครก็ได้เข้ามาทำร้าย?

    ถ้าเช่นนั้นก็มาลองดูกันว่าตกลงแล้วใครจะชนะหรือแพ้!

    ตำหนักอวี้ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เรื่องอาการบาดเจ็บของเสี่ยวอวี้มิได้ส่งผลใดๆ ต่อความสัมพันธ์ของหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้

    แม้แต่เรื่องที่รถม้าถูกทำลายก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ราวกับว่าเรื่องเมื่อวานเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น

    เช้าวันต่อมา หลินเมิ้งหยาอาบน้ำทำผมเสร็จเรียบร้อย จากนั้นพาน้าจิ่นเยว่และพ่อบ้านเติ้งออกจากตำหนัก

    วันนี้แตกต่างจากเมื่อวาน พวกเขานั่งกันด้วยท่าทางสงบนิ่งในรถม้าของตำหนักท่านอ๋อง องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างรถม้ามีมากกว่าเดิม ราวกับว่าพวกเขาถูกเรื่องเมื่อวานทำให้หวาดกลัวจริงๆ

    ภายในรถม้า หลินเมิ้งหยาไม่มีกะจิตกะใจอ่านหนังสือ แนวสายตาของนางพุ่งไปยังคนที่เดินขวักไขว่อยู่ทางด้านนอก

    จิ่นเยว่ชงชาให้นางใหม่อีกครั้ง ก่อนจะวางไว้บนที่วางของเล็กๆ

    “น้าจิ่นเยว่ไม่กลัวหรือ?” อันที่จริงนางคิดอยากพามาเพียงพ่อบ้านเติ้งคนเดียว ทว่าเมื่อถึงหน้าประตู น้าจิ่นเยว่กลับรั้งนางเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะร้องขอตามมาด้วย

    “กลัวแน่นอนสิเพคะ” น้าจิ่นเยว่วางกาชาในมือลงอีกฝั่ง สายตาอ่อนโยนแต่แน่วแน่จ้องมองทางหลินเมิ้งหยา “แต่ถ้าพระชายาไม่พาบ่าวหญิงมาเลยสักคนจะเป็นที่ผิดสังเกตเอาได้”

    ดูเหมือนว่าดวงตาคู่นั้นจะมองความคิดของตนเองออกหมดแล้ว หรือนางเองก็รู้ถึงแผนการของหลงเทียนอวี้?

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ที่แท้คนในตำหนักนี้ก็ล้วนไม่ใช่คนธรรมดาเลยสินะ

    “ขอให้น้าจิ่นเยว่ระมัดระวังตัวให้ดีก็พอ” คำพูดเอ่ยถึงตรงนี้ แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็ไม่อาจคาดเดาอะไรจากเรื่องที่จะเกิดในวันนี้ได้

    “นายหญิง อีกไม่นานก็จะถึงหยาหางแล้วขอรับ” ด้านนอก พ่อบ้านเติ้งเดินทางมาพร้อมกับองครักษ์ หลินเมิ้งหยาไม่อยากเปิดเผยตัวตน ดังนั้นจึงสั่งให้เรียกนางว่านายหญิง

    บริเวณด้านข้างของหยาหางคือศาลาว่าการฝูจิ่น

    เหตุเพราะเมืองหลวงมีหยาหางเพียงแห่งเดียว อีกทั้งยังดูน่าสนใจ คนเข้าๆ ออกๆ เป็นจำนวนมาก พ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศล้วนมายังที่แห่งนี้

    คนคุมบังเหียนยกเก้าอี้เล็กมาวาง องครักษ์ทั้งแปดเข้าคุ้มครองอย่างเข้มงวด

    จิ่นเยว่ลงจากรถม้า ไม่นานหลินเมิ้งหยาผู้งดงามก็เดินเข้าไปในหยาหาง

    “ไม่รู้ว่าจะมีแขกอันทรงเกียรติมาเยือน ดังนั้นจึงมิได้ทำการต้อนรับ ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย” ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามา ชายร่างท้วมคนหนึ่งรีบปรี่เข้ามาต้อนรับขับสู้

    “เถ้าแก่ นายหญิงของข้าไม่ชอบทำอะไรเอิกเกริก” พ่อบ้านเติ้งเข้ามาขวางหน้าเถ้าแก่ร้านเอาไว้ ทว่าเถ้าแก่ร้านเป็นคนฉลาด เมื่อมองเห็นคนคุ้มกันและผู้อยู่ภายใต้ความคุ้มครอง เกรงว่าคนผู้นั้นจะต้องมีฐานะไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

    “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ เชิญทางนี้” นำทางคนกลุ่มนั้นเข้าไปยังห้องโถง ก่อนจะพาเข้าไปยังห้องชั้นใน

    เมื่อเปรียบเทียบสถานที่มีคนพลุกพล่านทางด้านหน้า ภายในกลับสงบเงียบ อีกทั้งห้องหับยังหรูหรากว่าด้านนอกมากถึงสิบเท่า

    “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่ท่านนี้มีนามว่ากระไร” เสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน อีกทั้งยังเด็กมากเสียจนเถ้าแก่ร้านหยาหางประหลาดใจ

