บทที่ 33

ได้ยินแบบนี้ถังหยินก็ตะลึงเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจได้อย่างไร?”

ชิวเจิ้นหัวเราะอย่างขมขื่น “การจะรวมกำลังทหาร 4 แสนนาย มันต้องใช้เวลานานทีเดียว เพียงแค่การเตรียมเสบียงอาหารก็ใช้เวลา 2-3 เดือนเป็นอย่างต่ำแล้ว ไม่แปลกหน่อยเหรอว่าทำไมพวกหนิงถึงจัดการได้รวดเร็วเพียงนี้? ถ้าข้าเดาไม่ผิดในราชสำนักจะต้องมีสายลับอยู่แน่ เพราะพวกเขามีข้อมูลที่แม่นยำ ตั้งแต่การรวบรวมกำลังพล การวางแผนการรบ และเรื่องการจัดการทุกอย่าง ฝ่ายนั้นก็คงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเรา ทว่าพวกเรากลับไม่รู้อะไรเลย ! การที่ทหาร 2 แสนเจอกับทหาร 4 แสน ? มันจะไปชนะได้ยังไง?!”

ถังหยินพยักหน้า ต่อให้เขาไม่เข้าใจในเรื่องการสงครามแต่คำพูดของชิวเจิ้นก็ทำให้เขาเข้าใจได้อยู่

หลังจากครุ่นคิดถังหยินก็ส่ายหัว ไม่ว่าจะมีสายลับในราชสำนักหรือว่ามีพวกหนิงปะปนอยู่หรือไม่ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะจัดการได้ ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ “ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา พวกเราต้องทำสิ่งเดียวแล้วในตอนนี้”

“นั่นก็คือ?”

“นอน!” ถังหยินหัวเราะ “ข้าคิดว่าถ้าไม่มีพลังที่มากพอก็จะทำอะไรไม่สำเร็จไงละ”

ชิวเจิ้นหัวเราะออกมาอย่างดังก้อง “นั่นก็ฟังดูมีเหตุผล พวกเราคิดมากเกินไปจริง ๆ”

ชายหนุ่มถอดเสื้อนอกออกแล้วห่มผ้าให้สบายที่สุด “ประตูอยู่ทางนั้น ข้าไม่ไปส่งเจ้าหรอกนะ”

ชิวเจิ้นส่ายหัวและลุกขึ้นเดินออกไป ถังหยินนอนหลับอย่างสบายใจ เขาไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยซ้ำและหลับไปจนถึงเที่ยง ในช่วงเที่ยง เขาได้กลิ่นหอมจนต้องลืมตาขึ้นและเห็นถ้วยข้าวขนาดใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะ

ท้องของเขาเริ่มหิวอย่างควบคุมไม่อยู่ ชายหนุ่มจึงกลืนน้ำลายและลุกขึ้นมา

“แม่ทัพถัง ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าค่ะ!” เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ข้างเตียงเขา

เมื่อหันไปก็พบกับหญิงสาวนั่งอยู่ที่ปลายเตียง นางอายุ 16 ไม่ก็ 17 ในชุดธรรมดาพร้อมด้วยผมสีดำที่มัดเอาไว้ ผิวของหญิงสาวดูดีและชุ่มฉ่ำ ใบหน้าที่สวยงามและดวงตาที่ดูฉลาดคมคายทำให้คนที่มองดูสดชื่น

“เจ้าคือ…”

“ข้าคือหญิงรับใช้ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เจ้าค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยเสียงนุ่ม และเมื่อมองหน้าอกเปล่าเปลือยของถังหยิน ใบหน้าของนางก็เริ่มแดง ชายหนุ่มรู้และชี้ไปยังโต๊ะอาหาร “เจ้าเอามันมาหรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ!”

“เจ้าชื่ออะไร?”

“ทุกคนเรียกข้าว่า หยูน้อยเจ้าค่ะ”

“เสี่ยวหยู เสี่ยวปี่หยู ดูเข้ากับชื่อดีนะ” ถังหยินตอบห้วน ๆ แล้วไปหยิบเสื้อมาสวม แต่ก็หาไม่เจอจนเขาสงสัย “เสื้อข้าอยู่ไหน?”

เสี่ยวหยูรีบตอบทันที “เสื้อท่านขาดวิ่นมาก ท่านซงเจิ้นจึงเตรียมชุดใหม่ไว้ให้ท่านแล้วเจ้าค่ะ” ระหว่างที่พูดหญิงสาวก็หยิบเอาเสื้อตัวใหม่มาให้แล้ววางมันลงอย่างนอบน้อม

เมื่อชายหนุ่มจับมันดูก็พบว่ามันนุ่มนิ่มมาก ต่างกับชุดที่เขาใส่อยู่ มันแตกต่างจากชุดเกราะหนังของทหารธรรมดา เพราะมันมีความมันเงาแถมยังมีลวดลายที่แกะสลักมาเป็นอย่างดี เขาไม่คุ้นชินกับเกราะประเภทนี้ เพราะมันคือชุดที่พวกอู่ใส่อยู่

“นั่นก็ด้วยหรือ?” ถังหยินถาม

เสี่ยวหยูพยักหน้าให้ “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”

นางคือคนรับใช้ของโรงเตี๊ยมนี้ จึงคุ้นชินกับการรับแขกที่มาใช้บริการในที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกว่าถังหยินแตกต่างออกไป เขาพูดด้วยภาษาและสำเนียงแปลก ๆ แถมใบหน้าก็ยังหล่อเหลาเอาการ

ถังหยินไม่สนใจความคิดของหญิงสาวคนนี้ เมื่อมองชุดเกราะตัวใหม่เขาก็หัวเราะอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าอู่เหมยจะไม่ทำแค่เพียงประกาศตำแหน่งของเขาเท่านั้นเสียแล้ว แต่ถึงกับทำให้มันเป็นเรื่องจริงเลยทีเดียว แต่เขาจะรับมันหรือไหวหรือ ? กับการที่ต้องเป็นแม่ทัพให้กับนางไปตลอดชีวิต?

ชายหนุ่มเพิ่งจะมายังโลกนี้และวิ่งหนีมาตลอดทาง ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีเวลาคิดเรื่องเส้นทางชีวิตของตนเลย

ถ้าเป็นในสังคมปัจจุบัน ถังหยินที่ไม่ได้เรียนหนังสือ และมีเพียงแค่ทักษะฆ่าคนและเอาชีวิตเท่านั้น การจะมีชีวิตให้รอดและอยู่อย่างสุขสบายก็คงมีแต่ต้องเข้าร่วมกองทัพเท่านั้น

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นก็คงไม่ต้องลังเลแล้วล่ะ!

นอกจากนี้เขาเองก็ยังใช้ความสามารถในการต่อสู้ได้ดีเยี่ยมอีกด้วย เพราะงั้นคงยากที่จะปฏิเสธได้

ในโลกปัจจุบันเขามีชีวิตอยู่ในฐานะของนักฆ่าเลือดเย็น แต่มันก็ขัดกับกฎหมาย ทว่ากับโลกใบนี้นั้นมันต่างออกไป เพราะที่แห่งนี้การฆ่าคนถือเป็นเรื่องปกติสามัญ ซึ่งมันก็เหมาะกับเขามากทีเดียว

ผู้ชายทุกคนย่อมมีความรู้สึกอยากครอบครองทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ถังหยิน ในโลกที่แปลกประหลาดนี้ เขาอาจจะกลายเป็นชายผู้ครอบครองทุกสิ่งอย่างก็เป็นได้ !

ในเมื่อชายหนุ่มไม่อาจกลับไปยังโลกดั้งเดิมได้ เขาก็คิดว่าจะใช้พลังทั้งหมดในการฝ่าฟันทุกอย่าง ถึงแม้ว่าจะไม่มีชีวิตอยู่ได้เป็นพันปี แต่เขาจะขอให้เกียรติยศที่มีอยู่ยงคงกระพันไปอีกนับแสนปี

คิดแบบนี้รอยยิ้มของเขาก็เริ่มกว้างขึ้น เฉกเช่นเดียวกับเลือดภายในกายที่เริ่มเดือดขึ้นมาบ้างแล้ว

ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจง่ายที่ยอมละทิ้งทุกอย่าง แต่ในเมื่อโอกาสมาหาเขาแบบนี้จะให้ปล่อยไปได้อย่างไร ?

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ถังหยินก็เหมือนจะปลดแอกตัวเองออกจากทุกสิ่งอย่าง เขาถอนหายใจยาว ๆ ร่างกายขยับไปมาอย่างผ่อนคลาย

เมื่อเห็นเขามองเกราะบนชั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา หญิงรับใช้ยิ้มออกมาอย่างเป็นกังวลและถามขึ้น “ท่านแม่ทัพ… เกิดอะไรขึ้น?”

