ตอนที่ 43 ยังไม่บอกฉันตรง ๆ อีกเหรอ?

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 43 ยังไม่บอกฉันตรง ๆ อีกเหรอ?

เป็นเพราะว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังจะกลับมา ซูตานหงจึงทำความสะอาดทุกอย่างทั้งด้านในและด้านนอกบ้าน

เช้าตรู่วันนั้นนั่นเอง ขณะที่เธอเพิ่งจะเก็บของและกำลังจะเดินทางไปที่สถานีรถไฟเพื่อไปรับจี้เจี้ยนอวิ๋น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “ตานหง ผมกลับมาแล้วครับ”

น้ำเสียงอันคุ้นเคยทำให้ซูตานหงชะงัก และบังเกิดความตื่นเต้นสุดขีดในทันที

เสี่ยวไป๋และพรรคพวกทั้งหมดสามตัวพากันเห่า ก่อนที่ต้าเฮยจะเห่าปรามเสียงทุ้ม สุนัขทั้งสามเงียบเสียงในทันที พร้อมกับเดินกระดิกหางตามต้าเฮยไป

ซูตานหงเดินมาเปิดประตู แล้วก็เห็นสามีของเธอกำลังยืนอยู่ด้านนอกพร้อมกับแบกย่ามสัมภาระทหารมาด้วย

จี้เจี้ยนอวิ๋นมองภรรยาของตน ดวงตาของเขาแทบจะติดตรึงอยู่ที่ดวงหน้าของเธอไปครู่ใหญ่ก่อนจะได้สติกลับคืนมา เขายังรู้สึกกังวลอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของภรรยาแล้วเขาก็รู้สึกคลายใจลง

จากนั้นสายตาของเขาก็เลื่อนลงมาจับจ้องอยู่ที่หน้าท้องนูนป่องอย่างเห็นได้ชัดของเธอ ดวงตาของเขาพลันสุกใสเป็นประกาย “ตานหง นี่…นี่ลูกของเราเหรอครับ?”

“ถ้าไม่ใช่แล้วจะเป็นลูกใครได้ล่ะคะ? คุณก็เห็นแล้ว เข้ามาในบ้านเร็วค่ะอย่ามัวแต่ยืนขวางประตูอยู่” ซูตานหงหยิบย่ามสัมภาระทหารมา มันไม่หนักเท่าใดนักเพราะข้างในมีแต่เสื้อผ้า

จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มก่อนเดินเข้ามา จากนั้นก็เห็นสุนัขหลายตัวอยู่ในลานบ้าน จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมมีหมาเยอะจังเลยครับ?”

“เอาไว้เฝ้าสวนผลไม้ค่ะ เมื่อไหร่ที่สวนออกผลผลิต พวกมันจะถูกย้ายไปเฝ้าสวนที่นั่น” ซูตานหงบอก “ดูสิคะ ต้าเฮยยังจำคุณได้อยู่เลย”

ต้าเฮยกำลังกระดิกหางให้เขาอยู่

จี้เจี้ยนอวิ๋นลูบศีรษะของมัน ทำให้ต้าเฮยส่งเสียงครางหงิงออกมา

ส่วนสุนัขอีกสามตัวที่เหลือก็มาดมกลิ่นบนร่างกายของเขา จากนั้นก็กระดิกหางแสดงให้รู้ว่าพวกมันจำกลิ่นได้แล้วก่อนจะเดินกลับที่พักของพวกมันไป ทุกตัวต่างดูร่าเริงมีพลังอย่างมาก

หลังเข้ามาในบ้านแล้ว ซูตานหงกับจี้เจี้ยนอวิ๋นก็นั่งคุยกันอยู่บนเตียงเตา

จี้เจี้ยนอวิ๋นสัมผัสหน้าท้องของเธอ และราวกับจะรับรู้ถึงตัวตนของเขา เจ้าตัวน้อยในท้องก็ขยับตัวเล็กน้อย แต่เป็นการขยับที่แทบไม่รู้สึก จากนั้นก็หยุดเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่ง ทว่ากลับทำให้จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกตื่นเต้นมาก

ทันทีที่เขาตื่นเต้น อาการบาดเจ็บในร่างกายก็กำเริบขึ้นมาจนเขาต้องไออย่างห้ามไม่อยู่

