ตอนที่ 37 ไม่ชอบใช้ชีวิตนานไปยังงั้นเหรอ?
ห้าปีที่ผ่านมา เธอดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย น้ำเสียงของเธอยังคงดู หวาดหยดหย้อย อีกทั้งยังชอบสวมเสื้อใส่ชุดสีแดงเพลิงอีก เธอมักจะชื่นชอบในสิ่งที่กลายเป็นจุดสนใจของทุกๆคน
“น้องสาวของฉันบอกว่าจะมาด้วย แต่ก็ช่วยไม่ได้ อยู่บ้านเดี๋ยวน้องฉันก็ทำท่านิสัยเสียขึ้นมาอีก” เสียงของชายเอ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนดังขึ้น
อันโหรวหันหน้ามาจดจ้อง ชายผู้นั้นกำลังสวมชุดลำลองสีน้ำเงิน ที่หูก็สวมใส่ต่างหูสตั๊ดสีเงินแวววาว ดวงตาที่มีสีพีชหันมาคู่หนึ่งประจบมองตา เสียงของชายผู้นี้เอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน
เนื่องจากกล่าวว่าเป็นน้องสาว ชายผู้นี้ก็ต้องเป็นพี่ชายของถังซือเถียนที่เป็นพี่ชายแท้ๆที่มีนามว่า ถังซั่ว เป็นคุณชายแห่งสกุลถัง
“พี่เฉิน” ถังซือเถียนตลึงตามองไปยังพี่ชายของเธอ หลังจากนั้นก็รีบเดินไปที่ด้านข้างของจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะเสนาะหู
จิ่งเป๋ยเฉินหาได้สนใจเธอแต่อย่างใด แต่หันหลังกลับไปมองอันโหรวและเอ่ยออกมาว่า “นั่งตรงนั้นเถอะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาชี้มือไปทิศทางนั้น
นอกจากฉีเซิ่งเทียนแล้ว สีหน้าของผู้ชายสองคน ก็พลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยพวกเขาต่างหันเหใบหน้าที่เปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกัน ยามนี้ต่างจับจ้องมาที่อันโหรว ด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
อันโหรวยิ้มออกมาเป็นคำตอบ ด้วยความสุภาพ
“นั่งลงสิ” จิ่งเป่ยเฉินยกมือขึ้น และดึงเธอเข้าไปนั่งตรงที่เบาะข้างๆ ซึ่งดูแล้วแนบชิดใกล้กันมากนัก
เพียงแต่ว่า เธอก็พลันได้ยินเสียงที่เธอค่อนข้างตกใจพอสมควร
“ผู้หญิงขี้เหร่นั้นเป็นใครกัน? คงไม่ใช่ว่าเป็นรักครั้งใหม่ของคุณหรอกนะ?” ชายที่พูดผู้นั้นคือคนที่พึ่งกลับมาจากเยอรมัน เขาคือหมิ่นลี่ น้ำเสียงของเขานั้นค่อนข้างดังมาตั้งแต่ยังเด็กๆ และท่าทางนิสัยก็ค่อนข้างที่จะขี้ใจร้อนเกินไปหน่อย
ถังซือเถียนที่ได้ยิน ก็ไม่ค่อยรู้สึกพอใจเท่าไหร่นักก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “เป็นไปได้ยังไงกัน? พี่เฉินผู้นี้มีรสนิยมไม่ได้แย่แบบนี้นี่หน่า หมิ่นลี่ นายอย่ามาพูดจาไร้สาระแบบนี้” เมื่อพูดจบ เธอก็สบัดผมที่ฟูพองอย่างสง่างาม ซึ่งดูแล้วมีเสน่ห์เหลือล้นมากนัก
“ถังซั่ว ดูท่านายต้องดูแลน้องสาวตัวเองให้ดีๆหน่อยแล้ว แม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องเล็กอะไร แต่การที่เรียกชื่อของฉันออกมาตรงๆแบบนี้ นับได้ว่ามันเสียมารยาท ไม่จัดการละก็ฉันจะจัดการเอง!” หมิ่นลี่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่จิ่งเป่ยเฉินยังต้องขมวดคิ้ว
“ใช่ว่านายถูกเธอเรียกด้วยชื่อแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันว่านายน่าจะคุ้นชินได้แล้วนะ” ถังซั่วเอ่ยออกไปพร้อมกับยักไหล่ไปพราง แสดงท่าทีทำอะไรไม่ถูก
เขาจะกล้าไหนเลยล่วงเกินเจ้าบรรพบุรุษตัวน้อยนี่ได้ล่ะ
เมื่อพูดจบ ถังซั่วหันหน้ามองไปที่อันโหรวและเอ่ยคำพูดขึ้น “ผู้หญิงท่านนี้ จะไม่แนะนำตัวหน่อยเลยเหรอ?”