ถังหยินได้สติแล้วรีบแก้ตัว “ข้าไม่เป็นไรหรอก!” ระหว่างพูดเขาก็หยิบเสื้อขึ้นมาและร้องบอกแก่สาวคนนี้ “เอ่อ แม่นาง ข้าจะเปลี่ยนเสื้อหน่อย” ความหมายก็คือไล่ให้ออกไปล่ะนะ

เสี่ยวหยูคือสาวใช้ สำหรับนางรับใช้แล้ว นางไม่เคยถูกเรียกแบบนั้นมาก่อน คำว่า ‘แม่นาง’ ที่ได้ยินครั้งนี้นั้นนับได้ว่าเป็นครั้งแรก ! ด้วยเหตุนี้หญิงรับใช้นางนั้นจึงได้แต่ตะลึงค้างอยู่กับที่

เขาขมวดคิ้วงุนงงและปวดหัวขึ้นมา ชายหนุ่มนั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตนพูดอะไรออกไป แต่นางละ เป็นอะไรไปกัน ? “ข้าเปลี่ยนเองได้ เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

“เสี่ยวหยู… ข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจหรือเปล่า?” ใบหน้าของหญิงรับใช้เริ่มแดง

ในความคิดของนางแล้ว สาวใช้ต้องคอยช่วยเจ้านายตลอดเวลา นางไม่เข้าใจว่าถังหยินจะปฏิเสธตนเองทำไม ถังหยินไม่ใช่คนของยุคนี้ และเขาไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวเขาไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม

เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจะร้องไห้ เขาก็โบกมือและพยายามทำตัวดี ๆ “เจ้าทำดีแล้วล่ะ เพียงแต่ข้ายังไม่ชินเท่านั้น ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเจ้าช่วยออกไปก่อนได้ไหม เราคงได้พบกันอีกเร็ว ๆ นี้…”

โดยไม่รอให้พูดจบ เสี่ยวหยูก็ร้องไห้วิ่งออกไป

ถังหยินรู้สึกมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อเห็นนางจากไปไกลแล้ว เขาก็ได้แต่บ่นพึมพำออกมาเบา ๆ ว่า “อะไรละนั่น?”

เขารีบสวมเสื้อแม้ว่าจะไม่มีกระจกเพื่อดูให้มันเข้าที่ก็ตาม จากนั้นอู่เหมยก็เดินเข้ามา

เมื่อเห็นถังหยินในชุดใหม่ที่เตรียมไว้ให้ ดวงตาของหญิงสาวก็เปล่งประกาย ถังหยินตัวสูงใหญ่ เพราะการฝึกร่างกายตั้งแต่เด็กทำให้เขามีแต่กล้ามเนื้อที่สวยงามเข้ารูปและผิวที่ขาวเหมือนหยก แถมใบหน้ายังหล่อเหลาอีก

เมื่อหญิงสาวมองเขาแปลก ๆ ชายหนุ่มจึงถาม “แม่ทัพอู่ มีอะไรติดอยู่บนหน้าข้าหรือ?”

เมื่อนางได้สติ ใบหน้าก็แดงเล็กน้อยและยิ้มกลบเกลื่อน “ชุดนี้เหมาะกับเจ้าดีนะ”

ถังหยินก้มหัวเล็กน้อยและพูดต่อ “ข้าก็คิดเช่นนั้น ท่านหาข้าอยู่หรือ?”

“ในที่ลับตาแบบนี้เราขอสั่งให้เจ้าต้องเรียกเราด้วยชื่อ” อู่เหมยกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะ เหมือนกับว่า ถังหยินกำลังทำงานใหญ่ให้กับนาง ถังหยินไม่สนใจอะไร เขายักไหล่ให้ เมื่อเห็นว่ามีถังน้ำอยู่มุมห้องเขาก็ถือโอกาสล้างหน้าและนั่งตรงข้ามอู่เหมยเพื่อเริ่มทานข้าวเช้า

หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มตาไม่กะพริบ ก่อนที่จะพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “ประตูตงไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราจะอยู่ได้ตลอดไป เราวางแผนจะกลับไปยังเมืองหยานในตอนเที่ยงของวันนี้”

ถังหยินกลืนข้าวลงไปก่อนพูดขึ้น “ข้าไม่คัดค้าน”

“เราไม่ได้ถามความเห็นเจ้า”

“แล้วจะพูดขึ้นทำไม?”

“เราแค่จะบอกเจ้าไง!”

“อ้อ! อย่างนี้นี่เอง!”

“นี่ใช่วิธีที่เจ้าพูดกับผู้บังคับบัญชาหรือ?” อู่เหมยเริ่มรู้สึกว่าถังหยินเป็นม้าป่าที่คุมไม่อยู่ บทจะพยศก็เป็นเอาเสียดื้อ ๆ มันทำเอานางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเอาเสียเลย

ถังหยินวางจานชามและมองนางอย่างแปลกประหลาด

“เจ้า… มองอะไรน่ะ?” ภายใต้สายตาของเขา อู่เหมยจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ข้าคิดว่าท่านอู่ขาดคนอยู่นะ”

“ขาดใครล่ะ?”

“สหาย”

“สหาย?” อู่เหมยหัวเราะ หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงจริงจังโดยไม่รู้ว่าเป็นน้ำเสียงของความโกรธหรือว่าความรู้สึกผิด “พูดแบบนี้หรือว่าเจ้าอยากจะเป็นสหายกับเราล่ะ?”