    เมื่อหันกลับไปมองผู้ที่ถูกคุ้มครองอยู่อีกครั้ง นางเป็นหญิงสาวอายุสิบกว่าปีที่มีใบหน้างดงามมาก ความประหลาดใจจึงเพิ่มมากขึ้น

    ตกลงว่านางเป็นคุณหนูจากสกุลใดกัน? เหตุใดจึงมีสง่าราศีเช่นนี้

    “ปี่ สกุลถงขอรับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าผู้สูงศักดิ์มาที่นี่เพราะมีเรื่องอันใดให้ช่วยหรือขอรับ?” เขาสั่งให้ลูกน้องเสิร์ฟชาปี่หลัวฉุน ความคิดอ่านของเถ้าแก่ถงในเวลานี้แสดงออกถึงความเคารพนับถือ

    รถม้าด้านนอกเป็นของท่านอ๋องอวี้ ถ้าเช่นนั้นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคงเป็น…

    ขณะเดียวกัน เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก ไม่ว่าใครต่างก็ไม่อาจต่อกรกับท่านอ๋องอวี้ได้ เช่นนั้นเขาคงต้องรับใช้แขกตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง

    “ตำหนักของข้าต้องการสาวรับใช้สองสามคน หากท่านมีคนแนะนำ จงเรียกออกมาให้ข้าได้ดูหน่อยจะเป็นไร?”

    หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเล็กน้อย ระหว่างทางไม่พบความผิดปกติอันใดแม้แต่น้อย หรือคนเหล่านั้นจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นจึงไม่ลงมือทำอะไรอย่างนั้นหรือ?

    “ไม่มีปัญหาขอรับ ข้าน้อยจะไปตามหยาผอประเดี๋ยวนี้ รบกวนท่านลูกค้ารอสักครู่”

    เมื่อได้ยินว่าเป็นการซื้อขายครั้งใหญ่ ริมฝีปากของเถ้าแก่ถงฉีกกว้าง ก่อนจะรีบรุดออกไปตระเตรียม

    หลินเมิ้งหยาสั่งให้องครักษ์ทั้งหมดออกไปยืนด้านนอก หากมิได้รับคำสั่งจากนางห้ามเข้ามาโดยเด็ดขาด ดังนั้นภายในห้องจึงเหลือเพียงนาง น้าจิ่นเยว่และพ่อบ้านเติ้ง

    ไม่นานหยาผอที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างดีก็พาสาวใช้สิบกว่าคนเข้ามา

    “ถวายคำนับท่านลูกค้า คนเหล่านี้ล้วนเป็นสาวใช้ที่ดีที่สุด ลูกค้าได้โปรดวางใจ คนเหล่านี้รู้งานบ้านงานเรือน เรี่ยวแรงแข็งขัน เหมาะที่จะพาไปรับใช้เพคะ”

    คนที่จะเป็นหยาผอได้ล้วนเป็นคนมีฉลาดเฉลียว

    เพียงพริบตาเดียวก็รู้ถึงฐานะของอีกฝ่ายได้ในทันที ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนการกินยาถูกโรค

    หลินเมิ้งหยาเหลือบมอง แม้หน้าตาของคนเหล่านั้นจะไม่น่ามองนัก แต่กลับมีความฉลาดเฉลียวไม่น้อย

    “นายหญิงสั่งว่าให้พวกเจ้าเข้าไปทีละคน หากยังไม่ถูกขานชื่อ จงรออยู่ด้านนอก” จิ่นเยว่ยืนอยู่หน้าประตู สายตาเคร่งขรึมจับจ้องไปทางคนเหล่านั้น

    ทุกคนรีบพยักหน้าลง

    “นายหญิง เริ่มได้หรือยังเจ้าคะ” จิ่นเยว่ปิดประตูหน้าลง มีเพียงหยาผอที่เดินเข้าๆ ออกๆ ขานชื่อ

    “สาวใช้โจว เข้ามา ถึงตาเจ้าแล้ว!” หลังจากดูคนอย่างต่อเนื่องไม่น้อย หลินเมิ้งหยาทั้งพยักหน้าและส่ายหน้า ส่วนด้านอื่นมีจิ่นเยว่และพ่อบ้านเติ้งคอยพิจารณา

    หลินเมิ้งหยานั่งจิบชาอยู่บนตั่ง

    คนเหล่านี้ล้วนใช้ได้ มีมากถึงสามสี่คนที่หากได้รับการสั่งสอนแล้วจะสามารถเข้ามาเป็นผู้ช่วยของนางได้ นางคิ้วเลิกขึ้น ก่อนสายตาจะตกลงบนร่างของสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามา

    แม้จะคุกเข่าก้มหน้าอยู่บนพื้น ทว่าหัวใจของนางกลับเต้นระรัวอย่างแปลกประหลาด

    “เจ้าเป็นคนที่ไหน?” จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็เอ่ยถาม ทุกคนในห้องต่างพากันมองสาวใช้ที่กำลังคุกเข่าตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

    เสื้อผ้าธรรมดา ร่างอวบเล็กน้อย ใบหน้าหย่อนคล้อย ทว่าสีหน้ากลับแข็งทื่อ

    เหมือนสาวรับใช้ธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

    “ขออนุญาตตอบนายหญิง บ้านของข้าน้อยอยู่นอกเมือง ข้าน้อยชื่อถังหวังสื่อแห่งสกุลถังเจ้าค่ะ”