น้ำเสียงที่ดูอ่อนโยน และเอ่ยออกมา มันคล้ายกับว่าขบขันเป็นเรื่องตลกเล็กน้อย
เขากับโอวหยางลี่นั้นไม่เหมือนกัน โอวหยางลี่โดยปกติหากมองทั่วไปแล้ว แม้จะแสดงท่าทีที่อ่อนโยนออกมาให้กับทุกคน เพียงแต่ว่าถังซั่วนั้นไม่เหมือนกัน มันเป็นเหมือนอีกบุคลิกนึงเลยก็ว่าได้
อันโหรวกำลังคิดคำพูดตอบกลับ แต่ก็ได้ยินน้ำเสียงของชายผู้เย็นชาออกมา “อันอีหาน แห่งฝ่ายแผนกวางแผนของบริษัท”
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ่งเป่ยเฉินแนะนำผู้หญิงคนนึง และผู้หญิงคนนั้นกลับเป็นพนักงานธรรมดาเนี่ยนะ?
เมื่อได้ยินชื่อของอันอีหานออกมา ดวงตาของหมิ่นลี่ก็พลันงวยงงรู้สึกสับสน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้จึงเอ่ยออกไปพลางว่า “อันอีหาน? กับอัน….” ยังพูดไม่ทันออกไป ปากของเขาก็ถูกฉีเซิ่งเทียนเอามือมาปิดปากโดยทันที
“หมิ่นลี่เจ้าหนูคนนี้ในที่สุดก็กลับมา วันนี้พวกเราพี่น้องคงต้องมีงานเลี้ยงต้อนรับกันหน่อยแล้ว!” ฉีเซิ่งเทียนเปลี่ยนหัวข้อเรื่องทันที และขยิบตามองไปที่หมิ่นลี่เพื่อส่งซิกนัยๆว่า อย่าพูดจาไร้สาระพวกนี้อีก
เด็กคนนี้ พึ่งจะกลับมา ดูเหมือนจะไม่ชอบใช้ชีวิตนานๆอย่างงั้นหรือยังไง
อันโหรวหรี่ตาของเธอเล็กลงเล็กน้อย และเมื่อมองไปที่ดวงตาของถังซั่ว เธอก็กลับมาด้วยสีหน้าที่ปกติ
“ทุกคนนั่งลงเถอะ” หัวหน้าใหญ่อย่างคุณชายจิ่งเอ่ยออกมาก็ทำให้ทุกคนหยุดส่งเสียงทันที หมิ่นลี่เองก็นั่งลงอย่างเชื่อฟัง
ถังซือเถียนพลางส่งเสียงหึออกมาในลำคอ ก่อนจะนั่งลงข้างๆพี่ชายของตนอย่างไม่เต็มใจ
“เจ้าหนูลี่ไปเยอรมันมาตั้งนาน ครั้งนี้กลับมาเพราะว่าอะไรล่ะ?” จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่หมิ่นลี่ในขณะที่กำลังเทไวน์ให้ตัวเอง
“กลับมาแต่งภรรยา” หมิ่นลี่เอ่ยด้วยสีหน้าที่พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะวางมือของตัวเองไปที่โต๊ะ
อันโหรวเมื่อมองเขาแล้ว ในใจคิดไปว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาต้องถูกบังคับให้แต่งงานแน่ๆ และไม่มีทางเลือกอื่นอะไรอีกแล้ว
ถังซือเถียนเอ่ยออกไปอย่างไม่เห็นหน้าใคร “หมิ่นลี่ นายไม่มีกระดูกเลยรึไง พี่ชายของฉันกับนายอายุก็มากกว่านายหนึ่งปี แต่เขาก็ถูกบังคับแต่งงาน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่แต่งงานแบบไม่สนใจใครทั้งสิ้น”
คำพูดของเธอเต็มไปด้วย ความดูถูกเหยียดหยามที่ทำให้หมิ่นลี่นั้นรู้สึกรำคาญพอตัว จึงเอ่ยออกไป “นี่ยัยหนู หัดมีมารยาทบ้างสิ”
ฉีเซิ่งเทียนกำลังเห็นว่าหมิ่นลี่เริ่มเดือดมากขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ทั้งสองคนนี้ มักชอบทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว
ถนนหนทางนั้นคับแคบมักจะพบกันปกติ แต่น่าเสียดาย ที่ซือเถียนนั้นกลับวางใจไปไว้ที่ตัวของจิ่งเป่ยเฉินนี่สิ
………………