ซูตานหงได้ยินเขาเคยบอกไว้เมื่อ 2 วันก่อน เดิมทีเธอคิดว่าเป็นอาการไอธรรมดา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเขาแล้วก็พบว่าใบหน้าของเขาดูซีดลง ยิ่งกว่านั้นเขายังดูผ่ายผอมลงไปมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแววตาของเขาที่ยังมีร่องรอยความเสียใจอยู่ แม้เขาจะพยายามเก็บซ่อนไว้ก็ตาม แต่ซูตานหงยังคงเห็นมัน

“เจี้ยนอวิ๋น คุณปิดบังอะไรฉันหรือเปล่าคะ?” ซูตานหงรินน้ำวิเศษแก้วหนึ่งให้เขาดื่มขณะเอ่ยอย่างตรงจุด

จี้เจี้ยนอวิ๋นชะงักไปและเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ไม่นี่ครับ ตานหง ผมจะปิดบังอะไรคุณทำไม?”

“แล้วทำไมถึงมีกลิ่นคาวเลือดออกมาจากตัวคุณแบบนี้ล่ะคะ?” ซูตานหงเอ่ยพลางจ้องมองชายหนุ่ม

บางทีอาจเป็นเพราะเธอดื่มน้ำวิเศษนี้มาเป็นแรมปี ทำให้ประสาทสัมผัสการรับรู้เสียงและกลิ่นของเธอดีขึ้น ก่อนหน้านี้เขาแสดงท่าทางตื่นเต้นดีใจสุดขีดออกมา จึงทำให้เธอไม่ได้ใส่ใจมากนัก

แต่ตอนนี้เขาดูนิ่งสงบลงอย่างมาก ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ทำไมซูตานหงจึงจะไม่รู้ว่ามีอะไรบางอย่าง?

ชัดเจนว่าบนร่างกายของเขาจะต้องมีบาดแผล!

เห็นสีหน้าของภรรยาดูขรึมลง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าภรรยาของเขาจะจมูกไวได้กลิ่นถึงขนาดนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้เลย

“ทำไมคุณไม่รีบอธิบายออกมาล่ะคะ?” ดวงตาของซูตานหงแดงก่ำขึ้นและเอ่ยอย่างเจ็บช้ำขณะมองเขา

“ตานหง ตานหง คุณอย่าร้องไห้เลยนะ ผมจะบอกคุณ ผมจะบอกคุณทุกอย่างนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นรีบเอ่ยปลอบ

ซูตานหงไม่ได้กล่าวอะไรและยังคงมองหน้าเขา รอคอยให้เขาสารภาพออกมา

จี้เจี้ยนอวิ๋นอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างหมดเปลือก รวมทั้งเรื่องที่เขาลาออกด้วย

หลังพูดจบ เขาก็มองภรรยาด้วยความระมัดระวังและเอ่ยขึ้น “ภรรยา คุณอย่ากังวลไปเลยนะ ผมยังได้เงินบำเหน็จมา 2,000 หยวน หลังจากลูกเราเกิดแล้ว คุณไม่ต้องกังวลนะ ผมจะออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูคุณกับลูกอย่างแน่นอน!”

“ขาคุณยังบาดเจ็บอยู่แล้วคุณก็กลับมาในสภาพนี้เหรอคะ? สหายของคุณไม่ได้ให้ไม้เท้าคุณเหรอ?” ซูตานหงจ้องมองเขา

เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว แต่เขายังมาห่วงเรื่องเล็กน้อยพวกนี้อีกเหรอ!

“ผมลุกเดินออกจากเตียงได้น่ะ ถึงจะเจ็บหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยรัวเร็ว

“คุณยังไม่รีบถอดเสื้อถอดกางเกงให้ฉันดูอีกเหรอคะ?” ซูตานหงเอ่ย

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่กล้าขัดเธอ เขาจึงถอดเสื้อและกางเกงออก ซูตานหงมองผ้าปิดแผลชุ่มเลือดแล้วดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ ลุกขึ้นไปหยิบยาสามัญประจำบ้านเพื่อการนี้โดยเฉพาะในทันที

เธอดึงผ้าพันแผลออกแล้วเช็ดแผลด้วยน้ำวิเศษ ตรงปากแผลยังเห็นรอยเย็บอยู่เลย!

ซูตานหงรู้สึกสะเทือนใจกับบาดแผลน่ากลัวขนาดใหญ่ที่เห็น เธอเกือบจะเป็นม่าย และลูกของเธอก็เกือบจะกำพร้าพ่อแล้ว!

