บทที่ 35

“เยี่ยมเลย! อะไรอีกล่ะคราวนี้?” ชิวเจิ้นตะลึงจนแทบก้มหมอบไปบนพื้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

พวกลูกจ้างในร้านเองก็หมอบลงมาเหมือนกัน ก่อนที่พวกเขาจะค่อย ๆ คลานออกมาดูภายนอก ถังหยินขมวดคิ้วแล้วเมื่อฟังเสียงดูก็คล้ายกับเสียงคำรามดังมาจากฝั่งค่ายทหารหนิง

ก่อนที่เขาจะทันรู้เรื่อง ชายหนุ่มก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งที่ดังราวกับฟ้าผ่า

ถังหยินตอบสนองได้ดีมากทีเดียว เขาแค่ตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น ชายหนุ่มรีบพุ่งออกไปจากร้านและวิ่งไปยังประตูเมืองพร้อมตะโกนเรียกชิวเจิ้น “พวกหนิงโจมตีเมืองแล้ว อย่าตามมานะ เจ้าจงไปอยู่ที่โรงเตี๊ยม!”

เด็กหนุ่มไม่ฟังเขาและรีบวิ่งตามถังหยินไป

เมื่อเห็นว่าเขากำลังวิ่งมา ชายหนุ่มจึงพูด “ตามมาทำไมเล่า? เจ้าทำอะไรได้ในสนามรบกันฮะ?”

ถึงแม้ว่าคำพูดจะดูทิ่มแทง แต่มันก็เป็นความจริงที่ชิวเจิ้นไม่สามารถทำอะไรในสนามรบได้เลย

ชิวเจิ้นกลืนน้ำลายและพูดอย่างเหนื่อยหอบ “อย่างน้อยข้าก็ช่วยเจ้าได้นิดหน่อยละกัน!”

ถังหยินมองเขาและขี้เกียจจะพูดด้วยแล้ว “ตามใจเจ้าเลยก็แล้วกัน!”

เขาเดาไม่ผิด พวกหนิงคงเริ่มโจมตีเมืองแล้ว

เครื่องยิงหินส่งก้อนหินมหึมาเข้ากระแทกกำแพงประตูตงจนเกิดเสียงดังสนั่น แรงกระแทกส่งให้ดินกระจายไปทั่วทิศทาง บนกำแพงเมืองนั่น พวกทหารที่หลบไม่ทันก็โดนหินบดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี

เพียงชั่วครู่ เสียงตะโกน กรีดร้องโวยวายก็ดังขึ้นรอบกำแพงเมือง

เครื่องยิงหินมันเป็นแค่การเริ่มต้นและของจริงก็คือการโจมตีของรูปแบบขบวนทัพสี่เหลี่ยมของพวกหนิง กองทัพหนิงเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าทีละก้าว พวกเขาให้ความสำคัญระหว่างกองทหารหอกที่เคลื่อนพลไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

ทหารในรูปขบวนเคลื่อนที่เข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนั้นก็เป็นเพราะชุดเกราะที่พวกเขากำลังสวมใส่อยู่

หมวกกับเกราะเหล็กมันช่วยปกป้องผู้ใช้งานได้ดีก็จริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้พวกเขาต้องสละความเร็วในการเคลื่อนที่ออกจนเชื่องช้าอย่างที่เห็น

กองทัพหนิง 1 ขบวนจะมีกองทหารอยู่ราว ๆ 1 หมื่นนาย แบ่งเป็น 5 กองแรกสำหรับรูปแบบขบวนที่ใช้ในการโจมตี ก่อนจะตามอีก 10 กองที่เป็นกองทัพตรงกลาง และปิดล้อมด้วยอีก 5 กองที่รอบข้าง

ตอนที่พวกเขากำลังเข้าโจมตีเมือง ทหารพวกนี้อยู่ในพื้นที่เสียเปรียบ แต่สามัญสำนึกของพวกหนิงนั้นแตกต่างออกไป พวกเขาทุ่มเทกำลังทั้งหมด 2 แสนนายเป็นแนวยาว จำนวนคนมหาศาลขนาดนี้ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

“พวกศัตรูเริ่มโจมตีแล้ว เตรียมพลธนูและเตรียมท่อนซุงกับหิน—”

พวกทหารและแม่ทัพต่างก็ตะโกนบนกำแพง ผสานไปกับเสียงเคลื่อนทัพของศัตรูที่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา บรรยากาศในตอนนี้หนักอึ้ง ทุกคนรู้ดีว่าการต่อสู้อันแสนดุเดือดกำลังจะเริ่มขึ้น

หินขนาดใหญ่ถูกเหวี่ยงเข้าใส่กำแพงเมือง ทหารเฟิงเองก็หลบซ่อนตัวอยู่ ทุกคนกอดอาวุธเอาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว

เมื่อเจอกับศัตรูจำนวนมากแบบนี้ ภายใต้แรงกดดันที่มากมาย คงยากที่จะผ่อนคลายลงเลย

เมื่อแนวรบพวกหนิงอยู่ห่างไม่ถึง 30 จั้งจากประตูตง เครื่องยิงหินก็หยุดลง แต่จากนั้นก็มีเสียงตะโกนดังออกมาแล้วพวกทหารหนิงก็เคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว

“ฟังคำสั่งข้า!”

