บทที่ 32

“จากเมืองหยานที่เป็นเมืองหลวงมาถึงประตูหน้าด่านตง ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น ถ้าว่ากันตามตรงเจ้าเหลียงฉีก็น่าจะมาถึงได้แล้ว” อู่เหมยขมวดคิ้ว

“ใช่แล้ว! พวกเขาควรจะมาถึงได้ตั้งนานแล้ว!” ซงเจิ้นหัวเราะอย่างขมขื่น “แม่ทัพเหลียงออกจากเมืองหลวงเมื่อ 7 วันที่แล้ว แต่เมื่อข้าส่งคนไปบอกเขาเรื่องสถานการณ์ในตอนนี้ ทางแม่ทัพเหลียงกลับไม่ยอมที่จะทำตาม ซึ่งข้าก็พอจะเข้าใจว่าตระกูลเหลียงอยากจะเก็บกองกำลังทั้ง 10 ของตัวเองเอาไว้และไม่อยากเอาไปใช้ในการรบกับพวกหนิง”

“สารเลวเอ๊ย!” อู่เหมยหน้าชา นางกัดฟันและพูดออกมา “ถ้าไม่มีกำลังเสริม พวกเราจะต้องเสียประตูตงไปแน่ แม่ทัพซงเจิ้น ท่านไม่มีแผนที่ดีกว่านี้แล้วหรือ ?”

เขาส่ายหัว

ประตูตงถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่าย มีสวนนิดหน่อย และมีห้องหับอยู่ 1 ห้องของแต่ละฝั่ง ส่วนห้องหลักเองก็เป็นแค่ตึกไม้เล็ก ๆ 2 ชั้นเท่านั้น

ห้องของถังหยินอยู่ตรงข้ามกับเขา

ในห้องนั้นมีเตียง โต๊ะ ชั้นวางของ และเก้าอี้ 4 ตัว ไม่มีอะไรอื่นเลย ชีวิตปกติของถังหยินเองก็เรียบง่ายอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความพึงพอใจหรืออะไรก็ไม่จำเป็นมากเท่าไหร่ ในตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยมากจึงไปนอนพักที่เตียง ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อเลยด้วยซ้ำเพราะเขาอยากจะนอนแล้ว

ทันทีที่ชายหนุ่มหลับตา เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

“เข้ามา!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ประตูเปิดออกและชิวเจิ้นก็เดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนอายุ 40 ปี ถังหยินมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

เด็กหนุ่มหัวเราะ “นี่คือหมอยาที่แม่ทัพซงเจิ้นเรียกมา”

“อ้อ” ถังหยินพยักหน้าให้ “แผลมันไม่ได้ใหญ่นักหรอก ช่างมันเถอะ”

หมอคนนี้ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา และคว้าเก้าอี้มานั่งข้างชายหนุ่มก่อนจะมองไปยังแผลบริเวณซี่โครงของถังหยิน “ท่านแม่ทัพจะปล่อยปละละเลยไม่ได้นะ บางทีแผลเล็ก ๆ อาจจะทำให้ท่านถึงตายได้เลยทีเดียว แถมเท่าที่ข้าเห็นแผลมันก็ไม่ได้เล็กเลยนะ!” ระหว่างที่พูดอีกฝ่ายก็ได้ปลดผ้าที่พันรอบเอวของชายหนุ่มออก

ถังหยินอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด และไม่ค่อยได้ให้ใครมาสัมผัสตัวนัก

ทันทีที่หมอจับมายังเอว เขาก็รีบคว้ามืออีกฝ่ายไว้และจ้องไปด้วยสีหน้าเย็นชา

เขามีพละกำลังมากอยู่แล้ว เมื่อบวกกับพลังปราณเข้าไปจึงยิ่งแข็งแกร่ง แรงบีบของเขาทำเอาหมอต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและเกือบลงไปกองที่พื้น

ชิวเจิ้นกระโดดด้วยความตื่นตระหนกแล้วรีบคว้าแขนถังหยิน “สหายถังใจเย็นก่อน ท่านหมอคนนี้ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ เขาแค่จะช่วยดูแผลให้เจ้าเท่านั้นเอง ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพวกหนิงจะเข้าโจมตีเมื่อไหร่ ก็เลยมาดูอาการของเจ้าก่อน เพราะกลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปก่อนสู้ไง!”