“ตานหง ผมสบายดี…”

ทันทีที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยขึ้น ซูตานหงก็จ้องเขาเขม็ง “หุบปากค่ะ!”

จี้เจี้ยนอวิ๋นสะอึกและไม่กล้าพูดอะไรอีก มองดูภรรยาทำความสะอาดแผลให้เขา เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เพราะรู้สึกว่าบาดแผลบริเวณที่เธอเช็ดนั้นเจ็บปวดน้อยลง

มันสบายเกินไปจนจี้เจี้ยนอวิ๋นทนไม่ได้ และหลับไปในเวลาไม่นาน

เมื่อเห็นว่าเขาหลับไปแล้ว ซูตานหงก็รู้ว่าตอนนี้เขาคงอ่อนเพลียมาก เธอจึงเช็ดแผลอย่างเบามือขึ้น และทำแผลให้เขาใหม่

หลังห่มผ้านวมให้เขานอนหลับสบายแล้ว เธอก็เดินมาหุงโจ๊กในครัว

ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นคงยังให้กินเนื้อชิ้นใหญ่กับปลาตัวใหญ่ที่เธอเตรียมไว้ให้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นอาหารอ่อนแทน!

เธอใส่พุทราจีนลงไปในโจ๊กเพื่อทำเป็นโจ๊กพุทราจีนให้เขากิน

ซูตานหงตามหาคุณแม่จี้อีกครั้ง เพื่อไม่ให้หญิงชราเป็นกังวล เธอจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาเว้นแต่ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาแล้ว แต่ตอนนี้รู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อยและนอนหลับอยู่

“คุณแม่คะ ช่วยเชือดไก่ดำให้ฉันหน่อยนะคะ ฉันจะเอาไปตุ๋นให้เจี้ยนอวิ๋นกินค่ะ” ซูตานหงพูด

“ได้สิ” คุณแม่จี้พยักหน้า จากนั้นก็ไปเชือดไก่มาให้

นางเลี้ยงไก่ไว้หลายตัวเหมือนกับคุณป้าหยาง ไก่พวกนี้นางเลี้ยงไว้เพื่อเก็บไข่และใช้เป็นอาหารบำรุงหลังคลอดให้กับซูตานหง แต่เชือดมาให้เจี้ยนอวิ๋นกินบำรุงร่างกายก่อนก็ไม่เป็นไร และตานหงก็น่าจะได้กินด้วย

คุณแม่จี้เชือดไก่แล้วนำมาให้เธอ ซูตานหงจึงนำมันมาชำแหละและตุ๋นบนเตาไฟเล็ก ๆ

บางทีอาจเป็นเพราะว่าได้กลับมาที่บ้าน จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงนอนหลับสบายอย่างมาก หลังจากที่เขากลับมาถึงบ้านตอนเจ็ดโมงเช้า เขาก็ได้กลิ่นหอมแรงของไก่ตุ๋นในตอนที่เขานอนหลับจนถึงเที่ยงวัน

ซูตานหงกำลังนั่งอยู่ข้างกายเขาและทำเสื้อผ้าเด็กอยู่ เมื่อเห็นเขาตื่นแล้วเธอจึงเก็บเข็มกับด้ายเข้าที่และนำน้ำวิเศษมาให้ดื่มแก้วหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “นอนลงก่อน อย่าเพิ่งขยับตัวนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเอาโจ๊กมาให้”

จี้เจี้ยนอวิ๋นมองภรรยาของเขาเดินออกไปอย่างรวดเร็วและนำโจ๊กมาให้ ภายในนั้นมีพุทราจีนอยู่เป็นจำนวนมาก บวกกับอุณหภูมิที่อุ่นกำลังดี ก็ทำให้โจ๊กนี้มีรสออกหวานเล็กน้อย ซึ่งสำหรับจี้เจี้ยนอวิ๋นที่กำลังหิวโซแล้ว มันอร่อยมากอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังเขากินโจ๊กไปได้สามชาม ซูตานหงก็รู้สึกโล่งใจขึ้น “นอนพักเยอะ ๆ นะคะแล้วช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งลุกขึ้นมาเลย”

“ตานหง ผม…”

“ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ คุณนอนไปเถอะ” ซูตานหงจ้องมองเขา

“แต่ผมทนไม่ไหวอีกแล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยเสียงเศร้า

ซูตานหงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าของเธอก็แดงขึ้น เธอมองชายหนุ่มด้วยสายตาค้อนเคืองก่อนจะเข้ามาช่วยพยุงตัวเขา

…………………………………………