ตอนที่ 38 ฉันตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม ฉีเซิ่งเทียนก็คิดไม่ถึงเลยว่า คำพูดที่อยู่ในใจของเขานั้นกลับถูกเอ่ยออกมาจากปากของผู้หญิงที่กล้ากว่าเขามากนัก
เมื่อมองไปยังสายตาที่คล้ายกับประกายแล้ว อันโหรวก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ฉันคิดว่าพวกคุณทั้งสองคนดูเหมาะสมกันนะ น่าจะเข้ากันได้ดี ราวกับเนื้อคู่กันรึเปล่า”
แน่นอนว่า น้ำเสียงแหบแห้งของเธอนั้นยังคงเอ่ยออกมา เธอไม่ได้ใช้น้ำเสียงปกติเมื่อพูดกับคนข้างนอก เฉกเช่นเดียวกับใบหน้าของเธอ
เมื่อพูดจบ หมิ่นลี่และถังซือเถียนก็รู้สึกแทบจะหัวเราะออกมา ก่อนจะหันหน้ามามองด้วยใบหน้าที่แสนจะรังเกียจ
ถังซือเถียนจ้องมองไปที่ใบหน้าของอันโหรวและเอ่ยออกไปว่า “น้ำเสียงยากที่จะฟัง เหมือนกับอีกาไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ก็ดูเหมาะสมกับใบหน้าของคุณดี”
“อืม ถ้าอย่างั้นก็อย่าฟังเลย ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในใจก็ได้” อันโหรวเอ่ยตอบกลับไปยัง ถังซือเถียนที่เมื่อได้ยินก็แทบทรุดตัวลงทันที แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจิ่งเป่ยเฉินน เธอเลยไม่กล้าเอ่ยอะไรมาก เธอจึงได้แต่หันหน้าไปมองยังพี่ชายของตนถังซั่ว
ดวงตาของถังซั่วเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น คิดในใจครู่หนึ่งก่อนจะแอบยกนิ้วโป้งให้เธอจากก้นบึ้งหัวใจ
ผู้หญิงที่จิ่งเป่ยเฉินพามาด้วย ดูแล้วไม่ธรรมดาจริงๆ
“พี่เฉิน วันนี้ฉันสั่งอาหารมาเกือบหมดแล้วทุกจานแล้ว ทุกอย่างล้วนแล้วตรงกับรสนิยมของพี่ทั้งนั้น” ถังซือเถียนมองไปยังพี่ชายของเธอที่ไม่ได้ช่วยเธอออกปากเลยสักนิด ก่อนจะหันหน้ามองไปที่จิ่งเป่ยเฉินด้วยท่าทางที่อ่อนหวานและอ่อนโยน ส่งผลให้จิ่งเป่ยเฉินได้กลิ่นน้ำหอมของเธอเบาบางๆโชยออกมา
แต่เขาก็กลับตอบอย่างเย็นชาไป และไม่กี่วินาที ก็หันหน้ามามองที่อันโหรว “คุณชอบกินอาหารจานเบารึเปล่า?”
“ฉันไม่ใช่คนเลือกกินขนาดนั้น” อันโหรวตกใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างไม่เห็นแก่ตัวอะไรมาก
“อืม งั้นเสิร์ฟอาหาร” จิ่งเป่ยเฉินพยักหน้า ก่อนจะเรียกพนักงานออกมาที่รออยู่นอกประตูมานาน ไม่นานนักก็เดินมาเสริฟ์อาหารกันยกใหญ่
ดวงตาของถังซั่วและหมิ่นลี่พลันเบิกกว้างเต็มไปด้วยความสงสัย ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติตรงหน้าของเขา
จิ่งเป่ยเฉินใจดีกับผู้หญิงที่ขี้เหร่คนนี้ด้วย? ไม่ใช่ว่าไม่สนิทกับพวกผู้หญิงหรอกเหรอ? ทั้งยังมีเรื่องอาการไม่รู้สภาวะใบหน้าอีก…
หรือว่าเปลี่ยนรสนิยมแล้ว? มันเป็นเพราะอาการข้างเคียงหรือยังไงกัน?
“ดื่มนม ห้ามดื่มแอลกฮอล์” จิ่งเป่ยเฉินวางกระป๋องนมที่นำเข้ายี่ห้อ Silk ออกมาตรงหน้าเธอ
“แน่นอนว่าฉันนั้นไม่ดื่มแอลกอฮฮล เพราะถ้าดื่มไปจะทำเรื่องผิดพลาดเอาได้”
หมิ่นลี่แทบจะทนไม่ไหวกับการที่ทั้งสองคนแสดงออกมาในรูปแบบนี้ “วันนี้เป็นวันต้อนรับฉันกลับมา อย่ามาสวีทต่อหน้าฉันเชียว! วันนี้ไม่เมาไม่เลิก!”