ไม่มีใครรู้ว่าซงเจิ้นไปถึงหอคอยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาก็อยู่ตรงนั้นและตะโกนออกมา เสียงเคลื่อนทัพด้านนอกเข้ามาเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าทหารทุกคน มือที่กำอาวุธเริ่มสั่น

ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งเมืองเงียบกริบ เหลือแต่เพียงเสียงหอบหายใจปะปนไปกับเสียงทหารที่กำลังเดินเท้าเข้ามา เสียงเงียบก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่นั้นทำให้เกิดความกดดันมาก และถ้าเกิดไม่ได้รับการระบายละก็จะต้องมีคนเป็นบ้าแน่ ๆ

เมื่อพวกหนิงอยู่ห่างประมาณ 15 จั้ง ซงเจิ้นเองก็ให้คำสั่งโจมตีและใช้กำลังทั้งหมดโบกธงชัย “เกาทัณฑ์ยิงได้!”

“ยิงธนู!”

พวกทหารที่อยู่ใกล้เคียงออกคำสั่งวนไป พร้อมกับด้วยเสียงศรแหวกอากาศ พวกทหารเฟิงที่หลบอยู่ด้านหลังกำแพงก็โผล่ขึ้นมายิงลูกธนูออกไป ห่าฝนเกาทัณฑ์ทะยานไปดั่งห่าฝน ทันใดนั้นเขาก็เห็นกลุ่มเมฆธนูสีดำพุ่งเข้าหากองทัพหนิง

พิ้ง พิ้ง พุ๊

เสียงของเหล็กกระทบกันและตามมาด้วยเสียงเกราะแตก และเสียงกรีดร้องดังออกมาใต้กำแพง เพียงชั่ววินาทีทหาร หนิงนับร้อยก็โดนธนูปักตาย

อย่างไรก็ตามมันไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนทัพเลย พวกทหารนับหมื่นก้าวขาเดินกันราวกับเป็นเครื่องจักรไร้อารมณ์ ไม่หวาดกลัวต่อความตาย

“ยิงธนูอีก!”

ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวาย ทหารเฟิงก็ยิงธนูชุดที่ 2 3 4 5 ไปเรื่อย ๆ

จากนั้นพวกทหารก็เริ่มชิน พวกเขาก็ยิงธนูโดยไม่ต้องมองเลย เพราะข้างใต้มีแต่ทหารศัตรูและทุกครั้งที่ยิงออกไปมันก็สามารถทำร้ายศัตรูให้บาดเจ็บล้มตายได้

แม้ว่าห่าฝนธนูจะถูกยิงลงมา แต่พวกหนิงก็ไม่ได้คิดจะหยุดและเดินข้ามศพสหายรวมทัพของตัวเองตรงไปยังประตูตง ก่อนที่พวกเขาจะใช้บันไดยาวเพื่อปีนขึ้นมา

ในตอนนี้ท่อนซุงและหินถูกนำมาใช้งาน พวกทหารเขวี้ยงท่อนซุง หิน น้ำมันร้อน แม้แต่หอกยาวเพื่อกันไม่ให้ศัตรูปีนขึ้นมาได้ การต่อสู้ดุเดือดเป็นอย่างมาก ทุกคนตะโกนไปมาและเริ่มเห็นว่าพวกหนิงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

“ยิงธนูอีกรอบ!”

พวกหนิงที่อยู่แนวหน้ามากกว่า 1 แสนนายเข้าใกล้ระยะแล้ว ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พลทหารหนิงระดับสูงได้ร้องสั่งให้ธนูของพวกเขายิงออกมาเหมือนกัน

ความยิ่งใหญ่ของธนูของหนิงไม่เป็นที่สองรองใครเลย

ห่าฝนธนูกว่าหนึ่งแสนดอกตกลงมาจากฟ้า ? น่ากลัวไหมล่ะ ?

ทหารเฟิงบนกำแพงไม่สามารถเห็นได้ชัดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นท้องฟ้าเป็นสีดำ พวกเขาก็รู้เลยว่านั่นเป็นห่าฝนลูกศรที่พุ่งขึ้นปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าบดบังแสงอาทิตย์จนหมดสิ้น

ในตอนนี้ ถ้ามีใครคิดจะหลบมันก็คงสายไปแล้ว

ทันใดนั้นพวกทหารเฟิงที่อยู่บนกำแพงก็เริ่มตายลง ร่างของพวกเขาพรุนดั่งตัวเม่น บางคนถึงกับร่วงลงไปบนพื้นอย่างน่าเวทนา

“ยกโล่ขึ้น ระวังธนูพวกมันด้วย!”

