บทที่ 30

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด แต่ในที่สุดถังหยินและทุกคนก็ได้เดินผ่านค่ายหนิงมาจนได้ เมื่อมองไปข้างหน้า พวกเขาก็เห็นเข้ากับภูเขาใหญ่และกำแพงที่สูงเทียมเมฆ

สถานการณ์ในตอนนี้นั้นแย่เป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงกำลังหลักแสนเลย แค่ตอนนี้หลักพันก็ทำเอาพวกเขาเหนื่อยจนเกือบที่จะฝืนต้านไว้ไม่อยู่แล้ว และยิ่งพวกเฟิงได้รับความพ่ายแพ้ย่อยยับ ต้องเสียพลทหารไปกว่า 2 แสนนายที่เขตเฮอตงนั่นอีก นี่จึงทำให้ประตูหน้าด่านตงในขณะนี้นั้นมีกำลังพลน้อยกว่า 2 หมื่นนาย ซึ่งท่ามกลางทหารพวกนั้นก็เต็มไปด้วยพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังมีบางส่วนที่หนีทัพไปอีก ดังนั้นจึงทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาต่ำเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ที่ประตูตงถูกปิดจากด้านใน ไม่มีใครเข้าออกได้ทั้งนั้น

เมื่อเห็นประตูนี้ทุกคนก็เริ่มมีกำลังใจที่จะได้กลับบ้านมากขึ้น พวกเขาตื่นเต้นจนเสียอาการ และรีบเร่งความเร็ว

ไม่นานหลังจากที่พวกเขาก้าวออกมา ก็ได้ยินเสียง “ช้าก่อน!”

ทุกคนหันไปตามเสียงและเห็นหยูเจียกับทุกคนที่เดินตามออกมาจากค่าย

“ถ้าพวกเจ้าเดินกันต่อไปเรื่อย ๆ จะต้องถึงประตูตงแน่ ปล่อยตัวเขาเลยได้ไหม?” หยูเจียถาม

“ถ้าเราปล่อยไปก่อน ข้าเกรงว่ามันจะทำให้เกิดขวากหนามในเสียววินาทีสุดท้าย” ถังหยินทราบดีถึงความสามารถของพลธนูหนิง ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ากองทัพของตนนั้นไม่สามารถยันพวกมันไว้ได้แน่

หยูเจียเกลียดชายตรงหน้ามากจนต้องกัดฟันกรอดพร้อมทั้งกำหมัด “ถ้างั้นเจ้าต้องการอะไรอีก?”

“อย่างที่ข้าได้บอกไป ทันทีที่พวกเราเข้าไปยังประตูตง ข้าก็จะปล่อยเขาไปให้ พวกเราน่ะยึดมั่นในคำนี้และไม่มีทางคืนคำหรอก!”

“นั่นแหละ ถ้าไม่…”

พวกเขาฟังจนเบื่อแล้วและไม่อยากจะได้ยินคำขู่ของ หยูเจียอีก หัวใจขององค์ชายรองเต็มไปด้วยความโกรธ ทว่าเขาก็ไม่สามารถทำอะไรถังหยินได้ เขาทำได้แค่มองอีกฝ่ายเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ เท่านั้น

ตลอดเวลา นางคือพี่ใหญ่ตระกูลอู่ที่ทุกคนให้การเคารพสักการะ นางไม่เคยพึ่งพาใครแต่ทุกคนหวังพึ่งพานาง แต่ตอนนี้มีคนปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อปกป้องนางจากทุกสิ่ง นี่คือความรู้สึกที่ดีที่สุดที่หญิงสาวไม่เคยได้รับมันมาก่อน

ถังหยินและทุกคนเดินไปมาจนถึงประตูตงในสถานการณ์แบบนี้ ทันใดนั้น ลูกธนูก็ยิงลงมาจากด้านบนกำแพง

ปุ๊!

ลูกศรคนอินทรีย์ถูกยิงลงมาปักข้างม้าของถังหยิน ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงตะโกนลงมา “ช้าก่อน เจ้าคนที่ผ่านทางมา!”

ชายหนุ่มเงยหน้ามองดู

ด้านบนกำแพงเมืองนั่นมีทหารเฟิงมากมาย หนึ่งในนั้นคือนายกองที่ถือคันธนูยาว และอีกคนถือหน้าไม้ พวกเขาตะโกนลงมา “เจ้าเป็นใครกัน? เอ่ยนามเจ้ามา!”

อู่เหมยและคนของนางถือธงเฟิงมาด้วยก็จริง แต่ว่าปัญหาคือพวกนางผ่านค่ายหนิงมาโดยปลอดภัยได้ยังไงกัน ดังนั้นทหารบนกำแพงจึงไม่อาจบอกได้ว่าพวกนางคือพวกเดียวกันหรือว่าศัตรู

“ข้าคืออู่เหมย บอกแม่ทัพของเจ้าให้มาคุยกับข้าเดี๋ยวนี้!” นางตะโกนขึ้นไป

อู่เหมย คนจากตระกูลอู่นี่! ทหารยามรีบตอบกลับไป “โปรดรอสักครู่!” จากนั้นก็รีบวิ่งไป

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาคนนั้นก็ได้โผล่ออกมาพร้อมกับชายวัยกลางคน อีกฝ่ายโผล่หัวออกมา และเมื่อเห็นอู่เหมย คนผู้นั้นก็ต้องขยี้ตาตัวเองใหม่อีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องอยู่นาน อู่เหมยก็ขมวดคิ้วและตะโกนถาม “ไม่เจอกันนานเลยนะ แม่ทัพซงเจิ้ง ท่านจำเราไม่ได้หรือ?”

ได้ยินแบบนั้น ชายคนนั้นก็ตะลึง “ท่านแม่ทัพอู่จริง ๆ ด้วย! แต่ท่าน… พวกเขา… ” เขาอยากจะถามอู่เหมยว่าพวกนางผ่านค่ายหนิงมาได้อย่างไร แถมยังมีกองทหารหนิงตามมาอีกด้วย แต่เขาก็รู้ว่าไม่ควรจะถามมันในตอนนี้

“เปิดประตูให้พวกเราเข้าไปเสีย!” หญิงสาวตวาดอย่างไม่ไยดี

“ดี ดี เยี่ยมเลย อย่างไรก็ตาม ท่านแม่ทัพอู่ ประตูตงตอนนี้ถูกกีดขวางเอาไว้อยู่ เพราะฉะนั้นพวกเราจะให้ท่านปีนขึ้นมาได้เท่านั้น…” หลังจากยืนยันได้ว่านางคืออู่เหมย แต่ชายวัยกลางคนก็ยังไม่เชื่อใจอยู่ดี แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากและโยนเชือกลงไป ไม่นานนักเชือกหนาและยาวกว่า 6 จั้งก็หย่อนลงมาถึงพื้น

หญิงสาวลงจากม้าแล้วตะโกน “ไปกันเถอะ!”

สิ้นเสียงคำสั่งพวกทหารก็รีบวิ่งเข้าไปคว้าเชือกเอาไว้และรีบเรียกให้ทหารด้านบนดึงพวกเขาขึ้นไป 2 พี่น้องวิ่งไปจนถึงประตูแล้ว แต่ทว่าถังหยินกลับยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าอยู่เลย “ถังหยิน เจ้าจะรออะไรอยู่เล่า?”

ชายหนุ่มตบหยูฉางที่หมดสติอยู่ “แล้วเราจะทำยังไงกับเขาล่ะ?”

อู่เหมยมองและพูด “ไม่ต้องไปสนใจแล้ว!” จากนั้นนางก็พาทหารขึ้นไป “เจ้าคอยอยู่ด้านหลัง เมื่อพวกเราขึ้นไปหมดแล้วเจ้าก็…”

ทหารคนนั้นพยักหน้าและตอบรับด้วยเสียงสั่น “เข้าใจแล้ว ท่านแม่ทัพอู่”

ถังหยินขมวดคิ้วและพาหยูฉางออกมาด้วย “จะฆ่าเขาเหรอ?”

“แน่นอนสิ!” หญิงสาวมองมาที่ถังหยินอย่างประหลาดใจ “เจ้าก็คงไม่คิดจะปล่อยมันไปหรอกใช่ไหมล่ะ?”

“ข้าเข้าใจว่าทั้ง 2 แคว้นไม่ถูกชะตากัน แต่ในเมื่อข้าให้สัญญาเขาไปแล้ว ก็ควรจะรักษาสัญญา”

อู่เหมยหัวเราะดังๆ “ซื่อตรงต่อศัตรูเนี่ยนะ เจ้าบ้าหรือเปล่า?”

ถังหยินจ้องมองแต่ไม่ตอบอะไรกลับไป

อู่เหมยตบบ่าของเขาแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องเถียงแล้ว ตามเรามา!”

เมื่อเห็นแบบนี้ชายหนุ่มก็เลือกที่จะเมินนางและหันไปบอกกับทหาร “เจ้าไปเถอะ ข้าจะอยู่ด้านหลังให้”

“เจ้าจะทำอะไร?” รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไปพร้อมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ท่านแม่ทัพอู่สามารถกลับคำได้ แต่สำหรับข้าไม่มีทาง!” ถังหยินอาจจะเป็นปีศาจที่ฆ่าคนได้อย่างโหดเหี้ยมก็จริง แต่เขาก็มีคุณธรรมในใจและยึดมั่นในทุกสิ่งที่เขาพูดเสมอ

เมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังจะทำอู่เหมยก็โกรธมาก “หยูฉางเป็นถึงองค์ชายของศัตรูเราเชียวนะ พวกเราปล่อยเขาไปไม่ได้…”

ถังหยินไม่ตอบอะไรกลับไป

เมื่อเห็นว่าทั้ง 2 กำลังเถียงกัน ชิวเจิ้นจึงเดินเข้ามาแล้วมองถังหยินที่ตีหน้านิ่ง เด็กหนุ่มอยากจะบอกอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงหันไปพูดกับอู่เหมย “ท่านแม่ทัพอู่ หยูฉางเป็นสวะก็จริง แต่การที่ฆ่าเขามันอาจไม่ช่วยอะไรเลยก็ได้ ในทางกลับกัน ถ้าเราจับเขาไว้มันจะเป็นประโยชน์ต่อแคว้นเรามากกว่าเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเราสังหารเขาไป นี่มันก็อาจจะทำให้แคว้นหนิงโกรธมากก็ได้”

จริง ๆ แล้ว ชิวเจิ้นคิดว่าหยูฉางก็ควรตายเช่นกัน แต่เขาคิดจะยืนข้างถังหยิน ในเมื่อถังหยินเป็นคนยืนยันมาแบบนี้ เขาก็จะทำตามสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ การปล่อยหยูฉางไปแบบนี้มันทำให้อู่เหมยไม่พอใจ แต่ชิวเจิ้นก็มีเหตุผลที่สมควรอยู่

หลังจากครุ่นคิด นางก็พยักหน้าให้ “เอาล่ะถังหยิน เราจะฟังเจ้าแค่ครั้งนี้นะ มันจะไม่มีครั้งหน้าอีกต่อไป!” หลังพูดจบนางก็จ้องลึกลงไปในตัวถังหยินและเดินไปยังหน้าประตู

เมื่อเห็นอู่เหมยพูดแบบนี้ชิวเจิ้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากระซิบกับถังหยิน “สหายถัง เจ้ารีบร้อนเกินไปแล้ว”

แน่นอนว่าถังหยินรู้ดีว่าการขัดแย้งกับอู่เหมยไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่นางก็ไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนอะไรสำคัญแบบนี้ได้แน่ ๆ

เขายิ้มให้กับชิวเจิ้น “ขอบใจเจ้ามาก”

ได้ยินแบบนี้ชิวเจิ้นก็ยิ้มและหัวเราะไม่หยุด

จากนั้นไม่นานนัก ทหารของอู่เหมยก็ขึ้นไปถึงบนกำแพงได้สำเร็จ ถังหยินบอกกับชิวเจิ้น “เจ้าก็ขึ้นไปกับพวกเขาด้วยสิ!”

“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มจริงจังมาก

“ข้ายืนยัน”

“ถ้าตายก็อย่ามาโทษแล้วกัน!”

ชิวเจิ้นจึงเงียบกริบไป

เมื่อพวกทหารของอู่เหมยขึ้นไปข้างบนนั้นแล้ว หยูเจียที่อยู่หน้ากองทัพหนิงก็เริ่มเคลื่อนไหว แม้ว่าจะมีนายทหารมากมาย แต่หยูฉางก็ยังอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่าย เมื่อเห็นศัตรูเข้ามาจำนวนมากแบบนี้ ชิวเจิ้นเองก็เริ่มตื่นตระหนกจนเหงื่อออกมือแล้วเช่นกัน

เขามองสหายของเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แน่นอนว่าชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยเหมือนเคย

ชิวเจิ้นเข้าใจแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบใดก็ตาม ถังหยินก็ยังคงเยือกเย็น ดวงตาของชายหนุ่มไม่เผยความอะไรทั้งนั้น ไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าชายผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าถังหยินเป็นศัตรู เขาจะน่ากลัวมาก! เด็กหนุ่มพึมพำในใจ แต่อีกใจหนึ่งของเขาก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม

“เจ้าจะปล่อยเขามาได้หรือยัง?” หยูเจียที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องมาที่ถังหยิน “แน่นอน!” ถังหยินโค้งตัวให้และคว้าเสื้อของหยูฉางยกขึ้นมา เดินออกมาข้างหน้า 2 ก้าวแล้วโยนกลับไป “ส่งคืน!”

ร่างของหยูฉางที่หนักกว่า 200 จิน*ได้ลอยไปไกลกว่า 3 จั้งและกระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น เมื่อเห็นแบบนี้หยูเจียก็รีบพุ่งเข้ามาล้อมตัวประกันเอาไว้ กลัวว่าอีกฝ่ายจะโจมตีกลับอีกครั้ง ถังหยินไม่รอช้าพาตัวชิวเจิ้นแล้วตะโกนบอก “หนีกันเถอะ!”

*หน่วยวัดน้ำหนักของจีน โดย 1 จินจะมีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม