“นายว่าอะไรนะ? คู่หมั้นของพี่ชายนายเป็นผู้หญิงอารมณ์ร้ายงั้นเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนจับประเด็นได้
หลิวลี่พยักหน้า “ใช่ พี่เจิงบอกผมแบบนั้น ตอนนั้นที่พี่โทรหาผมก็พูดแบบนั้น บอกว่าผู้หญิงคนนั้นอารมณ์ร้อน พอผมเจอแล้วอย่าไปยั่วโมโหเขา”
แต่ที่น่าเสียดายก็คือยังไม่ทันได้เจอกันพี่ชายของเขาก็มาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของผู้หญิงคนนั้นอีกเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะข้อมูลของเจิ้งซวี่เชื่อถือได้ เสี่ยวเชี่ยนคงสงสัยว่าหูเหม่ยจิ้งที่หลิวลี่กับซาลาแมนเดอร์พูดถึงกับคนที่เธอได้สัมผัสมากับตัวไม่ใช่คนๆเดียวกัน
ข้อมูลที่ได้จากหลิวลี่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนพอจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอไม่เสียเวลาอยู่ต่อ หาข้ออ้างออกจากที่นั่นแล้วรีบไปยังโรงเรียนอนุบาลของหูเหม่ยจิ้ง
เวลานี้เด็กๆกำลังนอนกลางวันกันอยู่พอดี เสี่ยวเชี่ยนบอกถึงวัตถุประสงค์ที่มา ไม่นานเธอก็ได้เจอหูเหม่ยจิ้ง
“รบกวนหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ค่ะ ฉันว่างพอดี ทำไมหมอเฉินมาที่นี่ได้ล่ะคะ หรือว่าอาการของฉู่เซวียนแย่ลง?” หูเหม่ยจิ้งโพกผ้ามีลายไว้ที่ศีรษะ ผมเปียยาวห้อยลงมา ดูแล้วอ่อนหวานมาก
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันผ่านมาแถวนี้พอดี นึกได้ว่าคุณทำงานที่นี่ก็เลยแวะมาหาน่ะค่ะ อันที่จริงก็มีเรื่องอยากจะขอร้องคุณหน่อย”
“มีเรื่องอะไรพูดมาได้เลยค่ะ ฉู่เซวียนอาการดีขึ้นมากหลังจากที่หมอเฉินรักษา ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงดี ให้เงินคุณก็ไม่รับไว้”
เสี่ยวเชี่ยนแอบพูดในใจว่า ถ้าเธอกล้ารับเงินอาจารย์ได้บ่นไม่เลิกแน่ หญิงสูงวัยคนนั้นขี้บ่นจะตาย”
“คือว่าใกล้จะถึงวันเกิดของคู่หมั้นฉันแล้ว ฉันอยากให้ของขวัญที่ฉันทำเอง ฉันเห็นตุ๊กตาที่อยู่ในบ้านอาจารย์น่ารักมากเลยอยากจะรบกวนคุณสอนฉันทำหน่อยได้ไหมคะ?”
หูเหม่ยจิ้งมีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วเผยรอยยิ้มออกมา
“ฉันก็คิดว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้ เริ่มต้นถักเป็นห่วงนะคะ จากนั้นก็…”
เธอพูดอะไรมาเสี่ยวเชี่ยนฟังไม่เข้าใจทั้งนั้น รู้สึกเหมือนฟังคัมภีร์สวรรค์ ให้เธอใช้สมองน่ะได้ แต่ถ้าเป็นงานฝีมือล่ะก็ขอบาย แต่เธอก็ยังต้องแสร้งทำเป็นเข้าใจ พยักหน้าไปตามที่หูเหม่ยจิ้งว่า
“…ถักไป25แถวก็จะเริ่มเป็นรูปขึ้นมา ถ้าคุณจำไม่ได้เดี๋ยวฉันเขียนให้ค่ะ ตอนคุณทำโทรมาถามฉันก็ได้นะคะ”
หูเหม่ยจิ้งเอากระดาษกับปากกามาเขียน เขียนไปก็พูดไป เสี่ยวเชี่ยนแสร้งทำเป็นเข้าใจ แต่ในขณะเดียวกันก็กำลังคิดหาทางล้วงเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากหูเหม่ยจิ้ง เธอแสร้งทำเป็นเออออตาม
“หมาน้อยนี่น่ารักจัง”
หูเหม่ยจิ้งเขียนๆอยู่ก็เงยหน้ามองเสี่ยวเชี่ยนแล้วพูดอย่างจริงจัง
“นี่ไม่ใช่หมาธรรมดานะคะ เป็นหมาป่า ตอนที่คุณไปซื้อกระดุมมาทำตาบอกทางร้านนะคะว่าเอาแบบฉันนี่ มันจะเหมือนดวงตาของหมาป่าค่ะ”
“หมาป่า?”
“ค่ะ…ฉันถักเป็นแต่แบบนี้ ฉันเรียกมันว่าโลนวูล์ฟหมด คุณไม่คิดว่าตุ๊กตาพวกนี้มันดูโดดเดี่ยวเหรอคะ ถึงจะเป็นหมาป่าแต่มันก็มีความอ่อนโยนที่แตกต่างออกไป”
“…ทำไมถึงเป็นโลนวูล์ฟคะ ไม่ตั้งชื่อแบบอื่น?” เสี่ยวเชี่ยนถาม สายตาจ้องหูเหม่ยจิ้งไม่วางตา
หูเหม่ยจิ้งเขียนต่อเหมือนไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ “ก็แค่อยากให้ชื่อโลนวูล์ฟ ฉันชอบชื่อนี้ ฉันชอบ…”
เสี่ยวเชี่ยนอึ้ง จากประสบการณ์ของเธอ ถ้าหูเหม่ยจิ้งเคยทำเรื่องแบบนั้นกับโลนวูล์ฟ ในทางทฤษฎีเธอก็ควรจะเลี่ยงชื่อนี้ แล้วจะพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ได้ยังไง?
เสี่ยวเชี่ยนตัดสินใจลองขยายความให้มากขึ้นเพื่อลองใจเธอ
“จริงๆแล้วทำไมฉันถึงอยากทำของสิ่งนี้ให้คู่หมั้น? นั่นก็เพราะเขาเป็นทหาร และหน่วยที่เขาอยู่ก็ชื่อโลนวูล์ฟด้วยค่ะ”
“จริงเหรอคะ งั้นก็ดีเลย ให้อันนี้พอดีเลย” หูเหม่ยจิ้งเงยหน้า แล้วยิ้มให้เสี่ยวเชี่ยนอย่างจริงใจ
เสี่ยวเชี่ยนจ้องเธอโดยไม่กระพริบตา เผื่อจะเห็นแววตาอะไรบ้างในดวงตาของหูเหม่ยจิ้ง
แต่ไม่มีเลย นี่คือดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์มาก
ต่อให้เป็นคนที่เจ้าเล่ห์ เก็บซ่อนอารมณ์เก่ง แต่ประธานเชี่ยนก็ย่อมมองออกบ้าง หูเหม่ยจิ้งให้ความรู้สึกที่ไม่มีอะไรแอบแฝง เปิดเผยมาก
“ได้ยินว่า ชื่อหน่วยของเขาวีรบุรุษที่พลีชีพไปเป็นคนตั้งด้วยค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนพูดออกมาตรงๆ ถ้ามาขนาดนี้แล้วหูเหม่ยจิ้งยังไม่รู้สึกอะไรงั้นก็แสดงว่าคงเกิดปัญหาขึ้นแล้วจริงๆ
“สันติสุขเป็นการไว้อาลัยที่ดีที่สุดให้กับวีรบุรุษ หวังว่าพวกเขาจะพักผ่อนให้สบายบนสวรรค์” หูเหม่ยจิ้งพูดอย่างจริงใจแล้วยื่นกระดาษในมือให้เสี่ยวเชี่ยน
“เหม่ยจิ้ง วันอาทิตย์ฉันมีธุระนิดหน่อยเธอเข้าเวรแทนฉันได้ไหม?” คุณครูผู้หญิงที่แต่งตัวจัดจ้านคนหนึ่งเดินเข้ามา
“แต่วันอาทิตย์ฉันนัดแม่บุญธรรมไว้แล้วว่าจะไปกินข้าวที่บ้านท่าน” หูเหม่ยจิ้งพูดอย่างลำบากใจ
“ฉันรู้น่าว่าเธอเป็นคนดี ฝากด้วยนะ~”
คุณครูผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเกรงใจ แต่ท่าทางแข้งกระด้าง ดูก็รู้ว่าใช้วิธีนี้เอาเปรียบหูเหม่ยจิ้งมาหลายครั้งแล้ว
“เขาไม่สะดวกคุณไปหาคนอื่นเถอะค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนพูด
“คุณเป็นใคร?” คุณครูคนนั้นถามเสี่ยวเชี่ยนอย่างไม่ยอม หูเหม่ยจิ้งเป็นครูที่นิสัยดีที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้ เรื่องที่ทุกคนไม่อยากทำมาหาหูเหม่ยจิ้งก็ถูกแล้ว
