บทที่ 34

ในพจนานุกรมของอู่เหมยไม่เคยมีคำว่า ‘สหาย’ มาก่อนเลยนับตั้งแต่ยังเด็ก นางใช้ชีวิตในรูปแบบของชนชั้นสูงและมีคู่แข่งตลอดเวลา ถ้าไม่นับพวกลูกน้องละก็นางแทบไม่มีมิตรสหายคนอื่นเลย

เมื่อเห็นนางตะลึงชายหนุ่มก็รู้สึกตลกขึ้นมาทันที เขาจำน้ำเสียงที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ได้ หญิงสาวพูดด้วยเสียงเย่อหยิ่ง “เรายอมเป็นสหายกับเจ้าก็ได้ แต่ต้องเก็บเป็นความลับนะ”

อู่เหมยทั้งโกรธและแปลกใจ นางมองถังหยินแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม หลังจากเก็บซ่อนอยู่นาน สุดท้ายแล้วนางก็ยอมหัวเราะออกมาอย่างดัง “เจ้ารู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเราไหม?”

“เจ้าคือแม่นางจากตระกูลอู่ ผู้มีฐานะอันสูงส่งแถมยังเป็นผู้นำกองทหารพลทหารราบที่ 2 และ 3”

“แล้วเจ้ายังกล้าพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้อีกเหรอ? ไม่คิดว่าเราจะประหารเจ้าด้วยเหตุผลแบบนี้บ้างหรือ?”

ใบหน้าของอู่เหมยมืดลงและกลายเป็นสีหน้าเย็นชา ดวงตาคมกริบขึ้นมองไปยังถังหยิน ชายหนุ่มทำเป็นไม่สนใจและพูดต่อย่างไม่เกรงกลัว “แน่นอนว่าข้ารู้อยู่แล้ว และรู้ด้วยว่าท่านไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก”

นางไม่รู้หรอกว่าเขามั่นใจมาจากไหน แต่ถังหยินเองก็ทำทีเหมือนจะขบถต่ออู่เหมยอยู่เลย ซึ่งถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนางคงไม่อาจกล้าที่จะฆ่าถังหยินอละนางก็คงไม่อาจปล่อยให้เขาทำแบบนี้ต่อไปแน่ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อนเลยด้วย

เมื่อคิดแบบนั้นหญิงสาวก็ตบโต๊ะและลุกขึ้น ถังหยินพูดออกมา “ท่านเคยคิดบ้างไหมว่ามิตรสหายน่ะสำคัญและเชื่อถือได้มากกว่าลูกน้อง ? ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายลูกน้องมันก็เป็นแค่ของชั่วคราว แต่ถ้าเป็นสหายกันละก็มันจะคงอยู่ในหัวใจตลอดไป !”

สายสัมพันธ์ระหว่างหัวใจ ! เมื่อได้ยินคำนั้น หญิงสาวพลันใจเต้นระรัว ร่างกายที่ลุกขึ้นไปแล้วก็ได้กลับมานั่งฟังถังหยินอีกครั้ง

ชายหนุ่มพูดต่อ “ตลอดเวลาข้าไม่เคยมีสหายเลย และต่อให้ท่านเป็นหนึ่งในนั้นข้าก็ไม่เคยมีมากกว่า 3 นั่นเป็นเพราะว่าถ้าหากสหายข้ามีปัญหาละก็ข้าจะต้องไปช่วยอย่างแน่นอน ซึ่งข้าไม่ใช่คนที่จะมีอะไรแบบนี้หรอก และไม่คิดว่าจะเอามันเข้ามาในชีวิตด้วย ท่านก็เห็นแล้วนี่”

อู่เหมยนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ บางทีนางอาจจะไม่ยอมรับคำพูดนี้ก็ได้ แต่ความอ่อนโยนในดวงตาของเขาทำให้หญิงสาวเลือกที่จะฟัง