ได้ยินแบบนี้ถังหยินก็เริ่มคิดได้และปล่อยมือ

เขายกมือขึ้นพาดหัวตัวเองและบอกกับหมอ “ตามสบายเลย!”

ถึงเขาจะเป็นคนดื้อด้าน แต่ก็ไม่ใช่คนที่เมินคำแนะนำอยู่แล้ว ชายหนุ่มแค่อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายยอมรับในตัวเขาหรือเปล่า ตั้งแต่ที่ชิวเจิ้นเป็นคนแรกที่เขารู้จักในโลกนี้ ยิ่งไปกว่านั้นชิวเจิ้นก็ยังอ้าแขนรับเขาอีก ต่อให้ไม่พูดออกไปตรง ๆ แต่ก็บอกได้จากใจเลยว่าเขายอมรับในตัวชิวเจิ้นแล้ว

ท่านหมอคนนี้ทำหน้าเจื่อน ๆ ก่อนจะลูบข้อมือตัวเองที่ถูกบีบ

ถ้าหากเป็นคนอื่นเขาก็คงจะโกรธไปแล้ว แต่ถังหยินคือคนที่ซงเจิ้นชื่นชมมากและยังอยู่ข้างเดียวกันด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก

ในสายตาของถังหยิน บาดแผลพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เขาสามารถใช้พลังปราณรักษาได้ด้วยซ้ำ แต่ในสายตาของคนอื่นแล้วมันอันตรายมากเลยทีเดียว

ในสงครามนั้น หลังจากที่โดนหอกหรืออาวุธอื่นแทงเข้ามา มันจะก่อให้เกิดรูขนาดใหญ่ที่ลึกเสียจนทำให้เสียเลือดจนตายได้ ในขณะที่แผลของถังหยินมีรูปแบบนั้นเช่นเดียวกัน แต่มันก็น่าแปลกใจมากที่ไม่มีเลือดไหลออกมาเลยสักนิด

เขาไม่รู้ว่าถังหยินเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด แต่นึกแค่เพียงว่าร่างกายของถังหยินแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

ว่ากันด้วยเรื่องการแพทย์แล้ว หมอคนนี้ก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว เขาสามารถรักษาบาดแผลของถังหยินได้ดีพอสมควร ชายหนุ่มไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

ในขณะที่หมอกำลังพันแผลให้เขา ถังหยินก็พยักหน้าขอบคุณ ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มมีรอยยิ้มอยู่บนนั้น หมอคนนี้ถอนหายใจ “แม่ทัพถังบาดเจ็บหนัก ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าโหมร่างกายภายในครึ่งเดือนนี้ก็แล้วกัน”

“ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ ข้าจะจำไว้เป็นอย่างดี” ถังหยินยอมรับมันแค่เปลือกนอก ในใจเขายังลังเลอยู่

“แม่ทัพถัง ข้าขอตัวก่อน”

“ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ”

หลังจากท่านหมอออกไปแล้ว ชิวเจิ้นเองก็ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เด็กหนุ่มมองไปที่ถังหยินโดยไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มจึงหัวเราะออกมาและโบกมือให้ “หาเก้าอี้มานั่งสิ อย่ามายืนแถวหัวเตียงจะได้ไหม”

ถังหยินพูดติดตลก แต่ดูเหมือนชิวเจิ้นจะไม่เล่นด้วยกันกับเขา

เด็กหนุ่มพูดอย่างอ่อนแรง “หมอบอกว่าแผลเจ้าแย่มาก”

ถังหยินไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ “ความสามารถที่เก่งที่สุดของแพทย์ก็คือการคาดเดาให้รุนแรงเข้าไว้”

ชิวเจิ้นลูบหน้าผากตัวเอง “สหายถัง การรบที่ประตูตงไม่ใช่เรื่องของเรา บางทีเราอาจจะต้องไปคุยกับท่านแม่ทัพอู่และบอกให้นางพาเรากลับไปยังเมืองหยาน”

