บทที่ 31

ถังหยินและชิวเจิ้นต้องการที่จะหนี แต่คิดหรือว่าหยูเจียจะปล่อยพวกเขาไป ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องที่ถังหยินตัดหูน้องชายของเขาไปแล้ว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคิดจะหนี หยูเจียก็ควบม้าพร้อมด้วยหอกสีเงินตามไปทันที

อู่เหมยที่อยู่บนกำแพงก็รู้อยู่แล้วว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ แน่นอนอยู่แล้วว่าการพูดถึงเรื่องเกียรติยศกันหยูเจียนั้นมันไม่ได้ผลกับอีกฝ่ายที่ไม่ได้คิดแบบเดียวกันหรอก

นางโกรธถังหยินก็จริง แต่ก็เมินอีกฝ่ายไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงได้ออกคำสั่งกับทหารโดยรอบในทันที “เกาทัณฑ์! ยิงคุ้มกันแม่ทัพถัง!”

แม้ว่าอู่เหมยจะไม่ใช่แม่ทัพคุมเมือง แต่นางก็มีตำแหน่งสูงพอที่จะสั่งการได้

พลธนูนับร้อยขึ้นมาบนกำแพงและเริ่มแผลงศรลงใส่ หยูเจีย ธนูมากมายพุ่งลงมาจากด้านบน ถึงจะไม่โดนเป้าหมายแต่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ก้มหัวหลบตามสัญชาตญาณ

หยูเจียไม่ได้สนใจศรพวกนี้สักเท่าไหร่ เขายกหอกขึ้นมาแล้วควงมันเพื่อสร้างหมอกสีขาวล้อมรอบตัวเขา ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับเกราะกำบังให้ โดยตาของเขาโผล่ออกมาอย่างเดียว

ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนช้า ทว่ามันกลับเกิดขึ้นเร็วนัก ร่างของเขาถูกปกคลุมไว้ด้วยเกราะสีขาวในชั่วพริบตา เกราะปราณของเขาเสร็จสิ้น และลูกธนูเหล่านี้ก็ทำได้แค่เพียงสะกิดเล็กน้อยเท่านั้น ถึงแม้ว่าหัวเกาทัณฑ์จะคมมากเสียเมื่อกระทบกันก็พลันเกิดประกายไฟก็ตาม

ไม่ทันไรก็เกิดเป็นวงธนูรอบล้อมตัวเขา อย่างไรก็ตามกำแพงธนูก็กันไว้ไม่ให้เขาเคลื่อนที่มาด้านหน้าได้

“พี่รอง…”

ระหว่างที่กำลังวุ่นอยู๋กับลูกธนู หยูเจียก็ได้ยินเสียงน้องชายของเขา

“มีอะไรล่ะ?”

“พี่รอง อย่าไล่ตามพวกเขาเลย…”

หยูเจียไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แต่ตอนนี้พลธนูบนกำแพงเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และลูกศรก็เริ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว พร้อมกันนั้นถังหยินกับชิวเจิ้นเองก็ได้ไปถึงประตูเมืองแล้วเช่นกัน

ชายหนุ่มกำลังถูกดึงขึ้นไป เขาหันกลับมามองหยูเจียด้วยความตะลึงงันและบ่นพึมพำ “จำชื่อข้าไว้ให้ดี บางทีเวลาเราพบกันครั้งใหม่ อาจจะมีใครสักคนที่ต้องตาย ! ”

หยูเจียรีบควบม้าถอยออกมาจากฝูงธนู

เขาเดินไปหาหยูฉางที่ได้รับการดูแลบาดแผลที่ใบหูแล้ว ใบหน้าของน้องชายซีดเผือด เมื่อเห็นดังนั้นองค์ชายรองจึงถาม “เจ้าเป็นไงบ้าง? ถ้าไม่นับที่ใบหู ยังมีส่วนไหนที่เจ็บปวดอีกบ้างไหม ? ”

หยูฉางส่ายหัวแล้วพูดต่อ “พี่รอง ถึงถังหยินจะทำร้ายข้า แต่เขาก็ช่วยข้าในเวลาเดียวกัน”

“อะไรนะ?” หยูเจียเลิกคิ้วขึ้น

“จริง ๆ แล้วอู่เหมยต้องการจะฆ่าข้า แต่เขาก็ได้เข้ามาห้ามไว้ นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้าหยุดท่าน”

“หา?” ได้ยินแบบนี้พี่ชายก็เริ่มสับสน เขาไม่คิดว่าถังหยินจะสามารถห้ามอู่เหมยได้เลย แต่ถึงอย่างงั้น ชื่อของอีกฝ่ายได้ถูกจำฝังลึกลงไปในใจขององค์ชายรองแล้ว !

บนกำแพงเมือง ถังหยินได้ถูกดึงขึ้นไป และก่อนที่พวกเขาจะปลดเชือกออก อู่เหมยก็เดินเข้ามายิ้มให้อย่างเย็นชา “เป็นไงล่ะ? พูดถึงแต่เรื่องศักดิ์ศรี พวกมันน่ะไม่รู้เรื่องนั้นหรอก ดังนั้นอย่าทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้อีก ! ”

หลังจากที่ปลดเชือกออกถังหยินก็พูดขึ้น “ข้าก็แค่ทำตามที่ต้องการเท่านั้น เหมือนก็เหมือนกับที่ทุกคนพยายามทำนั่นแหละ มันคือเรื่องของพวกเขา”

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นและพยายามจะพูดบางอย่าง แต่ท่านแม่ทัพวัยกลางคนก็เดินเข้ามา “พ่อหนุ่มนี่คือ…”

“เขาคือถังหยิน!” อู่เหมยแนะนำตัวแทนเขา “แม่ทัพใหญ่ของกองพันที่ 2 ของเราเอง”

คำพูดดังกล่าวทำให้ทุกคนพากันตกตะลึง

ไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะมีท่าทีเช่นนี้ เพราะการได้ตำแหน่งแม่ทัพกองพันที่ต้องควบคุมกองทหารนับหมื่น ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วอายุไม่ถึง 20 ปีนั้นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ถ้าเป็นอู่อิงก็คงจะให้อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่านี้แล้ว ไม่คิดว่ามันจะเร็วเกินไปหน่อยหรือสำหรับตำแหน่งดังกล่าว ?

ชิวเจิ้นเป็นคนที่ตอบกลับเร็วที่สุด เขาทั้งตกตะลึงและดีใจไปพร้อม ๆ กัน เด็กหนุ่มดึงเสื้อถังหยิน ก่อนจะรีบกล่าวว่า “รีบขอบคุณท่านแม่ทัพอู่เร็วเข้าสิ!”

ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างงุนงง ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งจะโต้เถียงกับหญิงสาวมาเมื่อครู่นี้ แต่ทำไมนางถึงได้ตบรางวัลให้แทนที่จะโกรธกัน ?

จริง ๆ แล้วอู่เหมยเองก็มีวิถีของนางเองเหมือนกัน

ในการต่อสู้กับพวกหนิง กองทัพของนางได้รับความเสียหายมาก และต้องการกำลังพลเป็นจำนวนมาก ถึงจะได้พบเจอกับถังหยินไม่นานนัก แต่นางก็บอกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่เก่งกาจ และด้วยเหตุนี้เอง นางจึงได้ดึงชายหนุ่มให้เข้ามาร่วมด้วย ส่วนเหตุผลอีกก็คือเรื่องที่อู่เหม่ยสนใจในตัวของชายหนุ่ม ดังนั้นนางจึงอยากจะเก็บเขาให้อยู่ข้างกายเอาไว้

“ก่อนหน้านี้เจ้าได้จับกุมตัวหยูฉาง องค์ชายสามแห่งแคว้นหนิงมาได้ เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ดังนั้นเราจึงต้องให้รับรางวัลที่เหมาะสมกับความดีความชอบ มันแปลกตรงไหนกัน ? ” อู่เหมยอธิบายให้พวกเขาฟัง

เมื่อพวกทหารได้ยินดังนี้ก็กลืนน้ำลายกันใหญ่ พวกเขาพากันตะลึงในความสามารถของถังหยิน ชายหนุ่มผู้สามารถจับกุมตัวองค์ชายสามได้ นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่รึไง !