ใช่แล้ว ! ถังหยินไม่ใช่คนที่จะมีใครมาควบคุมได้

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพราะว่าอู่เหมยเองก็สนใจในตัวเขา ถ้าหากถังหยินเหมือนกับคนอื่นและยอมฟังคำสั่งเฉกเช่นคนอื่น อู่เหมยคงไม่สนใจแบบนี้แน่ ความรู้สึกดังกล่าวมันทำให้จิตใจของหญิงสาวสั่นไหว

“ชิวเจิ้นเป็นสหายเจ้าหรือ?” หลังจากเงียบอยู่นาน สุดท้ายนางก็เปิดปากพูด

ถังหยินครุ่นคิดอย่างจริงจังและพยักหน้าให้ “คิดว่างั้นนะ”

อู่เหมยถามอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้เราส่งเจ้าไปหลอกล่อพวกหนิง แต่เจ้าขอให้เก็บเจ้านั่นไว้เพราะว่า…”

“นั่นคือการปกป้องสหาย”

หญิงสาวมองถังหยินโดยไม่กะพริบตา เขาพยักหน้าให้ราวกับว่าได้ตัดสินใจในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว “ก็ได้ เราจะเป็นยอมเป็นสหายของเจ้า แต่เราอยากจะให้เจ้ารับประกันหน่อยว่าตำแหน่งของเราจะไม่ต่ำไปกว่าชิวเจิ้น!”

ชายหนุ่มหัวเราะ ใครจะไปควบคุมน้ำหนักของคนที่อยู่ในใจกันได้เล่า? เขาเพิ่งจะเคยเห็นด้านนี้ของอู่เหมย มันเป็นภาพพจน์ที่เหมือนกับเด็กดื้อไม่มีผิด

เมื่ออู่เหมยพูดจบนางก็หัวเราะเช่นกัน นางเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองเหมือนกับเด็กขี้อิจฉา แม้ว่าหญิงสาวจะร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทหารมาก่อน แต่วัดจากสายตาของถังหยินแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจในตัวนางเลย

หญิงสาวรู้ดีว่าตัวเองเป็นภาพลักษณ์ที่สูงส่ง และเชื่อว่าจะไม่มีชายใดในโลกนี้ที่จะไม่หลงเสน่ห์ตน แต่เมื่อนางเจอกับถังหยิน มันก็ทำให้นางเริ่มผิดหวังขึ้นมาทันที

หลังจากที่นางจากไป ชิวเจิ้นก็รีบเข้ามาปาดเหงื่อ

เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างถังหยินและอู่เหมยด้านนอก และหัวใจของเขาก็เต้นระรัวเพราะเกรงว่าถ้ามีอะไรผิดพลาด อู่เหมยน่าจะโทษเขาแหง และชีวิตของถังหยินก็น่าจะพังทลายทันที แต่ท้ายที่สุดแล้วผลที่ออกมาก็ยังพอรับได้อยู่ แน่นอนว่าไม่แปลกใจเลยที่ทำไมอู่เหมยถึงได้ไว้วางใจถังหยินขนาดนี้รวมไปถึงให้อภัยเขาด้วย

เมื่อเห็นท่าทีแปลกใจแบบนี้ ถังหยินก็ไม่คิดจะถามว่าเด็กหนุ่มได้ยินคำพูดของเขาหรือไม่ และเปลี่ยนเป็นถามอย่างอื่นแทน “ชิวเจิ้น ที่นี่มีร้านขายอาวุธไหม?”

เด็กหนุ่มไม่คิดว่าจะโดนคำถามนี้ เขาเกาหัวก่อนตอบกลับไป “คิดว่ามีนะ ว่าแต่ทำไมสหายถังต้องการหาร้านอาวุธกัน?”