อันที่จริงชายหนุ่มเองก็ไม่ได้สนใจการรบที่ประตูหน้าด่านตงมากเท่าไหร่นัก เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดว่าเขาไปถามหาที่อยู่ของอู่เหมยมันคงดูแปลกไปหน่อย เมื่อคิดดังนั้น ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “อู่เหมยน่าจะไม่กล้าไปมากกว่าเราหรือเจ้าหรอก ถ้านางป้องกันที่นี่ไม่ได้ก็คงจะหนีไปทันทีเหมือนกันแหละ”

“ข้ากลัวว่า…” ชิวเจิ้นพึมพำ “ถ้าแม่ทัพซงเจิ้นไม่หนี แม่ทัพอู่เองก็คงจะต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ที่นี่เหมือนกัน เพราะว่าความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ตระกูลมันไม่ธรรมดาเลย”

ได้ยินแบบนี้ถังหยินก็เริ่มสนใจ “ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่นี่หรือไม่ ยังไงก็ต้องมีคนตัดสินใจแทนพวกเราอยู่ดี ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าในราชสำนักจะมีเรื่องราวยังไงบ้าง ดูเหมือนว่าจะเป็นการแก่งแย่งอำนาจขึ้นระหว่างพวกขุนนางกันเอง ชิวเจิ้น เจ้าเข้าใจสถานการณ์ได้ดีนี่ อธิบายให้ข้าฟังหน่อย”

ชิวเจิ้นเกาหัว “นี่มันก็เรื่องยาวอยู่นะ…”

4 ขั้วอำนาจแห่งแคว้นเฟิงได้แก่ ตระกูลจีหยาง ตระกูล เหลียง ตระกูลอู่ และตระกูลซง

ตระกูลจีหยางควบคุมทหาร 15 กอง เป็นกองกำลังขนาด 1 แสน 5 หมื่นนาย ปรมาจารย์จีหยางเฮาชุนคือขุนนางที่เป็นแม่ทัพในตำแหน่งโฮ ส่วนตระกูลอู่ควบคุมกองทหาร 8 กอง ซึ่งมันก็รวมไปถึงกองพลทหารราบที่ 2 และ 3 ที่มีผู้นำคือปรมาจารย์อู่หยูที่เป็นตำแหน่งมือขวาในตำแหน่งโฮเช่นกัน

ทางด้านตระกูลซงนั้นก็ได้ควบคุมอยู่ 6 กอง และมีแม่ทัพซงเทียนเป็นผู้ควบคุมด้วยตำแหน่งโฮ นอกจากนี้ก็ยังมีตระกูลเหลียงอีกหนึ่งตระกูลที่ถือครองกำลังทหารเอาไว้ไม่น้อยเลย

จำนวนทหารที่มีมากมายของทั้ง 4 ตระกูลนั้นนับรวมกันได้แล้วก็มีมากถึง 4 แสนนาย นอกจากนี้ก็ยังเป็นกองกำลังส่วนตัวของทั้งตระกูลกว่าครึ่ง แถมยังมีทหารอีกนิดหน่อยประจำเขตที่พวกเขาดูแลอีก 2 แสนนายอีกเดียว ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นครึ่งหนึ่งของกำลังทหารทั้งหมดของแคว้นเฟิงเลยทีเดียว

ศึกที่เขตเฮอตงนั้น ทางตระกูลจีหยางได้ส่งออกมา 10 กอง ส่วนราชวงศ์ส่งมา 6 กอง และตระกูลอู่ก็ส่งมา 4 กอง

ทหารทั้ง 2 แสนนายถูกส่งมาให้สุ่มโจมตีในเขตเฮอตง ซึ่งพวกเขาก็คิดกันว่าพวกตนนั้นมีโอกาสชนะอยู่แล้ว ทว่าท้ายที่สุดแล้วแคว้นหนิงก็พากองทหารมากกว่า 4 แสนนายเข้ามาร่วมรบด้วย พวกมันจัดขบวนรบเป็นเหมือนกับตาข่ายที่ล้อมรอบกองทหารเฟิงทันทีที่พวกเขาเข้ามายังเขตเฮอตง