ซงเจิ้นมองจากเบื้องบนและเห็นว่าธนูของศัตรูฆ่าทหารของเขาไปมากกว่าร้อยนายแล้ว ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปทหารของเขาจะต้องตายกันหมดแน่

ชายวัยกลางคนถอนหายใจและคิดว่าทักษะพลธนูของพวกหนิงมันเก่งจนเกินไปแล้ว กำแพงตงนั้นสูงมาก ถ้าเป็นธนูธรรมดาคงไม่มีทางที่จะยิงขึ้นมาถึง และต่อให้ยิงขึ้นมาถึงก็ต้องถูกทอนแรงไปมาก แต่นี่มันกลับยิงขึ้นมาสังหารลูกน้องเขาได้ นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว

ได้ยินคำสั่งของซงเจิ้น ทหารเฟิงก็ยกโล่ขึ้นและปกป้องตัวเองจากธนูอีกฝ่าย แต่เพราะเป็นแบบนี้มันทำให้การตอบโต้ศัตรูที่ปีนกำแพงเข้ามาลำบากมากขึ้น

ไม่นานนักกำแพงก็ถูกตีแตก ทหารหนิงฝูงใหญ่ปีนขึ้นมาปะทะกับทหารเฟิง พลธนูหนิงทรงพลังมาก แต่ในด้านการต่อสู้ระยะประชิดพวกหนิงเองก็เป็นรองกว่าพวกเฟิงในด้านความกล้าหาญ

แคว้นเฟิงเป็นชนชาติที่เข้าสู่สงครามมานานนับปี ดังนั้นการศึกของพวกเขาจึงชำนาญมากพอตัว ถึงแม้อาวุธทั้งหลายไม่ได้พัฒนาเท่ากับแคว้นอื่นมากนัก แต่ถ้าว่าด้วยความกล้าหาญ พวกเขานั้นไม่เป็นสองรองใครเลย

เมื่อถังหยินกับชิวเจิ้นมาถึงกำแพงเมือง ทั้ง 2 คนก็ได้พบเข้ากับความวุ่นวายโดยรอบ พวกทหารต่อสู้กันมากมาย บ้างก็ถูกยิงด้วยธนูจนล้มลงไปด้านล่าง การต่อสู้ดุเดือดถึงขั้นขีดสุด และมีแต่กลิ่นคาวเลือด

ถ้าหากว่ามีคนที่เห็นฉากนี้ พวกเขาจะต้องตะลึง แต่ ถังหยินกลับไม่ได้กลัวภาพตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย หากแต่หัวใจของเขากลับเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นแทน ในฐานะผู้ใช้ศาสตร์มืด สำหรับเขาแล้วการต่อสู้ถือเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง

“ทำไมถึงมาที่นี่โดยไม่สวมเกราะกัน? รีบกลับไปที่โรงเตี๊ยมเลยนะ!”

มีพวกทหารเฟิงและแม่ทัพมากมายที่อยู่ด้านล่าง แต่ทว่ากำแพงมันแคบมากและจุทหารได้ไม่ถึง 2 หมื่นนาย ดังนั้นพวกที่เหลือจึงพากันหลบธนูอยู่ใต้กำแพง

ถังหยินมองไปรอบ ๆ และคนที่พูดกับเขาก็คืออู่เหมยที่ปะปนอยู่กับทหาร

“พวกเขาสู้กันข้างบน แล้วทำไมถึงมาหลบอยู่ที่นี่ ? ” ถังหยินถาม จากนั้นเขาก็หยิบดาบมาจากมือของทหารนายหนึ่ง “สหาย ให้ข้ายืมดาบของพวกเจ้าหน่อย” จากนั้นชายหนุ่มก็รีบวิ่งขึ้นไปบนกำแพง

เมื่อเห็นแบบนี้อู่เหมยก็ตะลึงจนต้องตะโกน “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง?! ถ้าไม่ใส่เกราะระวังจะตายเอานะ ! เจ้าจะทำอะไรเนี่ย?”

โดยไม่หันกลับไป ถังหยินหัวเราะออกมา ก่อนพูดว่า “ถ้าพวกเราไม่สู้ แล้วแผลของข้าจะหายได้อย่างไร?”

อู่เหมยมึนงงและไม่เข้าใจ

นางอยากจะหยุดชายหนุ่ม แต่ชิวเจิ้นก็วิ่งเข้ามาแล้วพักหายใจ “ท่านแม่ทัพอู่ เขาเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด ถ้าหากเขาฆ่าศัตรูได้ แผลของเขาจะหายเร็วขึ้น”

สำหรับอู่เหมย ผู้ใช้ศาสตร์มืดเป็นแค่ตำนาน นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริง ดังนั้นเรื่องพลังของพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดมีอะไรบ้างนั้น นางไม่รู้เลยแม้แต่น้อย หญิงสาวขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเอง “มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ แต่ถึงกระนั้น การขึ้นไปข้างบนมันก็อันตรายอยู่ดี!”

“ใช่แล้ว! แต่เราจะหยุดเขาได้หรือ?” ชิวเจิ้นหัวเราะอย่างขมขื่น

อู่เหมยเองก็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของถังหยิน นางไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ต่อไปได้ “เราจะไปช่วยเขาเอง!”