ถังซือเถียนเองก็เริ่มทนไม่ไหวเหมือนกัน ก่อนจะเอ่ยออกไปสองสามประโยค พร้อมกับแสดงท่าทางที่น่ารำคาญ แต่เมื่อมองไปยังพี่เฉิน ก็พลันเปลี่ยนท่าทีโดยทันที
นี่เขารับมันได้ด้วยเหรอ?
เป็นไปไม่ได้!
ถ้าเธอแพ้ผู้หญิงคนก่อนหน้าก็ไม่เป็นไร แต่ผู้หญิงคนนี้เธอรับไม่ได้ เธอไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่ขี้เหร่และน่าเกลียดแบบนี้มาจากไหนกัน
ถังซือเถียนหันหน้าไปมองพี่ชายของเธอ พร้อมทั้งเสียงกระซิบ “พี่ ช่วยฉันตรวจสอบผู้หญิงแก่คนนี้หน่อยสิ”
“เรื่องนี้ เธอไปสอดแทรกไม่ได้นะ”
ถังซั่วขมวดคิ้ว และเอ่ยไม่อยากให้เธอเสี่ยงอะไรมากนัก
ไม่ต้องคิดถึงรูปร่างของอันอีหานหรอก ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ การที่เข้าใกล้จิ่งเป่ยเฉินได้แบบนี้เป็นคนแรก ก็เท่ากับว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องเธอแล้ว
ถังซือเถียนรู้สึกรำคาญหงุดหงิดกว่าเดิม แม้แต่พี่ชายของตนเองก็ไม่ยอมเชื่อเหลือ หากมองไปครั้งนี้ ดูท่าเธอต้องลงมือด้วยตัวเองเสียแล้ว
“มา ดื่มเหล้ากัน!” หมิ่นลี่ยกแก้วขึ้นพร้อมชูแก้วไวน์ และดื่มมันเข้าไป
ไวน์นี้เป็นยี่ห้อลาฟี่ ที่ผลิตมาตั้งแต่ปี 90 แน่นอนการดื่มแบบนี้ออกจะสิ้นเปลืองไปหน่อย แต่เมื่อหันมามองที่จิ่งเป่ยเฉินแล้ว ดูเหมือนเขาค่อยๆจิบมันอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวแต่ละท่วงท่าราวกับดูมีสง่าราศีมากนัก
แต่ทว่า อันโหรวกลับไม่ได้คิดถึงจุดนั้น เขารู้สึกว่ากินข้าวมื้อนี้มันต้องนานมากแน่ๆ อีกอย่างจิ่งเป่ยเฉินถ้าหากเมาขึ้นมา ก็ดูไม่ดี แต่ตอนนี้เขาเองก็ยังคงจิบไวน์อย่างต่อเนื่อง
….
ผู้ชายสี่คนในบรรดาพวกเขา ล้วนแล้วมีแต่ถังซั่วที่ยังคงดูปกติดีอยู่
“นายยังคงดื่มไวน์ไม่เก่งเหมือนเดิม” ถังซั่วพลันขยับขวดไวน์ไปมา ก่อนจะมองไปที่จิ่งเป่ยเฉิน
จิ่งเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็หรี่ตาเล็กลง และยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา “ฉันตั้งใจทำน่ะ”
ประโยคนี้ทำให้อันโหรวไม่ค่อยเข้าใจ ตั้งใจ ตั้งใจเมาเนี่ยนะ? นี่เรียกว่าตั้งใจได้ด้วย?
แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ายังไงอีกเดี๋ยวเธอต้องกลับไปแล้ว ลูกทั้งสองของเธอกำลังรอเธออยู่ หากไม่กลับ เกรงว่าได้เห็นพวกเขาร้องไห้แน่ๆ
เมื่อมองไปจุดนี้ เธอก็รีบก้าวขาออกไป ขณะนั้นมือของผู้ชายก็ฉุดรั้งเธอไว้ก่อน “ใครให้คุณไป?”
อันโหรวเจ็บที่ข้อมืออีกแล้ว สักพักก็ถูกดึงให้มานั่งที่เบาะเหมือนเช่นเคย และไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้
ดวงตาคู่หนึ่งพลันเหลือบมองคล้ายดั่งนกอินทรีที่ แสดงออกมาอย่างไม่ลดละ สายตาเป็นประกาย ราวกับพร้อมจดจ้องเธอ และบดขยี้เธอได้ในพริบตา
จิ่งเป่ยเฉินยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาที่มุมปาก ก่อนจะค่อยๆเอามือของเขาแตะไปที่คางของเธอและเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณ…แต่งหน้า..”
ดวงตาสดใสที่เหมือนกับดวงตาที่เขาเคยถวิลหาพลันหวนกลับมา
ถ้าหากนี่เป็นการแต่งหน้า เขาก็อยากจะเปลี่ยนผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนนั้น…
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ชายผู้นั้นก็พลันฉายแววตาที่เปลี่ยนไป