การรบเริ่มขึ้นที่เขตเฮอตง ทหารจากทั้ง 2 แคว้นอันยิ่งใหญ่เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ก็คือสิ่งที่ถังหยินได้พบเจอมาตั้งแต่เข้ามายังโลกนี้ มันคือการหนีตายของทหารเฟิงไปยังประตูหน้าด่านตงที่ถูกปิดกั้นด้วยทหารหนิง ทำให้มีน้อยคนนักที่จะกลับไปถึงประตูตง

ชายหนุ่มเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะถูกหลอกใช้โดย อู่เหมย หรือว่าจะไม่เจอนางก็ตาม ยังไงเสียก็คงยากสำหรับเขาอยู่ดีที่มาได้ไกลขนาดนี้

สำหรับแคว้นเฟิง แม้ว่าจะย่อยยับไปในการศึกครั้งนี้ แต่ด้วยกองกำลังที่ยังพอมีอยู่บ้างจึงทำให้ทนทานได้อยู่ แต่สิ่งที่เสียไปก็คืออำนาจและความสัมพันธ์ที่มีต่อตระกูลทั้ง 4

ถึงแม้ว่าตระกูลพวกนี้จะมีความร่ำรวยก็จริง แต่เมื่อสูญเสียไปแล้วมันก็ยากมากที่จะได้กลับคืนมาอีกครั้ง พวก จีหยางนั้นได้กลายเป็นตระกูลที่อ่อนแอที่สุดจากเดิมที่เคยแกร่งที่สุด และที่สำคัญที่สุดอ๋องแห่งแคว้นเฟิงเองก็คงไม่ไว้วางใจพวกจีหยางอีก

แม้ว่าตระกูลอู่เองก็เสียหายมาก แต่การฟื้นฟูกองกำลังทั้ง 4 ก็ไม่ได้ยากมากมายนัก อีกทั้งพวกอู่เองก็ไม่ได้ทำตัวเสื่อมเสียในสงครามครั้งนี้ ดังนั้นอ๋องแห่งแคว้นเฟิงจึงไม่ได้ลงโทษพวกเขา

หลังจากศึกนี้ พวกเหลียงเองก็สู้กลับและได้ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในแคว้นเฟิงมา ทำให้ตอนนี้ตระกูลเหลียงมีกองทหาร 10 กองภายใต้การควบคุมจนแกร่งที่สุดในบรรดาทั้ง 4 ตระกูล ทางด้านพวกซงเองก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่การที่ต้องโดนตระกูลจีหยางตัดความสัมพันธ์ไปมันก็ทำให้พวกเขาลำบากไม่ใช่น้อย

หลังจากฟังข้อมูลจากชิวเจิ้น ถังหยินก็เข้าใจสถานการณ์ของแคว้นเฟิงอย่างคร่าว ๆ แล้ว ตาของเขามองไปยังชิวเจิ้นยิ้มและไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มรู้สึกระแคะระคายกับสายตาของเขา แล้วจับใบหน้าตัวเอง “มีอะไรหรือเปล่า?”

ถังหยินหัวเราะ “ข้าคิดว่าการเดาของเจ้ามันถูกต้องทีเดียวละ”

“การคาดเดา?”

“เจ้าบอกเองว่าพวกหนิงจะไม่ปล่อยโอกาสที่จะโจมตีประตูตงแน่ ๆ ซึ่งมันก็น่าจะจริงตามที่เจ้าพูด”

“ฮ่าๆ” ชิวเจิ้นหัวเราะเบา ๆ “พวกหนิงเองก็เตรียมตัวมาดี การสังหารทหาร 2 แสนเป็นแค่ก้าวแรก ขั้นต่อมาก็คือการบุกประตูตง หลังจากนั้นข้าเกรงว่าพวกมันคงจะบุกตรงไปยังเมือง หยาน เมืองหลวงแห่งแคว้นเฟิงต่อ” หลังหยุดไปสักพัก เขาก็หันมากระซิบกับถังหยิน “ข้ากล้าพูดเลยว่าสายลับของพวกหนิงน่าจะอยู่ในราชสำนักเฟิงแน่ ๆ ”