“แน่นอนว่าเพื่อปรับแต่งอาวุธ!” ถังหยินกลืนข้าวทั้งหมดลงไป เช็ดปากและลุกขึ้นมาบอกกับสหายเขา “ถ้าเจ้าว่างละก็มากับข้าหน่อย”

อาวุธของเขาเดิมคือดาบคู่วงพระจันทร์ที่เป็นลักษณะครึ่งวงกลม แต่เขาไม่คิดว่าที่จักรวรรดิเฮาเทียนจะมีอาวุธแบบนั้น ถ้าหากชายหนุ่มอยากจะได้มันมา ถ้างั้นก็คงต้องไปที่ร้านอาวุธ

“เจ้าก็มีอาวุธของกองทหารอยู่นี่? ทำไมต้องไปทำแบบนั้นกัน?” ชิวเจิ้นไม่เข้าใจ

ถังหยินยิ้มให้ “อาวุธที่ข้าต้องการ มันทำได้เฉพาะที่นั่น”

“โอ้ แบบนี้นี่เอง” ชิวเจิ้นเริ่มคล้อยตามและเดินออกไปจากที่นี่เช่นกัน

เด็กหนุ่มเดินตามหลัง ก่อนที่จะหยุดลงพร้อมสีหน้าที่ดูแปลกประหลาด

ชายหนุ่มหันมาถาม “มีอะไร?”

“สหายถัง เจ้ามีเงินไหม?”

“เงินเหรอ?” ถังหยินนึกขึ้นมาได้แล้วสบถด่าตัวเองด้วยความโง่เง่า แม้ว่าเขาจะมาที่ต่างโลกนี่ก็จริงแต่สิ่งสำคัญก็คือเงิน เขาไม่มีเงินติดตัวเลยในตอนนี้ กระเป๋าเงินของชายหนุ่มโล่งยิ่งกว่าท้องฟ้าเสียอีก

ชิวเจิ้นหยิบกระเป๋าของเขาออกมาพร้อมด้วยเหรียญทองแดงนิดหน่อยและหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้ามีแค่นี้เอง เกรงว่าน่าจะไม่พอ…”

ถังหยินถอนหายใจ “ข้าคงต้องไปยืมจากท่านแม่ทัพอู่เสียหน่อยละมั้ง”

หลังจากได้ยินคำขอดังกล่าว ดวงตาของอู่เหมยก็ได้หันมองมาที่ชายหนุ่มด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตามนางเองก็ใจกว้างมากพอที่จะหยิบก้อนทองออกมามอบให้ พร้อมคำถาม “เจ้าจะเอาเงินไปทำอะไร?”

“ทำอาวุธที่ถนัดมือ”

“แล้วในกองทัพไม่มีหรือ?”

ถังหยินส่ายหัว

อู่เหมยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คิดซะว่าเงินนี้เราให้เป็นของขวัญก็แล้วกัน ไม่ต้องคืนหรอก” ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ นางเข้าใจถึงความสำคัญของอาวุธดี มันเปรียบได้ดั่งชีวิตที่ 2 ในสนามรบ ถ้าหากไม่มีอาวุธที่ถนัดในมือละก็อาจถึงฆาตได้เลยทีเดียว

ชายหนุ่มของขอบคุณที่จะก่อนไปก็ได้พูดต่อ “ข้าจะตอบแทนท่านในอนาคต” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามจะปฏิเสธเขาก็ชิงพูดต่อ “ก็ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนชอบตอบแทนบุญคุณอะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าข้าไม่ชอบที่ใช้เงินที่ได้จากสตรีต่างหาก”

ได้ยินแบบนี้เข้าไปอู่เหมยก็ถึงกับตกตะลึง

ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องความหรือคุณธรรมอะไรของโลกนี้อยู่แล้ว เพราะว่าทั้ง 2 เพศมีสิทธิ์เท่าเทียมกันไม่เว้นแม้แต่ในตระกูลชนชั้นสูง นี่คือเหตุผลว่าทำไมราชบัลลังก์เฮาเทียนถึงได้มีจักรพรรดิและจักรพรรดินีไม่ขาดสาย

ความเป็นลูกผู้ชายของถังหยินทำให้นางไม่คุ้นชิน และทำให้รู้สึกไม่สบายใจในเวลาเดียวกัน ประตูหน้าด่านประตูตงไม่ใหญ่มากนัก มันมีทางหลักอยู่ 3 เส้นและ 6 เส้นรอง ถนนหลักนำพาไปถึงค่ายทหารและส่วนอยู่อาศัยของเมือง

ถังหยินและชิวเจิ้นเดินไปตามทางจนกระทั่งเจอกับร้านตีเหล็ก

เมื่อพวกทหารหนิงมายังประตูตง ร้านตีเหล็กก็พลันมีกิจการดีขึ้นทันตา เป็นเพราะกองทัพสั่งทำอาวุธจำนวนมากรวมไปถึงประชาชนธรรมดาที่เลือกหาอาวุธไปใช้ป้องกันตนเองกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ในตอนที่ทั้ง 2 มาถึงร้าน เจ้าของร้านก็กำลังยุ่งมากทีเดียว ซึ่งพวกเขาก็พอจะเดาออกเมื่อได้ยินเสียงค้อนทุบเหล็กไปมา

“เจ้าของร้านอยู่ไหม?”

ชิวเจิ้นยืนอยู่ที่บานประตูยังไม่กล้าเดินเข้าไป ชุดของเขาใหม่เอี่ยมเกินกว่าที่จะเข้าไปให้สะเก็ดไฟไหม้ได้ แต่ถังหยินไม่ได้สนใจและเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นชายแก่ผมเทาก็เดินออกมาต้อนรับ

“ท่านต้องการปรับแต่งอาวุธเองงั้นหรือ?”

ถังหยินและชิวเจิ้นใส่ชุดธรรมดาเดินเข้ามา ทำให้เจ้าของร้านไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นทหาร “ถูกต้อง ข้าต้องการดาบ 2 เล่ม”

“ดาบยาว ดาบสั้น ดาบโค้ง ดาบทมิฬ ดาบราบเรียบ… ท่านต้องการแบบไหนกันล่ะ?” ชายแก่พูดออกมามากกว่า 10 ชนิด ชายหนุ่มหัวเราะและส่ายหัวแล้วหยิบเศษเหล็กมาจากพื้นแล้วขีดเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “ข้าต้องการแบบนี้”

เมื่อเห็นรูปร่างของมัน ชายแก่ก็ถามอย่างสงสัย “รูปแบบนี้มันประหลาดยิ่ง ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย… มันเรียกว่าอะไรหรือ?”

“ดาบวงพระจันทร์(ซิมิทาร์)”

“โอ้!” ชายแก่พึมพำ

“ทำไม่ได้หรือ?”

“ไม่หรอก อันที่จริงข้าก็คุ้นรูปร่างของมันอยู่ อาจต้องใช้เวลานิดหน่อย”

ถังหยินหยิบก้อนทองที่ได้จากอู่เหมยมายื่นให้ “ข้าอยากได้วันนี้ ถ้าเจ้าทำมาให้ข้าได้ ทองก้อนนี้จะเป็นของเจ้า”

ก่อนที่จะได้ทันพูดจบชิวเจิ้นก็มองเห็นแท่งทองที่ชายหนุ่มได้รับมานั้นมีน้ำหนักมากทีเดียว แน่นอนว่าด้วยทองก้อนนี้ มันย่อมสามารถซื้อดาบได้มากกว่า 10 เล่ม เด็กหนุ่มมองถังหยิน พยายามส่งสัญญาณว่าไม่ต้องเสียเงินขนาดนั้นก็ได้

ถังหยินยักไหล่ ตราบเท่าที่เขาสามารถได้ของที่ต้องการ ชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจอยู่แล้วว่าต้องเสียเงินมากเท่าไหร่ เมื่อเห็นทองแท่ง ชายแก่ก็ดวงตาเป็นประกาย เขาถกแขนเสื้อขึ้นทันที “ได้เลย ท่านนี่ช่างใจดียิ่ง”

“ถ้างั้นก็ฝากเจ้าด้วย…”

ยังไม่ทันที่ถังหยินจะพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงระเบิดที่ดังกระหึ่มมาจากด้านนอกในที่ที่ไกลออกไป เสียงมันดังราวกับว่าแผ่นดินจะถล่มลงมายังไงยังงั้น