จนถึงเมื่อครู่พวกเขาคิดว่าถังหยินเพียงแค่โชคดี แต่กลับกลายทั้งหมดนี้ที่พวกเขารอดมาได้ก็เป็นเพราะชายหนุ่มนั้นจับตัวเชลยศึกมาด้วย !

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกอู่เหมยถึงได้ผ่านค่ายพวก หนิงมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน และไม่กล้าเข้ามาใกล้ขนาดนี้

ชายวัยกลางคนไม่กล้าที่จะจู้จี้เกี่ยวกับถังหยินอีกแล้ว เขารีบตอบกลับไป “ข้ามีนามว่าซงเจิ้นกวงเสี่ยว ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพผู้ดูแลประตูหน้าด่านตง สำหรับสหายถังหยินที่สามารถจับกุมองค์ชายของอีกฝ่ายได้ท่ามกลางศัตรูนับแสน นับว่าเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง”

ชายหนุ่มเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย สำหรับเขาแล้วการจับตัวหยูฉางมันเป็นเพียงแค่ความโชคดีเสียมากกว่า องค์ชายสามผู้นั้นประมาทเกินไป เขาส่ายหัวและพูดขึ้น “มันเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ทันระวังตัวมากกว่า ฮ่ะฮ่ะ”

“สหายถังจะถ่อมตัวเกินไปแล้ว!” ซงเจิ้นมองพี่น้องอู่และโค้งให้ “ท่านแม่ทัพทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ขอเชิญท่านพักที่โรงเตี๊ยมเถิด”

2 พี่น้องอู่ที่เหนื่อยทั้งกายและใจได้กลับมาถึงประตูตงอย่างปลอดภัย หัวใจที่ตื่นเต้นตลอดเวลาจึงได้ผ่อนคลายลง

อู่เหมยพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว” หลังจากหยุดไปสักพัก นางก็พูด “ทหารของเราเองก็เหนื่อยเช่นกัน แม่ทัพซงเจิ้นช่วยเราจัดการทีสิ”

“แน่นอน พักผ่อนให้เต็มที่นะท่านแม่ทัพ ! ”

“แม่ทัพซงเจิ้น มากับเราด้วย เราอยากจะรู้สถานการณ์ตอนนี้” นางหันมากะพริบตาให้กับถังหยินและหัวเราะ “ถังหยินเจ้ามาด้วยนะ”

ถังหยินขัดขืนไม่ได้อยู่แล้ว เขาต้องยอมทำตามแต่โดยดี ชิวเจิ้นเองก็ไม่อยากจะอยู่คนเดียวจึงได้เดินตามถังหยินไป แต่เมื่อเห็นว่าอู่เหมยไม่อยากจะให้เป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงยอมถอยไป

ประตูตงไม่ใช่เพียงแค่ประตู หากแต่เป็นป้อมปราการที่มีผู้คนอาศัยอยู่ ที่นี่ไม่มีประชาชนมากมายนัก อย่างน้อยก็ประมาณ 1 หมื่น แถมส่วนก็เป็นคนงานพร้อมครอบครัว มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นพ่อค้า

พวกเขาเดินกันไปตามถนนในเมือง

ระหว่างทางนั่น

อู่เหมยถามอย่างจริงจัง “แม่ทัพซงเจิ้น ตอนนี้ที่นี่มีทหารกี่นายคอยปกป้องกัน?”