“ฉันเป็นนักเรียนของแม่บุญธรรมเขา เขาไม่สะดวกอาทิตย์คุณอย่ามาวานเขาเลย”
ครูคนนั้นเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ ปากก็บ่นพึมพำ หูเหม่ยจิ้งยิ้มให้เสี่ยวเชี่ยนอย่างอายๆ “เดือดร้อนคุณเลย”
“เรื่องที่ไม่ชอบปฏิเสธไปก็จบค่ะ คุณดูไม่อยากทำแล้วทำไมต้องรับปากคนอื่นด้วยล่ะคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“ฉันก็นิสัยแบบนี้ล่ะค่ะ ไม่ค่อยชอบมีเรื่องกับใคร ยอมได้ก็ยอม ก็ไม่ได้มีอะไรแย่นี่คะ…ถอยหนึ่งก้าวโลกก็จะน่าอยู่ขึ้น” ตอนที่หูเหม่ยจิ้งพูดประโยคนี้เหมือนมีอะไรเสียดแทงใจ
ดูเหมือนแววตาจะหม่นลง มีน้ำตามาคลอที่ดวงตา
“ขอโทษค่ะหมอเฉินฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย…ฉันอยากเข้าไปพักสักหน่อย”
พอรู้สึกได้ว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หูเหม่ยจิ้งก็เอามือปาดน้ำตา แล้วพูดกับเสี่ยวเชี่ยนด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมารบกวนคุณเอง คุณไปทำงานเถอะค่ะฉันขอตัวกลับก่อน”
เสี่ยวเชี่ยนเห็นน้ำตาของหูเหม่ยจิ้ง จะบอกว่าน้ำตานั่นกลั่นออกมาจากความรู้สึก ไม่สู้บอกว่ามันไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
คำพูดนั้นของหูเหม่ยจิ้งไม่ใช่ตัวเธอเองเป็นคนคิด จะต้องมีใครบางคนเป็นตัวกระตุ้นเธอ และมีความเป็นไปได้ว่าคนๆนั้นก็คือโลนวูล์ฟ
พอออกมาจากโรงเรียนอนุบาลเสี่ยวเชี่ยนก็กลับโรงแรม แล้วสรุปข้อมูลที่ได้ออกมา ผลที่ได้ใกล้ความจริงเข้าไปทุกที
หูเหม่ยจิ้งไม่ได้แสร้งทำ เธอลืมเรื่องโลนวูล์ฟไปแล้วจริงๆ นิสัยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่จิตใต้สำนึกของเธอยังจำโลนวูล์ฟได้
เธอตั้งชื่อตุ๊กตาที่ถักว่าโลนวูล์ฟ ตอนที่เธอบอกว่าชอบโลนวูล์ฟ แววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชอบนั้นไม่ได้เสแสร้งออกมาอย่างแน่นอน
ความทรงจำของเธอถูกเก็บซ่อนไว้เพราะเรื่องราวอันเจ็บปวด แต่จิตใต้สำนึกกลับไม่เคยลืมสิ่งที่เธอเคยชอบ
ถ้าหูเหม่ยจิ้งสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นปัญหาทางจิตเวชแบบไหนกันที่ทำให้เธอเกิดอาการแบบนี้ สมองของเสี่ยวเชี่ยนได้ทำการสืบค้นโรคต่างๆอย่างรวดเร็ว
ตัดโรคหลายบุคลิกทิ้ง ตัดโรคจิตเภททิ้ง ตัด…
ทันใดนั้นหน้าจอโทรศัพท์ของเธอก็สว่างขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของเจิ้งซวี่
เจิ้งซวี่โทรหาเธอเวลานี้ทำไมกัน?