“น้อยกว่า 20,000 นาย” ซงเจิ้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ตอนที่พวกเราไปยังแคว้นหนิง ทหารที่นี่ก็ถูกเรียกออกไปจนหมด ถ้าไม่ติดที่ว่าพวกนั้นหนีไปหมดแล้ว ข้าก็คงมีทหารที่ปกป้องที่นี่ได้มากกว่า 1 แสนนายแล้ว!”

”แล้วแม่ทัพจีหยางล่ะ?” แม่ทัพจีหยางคือ จีหยางเฮาชุนแห่งตระกูลจีหยาง พวกเขาเป็น 1 ใน 4 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของแคว้นเฟิง

จีหยางนั้นเป็นแม่ทัพของแคว้นเฟิง ที่นับได้ว่าเป็นกองกำลังหลักของแคว้นเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าเขานั้นมีความสามารถที่เก่งกาจจนเป็นที่ถูกตาต้องใจของอ๋องแห่งแคว้นเฟิง

“แม่ทัพจีหยางกลับไปที่เมืองหลวง ‘หยาน’ เรียบร้อยแล้ว” ซงเจิ้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆแล้วพูดเบาๆ “ว่ากันว่าตอนที่พวกเราแพ้ที่เฮอตง ท่านอ๋องทรงโกรธมาก ข้าเกรงว่าท่านจีน่าจะหมดอนาคตแล้วล่ะ แถมยังกระทบไปถึงตระกูลจีหยางอีกด้วย”

แม้ว่าทั้ง 2 ตระกูลนี้จะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แต่ก็มีสิ่งที่ไม่อาจพูดได้อยู่ ยิ่งพวกจีหยางเฮาชุนต้องการที่จะเอาชนะใจพวกตระกูลอู่อยู่แล้วด้วย

“นี่นับได้ว่าเป็นเวลาที่ดีที่ยอดคนจะเกิดมาเพื่อกอบกู้สถานการณ์ ! ซึ่งข้าก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ใช่การยากสำหรับตระกูลอู่” ซงเจิ้นพูด

อู่เหมยหัวเราะคิกคัก “อย่าพูดถึงตระกูลเราเลย มาพูดถึงเรื่องของเจ้าและทหารที่นี่ดีกว่า เจ้าคิดว่าจะสามารถปกป้องที่นี่ไว้ได้หรือไม่? จากที่เราเห็นว่ามีทหารหนิงกว่า 4 แสนนายที่นี่ ต่อให้ประตูตงจะมีชื่อเสียงว่าไม่อาจทลายได้ แต่เราว่าครั้งนี้คงไม่ใช่เสียแล้วล่ะ” นางครุ่นคิดและพูด “โอ้ จริงด้วย ไม่ใช่ว่าที่เมือง หยานส่งกำลังเสริมมาหรือ?”

“ฝ่าบาทย่อมส่งมาอยู่แล้วล่ะ”

“ใครเป็นผู้นำทัพ ? ”

“เหลียงฉี!”

“เขาหรือ?” อู่เหมยกะพริบตาจากนั้นก็ส่ายหัว

ตระกูลเหลียงคือ 1 ใน 4 ขุนนางที่มีอำนาจในแคว้นเฟิง และเหลียงฉีคือลูกชายคนโตแห่งตระกูลนี้

ในตอนนี้แคว้นเฟิงนั้นไม่ได้สงบสุขเท่าที่ควร ทั้ง 4 ตระกูลต่างก็เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกัน และที่ทรงอำนาจที่สุดในตอนนี้ก็คือตระกูลอู่

ส่วนทางด้านตระกูลเหลียงนั้นไม่ค่อยมีอำนาจมากนัก ทว่าในตอนนี้นั้น ทั้ง 10 กองพันที่พวกเขามีใต้บังคับบัญชาไม่มีกองไหนถูกส่งออกไปรบเลย นี่จึงทำให้อำนาจของตระกูลเหลียงผงาดขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายใต้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ !