บทที่ 47 เรื่องน่าใจหาย

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 47 เรื่องน่าใจหาย

ถ้าครั้งนี้ปล่อยให้แม่เถาเข้ามาได้แล้วให้นางพาตนเองออกไปก็ไม่เป็นไรหรอก

แต่ถ้าแม่เถาเห็นของบางอย่างในบ้าน นางต้องบอกแม่เฒ่าจางแน่ ๆ

จากที่รู้จักแม่เฒ่าจางมา หญิงชราจะไม่หมายตาได้อย่างไร?

เกรงว่านางจะใจกล้ายิ่งกว่าเดิม ตอนแรกอาจจะให้แม่เถามาขนของ หลังจากนั้นไม่แน่อาจจะห้ามใจตัวเองไม่ได้แล้วมาด้วยตัวเองเสียเลย

ครั้งนี้จางซิ่วเอ๋อจึงต้องการให้บทเรียนที่ลืมไม่ได้ไปตลอดชีวิตกับแม่เถาและแม่เฒ่าจาง ต่อให้ไม่อาจทำให้พวกนางไม่กล้ามาที่นี่อีก อย่างน้อยก็ต้องให้พวกนางไม่กล้ามาอีกในช่วงนี้!

เสื้อผ้านั่นนางเจอตอนที่เก็บกวาดบ้าน ตอนนี้พอนำเสื้อผ้าที่เกรอะกรังเต็มไปด้วยฝุ่นไปแขวนบนต้นไม้แล้วมันก็ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ

ส่วนชุนเถาอยากจะฟันแม่เถานั่นนานแล้ว ต่อให้ตอนนี้ฟันจริงไม่ได้ ขู่ให้แม่เถาตกใจได้นางก็ยอม

นางจึงยอมรับแผนแกล้งโดนผีสิงด้วยความเต็มใจ

เมื่อแม่เถาไปแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็เก็บเสื้อผ้าลงจากต้นไม้คอเบี้ยว เอาเข้าจริงแม้แต่ตัวเองเห็นแล้วยังนึกสยอง ไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่รู้เรื่องเลย

ตอนนี้เพิ่งจะผ่านเที่ยงวันไป และสองพี่น้องยังไม่ได้กินข้าว

แต่ดีที่จางชุนเถาทำกับข้าวไว้นานแล้ว มีผัดกะปิ(1)จานนึง แผ่นแป้งข้าวโพด 3-4 แผ่น แล้วก็ผักป่าที่จิ้มน้ำจิ้มกินได้

จางซานหยามาหาเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว จางชุนเถาจึงให้จางซานหยากินแล้วค่อยขึ้นเขา ส่วนตัวนางเองรอจางซิ่วเอ๋ออยู่

ในบรรดาผักป่าพวกนี้ จางซิ่วเอ๋อชอบผักแม่ยาย(2)ที่สุดแล้ว หรือก็คือแดนดิไลออน

ทั้งสดกรอบ หอมปนขมนิด ๆ กินแล้วอร่อยมาก

ส่วนผักป่าที่ชื่อว่าผักกาดหางไก่(3)นั้น จางซิ่วเอ๋อก็ชอบกิน

แค่หั่นตรงกลางแผ่นแป้งออกแล้วยัดผักป่าและผัดกะปิเข้ามานิดหน่อย ก่อนจะม้วนเข้าด้วยกันแล้วก็กัด!

กลิ่นหอมของกะปิผสมกับกลิ่นหอมขมของผักป่า ความกรุบกรอบของผักป่าด้านในช่างลงตัวกับแผ่นแป้งข้าวโพดอ่อนนุ่มด้านนอก

พอกัดลงไป อย่าให้พูดเลยว่าจะอร่อยขนาดไหน!

ตอนเที่ยงไม่ควรกินอาหารที่มันเลี่ยนเกินไป ถึงแม้ผัดกะปิแบบนี้จะเป็นของกินที่ทำง่าย แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นของอร่อยในใต้หล้า!

จางซิ่วเอ๋อกินแผ่นแป้งข้าวโพดไปสามแผ่นถึงได้ยอมหยุดปาก!

“ชุนเถา เดี๋ยวถ้าเจ้าอุดอู้จนเซ็งเกินไปก็ออกไปเดินเล่นหน่อยเถอะ อย่างไรเสียวันนี้ป้าสามก็เห็นว่าเจ้าฟื้นแล้ว…..” หลังกินข้าวเสร็จ จางซิ่วเอ๋อก็ดึงถ้วยชามจากมือจางชุนเถามาล้าง และเอ่ยขึ้น

จางชุนเถากล่าวยิ้ม ๆ “ได้ ข้าเองก็เบื่อที่จะอยู่บ้านเต็มทีแล้ว”

จางซิ่วเอ๋อตรึกตรองและเอ่ยขึ้น “ชุนเถา ตอนนี้พวกเรายังสู้ย่าเราไม่ได้ ถ้าเจ้าเห็นย่าต้องยอมแกล้งโง่แกล้งเอ๋อหน่อย ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่านางจะพาเจ้ากลับไป”

ถึงแม้จะย้ายทะเบียนออกมาแล้ว แต่ใครจะรับประกันได้ว่าแม่เฒ่าจางจะไม่ทำอะไรชั่วช้าอีก?

จางชุนเถาไม่เหมือนนาง นางแต่งงานออกเรือนไปแล้ว แต่จางชุนเถาเป็นเด็กสาวที่ยังไม่แต่งงาน ต่อให้ทะเบียนอยู่ที่ตัวเองก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้

จางชุนเถาเข้าใจความหมายของจางซิ่วเอ๋อ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้ารู้”

จางซิ่วเอ๋อมองเด็กสาวฉลาดเฉลียวตรงหน้าแล้วนึกปวดใจ “ทำให้เจ้าลำบากเสียแล้ว”

ในยุคโบราณนี้ ถ้าเด็กสาวกลายเป็นคนเพี้ยนคนเอ๋อ จะแต่งงานก็คงไม่ง่ายนัก

พอคิดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็หรี่ตาลง อนาคตนางจะต้องหาผู้ชายที่จริงใจต่อชุนเถา ไม่สนเรื่องพวกนี้ของนางมาให้ได้!

พอคิดได้แบบนี้ จางซิ่วเอ๋อก็สบายใจขึ้นไม่น้อย

ถึงแม้จางชุนเถาบอกว่าจะออกไปเดินเล่น แต่ก็ไม่ได้ไปในที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน นางกลับเลือกจะขึ้นไปช่วยจางซานหยาตัดหญ้าบนเขา

จางซิ่วเอ๋อก็ไม่ได้อยู่บ้านเฉย ๆ ตอนนี้นางเอาไส้หมูนั่นไปที่ลานด้านหลัง ตักน้ำมา และเตรียมล้างไส้หมูเพื่อกินตอนเย็น

นางรู้สึกเสียดายเงินเลยไม่ได้ซื้อแป้งมา จึงใช้เป็นแป้งข้าวโพดผสมกับเกลือเม็ดและออกแรงขยี้ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งนางก็นับไม่ถูกแล้วว่าตัวเองล้างไส้หมูไปกี่รอบ

จากนั้นก็ใช้น้ำส้มล้างอีกรอบ พร้อมกับดมดูว่าไส้นั้นไม่มีกลิ่นเหม็นคาวแล้วจึงได้หยุดมือ

นางเริ่มก่อไฟ เอาไส้ใหญ่หมู หัวใจหมู ตับหมู ปอดหมูและของอย่างอื่นลงหม้อต้ม

ส่วนลำไส้เล็กนั้นเก็บเอาไว้ ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปขอเลือดหมูกลับมาทำเป็นไส้กรอกเลือด

จางซิ่วเอ๋อต้มเครื่องในไปแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองไม่ต้องใช้ชีวิตวนเวียนซ้ำซากแบบสาวออฟฟิศแล้วหลังจากมาอยู่ในยุคโบราณนี่ ถึงแม้ต้องคอยคิดทุกวันว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน แต่ไม่รู้ทำไม นางกลับรู้สึกว่าชีวิตง่าย ๆ ที่มีเป้าหมายแค่กินให้อิ่มท้องจริง ๆ แล้วสบายใจมาก ๆ

แม่เฒ่าจางนั่นน่ารังเกียจก็จริง แต่อย่างไรเสียตนก็ไม่ใช่หลานสาวของนาง และยังต่อต้านนางอยู่บ่อย ๆ ในฐานะคนนอก

สรุปแล้วชีวิตในยุคโบราณก็ไม่เลว

จางซิ่วเอ๋อพบว่าตัวเองกลมกลืนกับชีวิตที่นี่ขึ้นเรื่อย ๆ

ในตอนที่จางซิ่วเอ๋อคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็มีเสียงร้องไห้ดังเข้ามา ทำให้นางตกใจและรีบลุกขึ้น

เสียงนั้นคุ้นหูมาก นั่นมันเสียงซานหยาชัด ๆ

จางซิ่วเอ๋อรีบเดินออกไปข้างนอก ก็เห็นซานหยาผมเผ้ากระเซิง เนื้อตัวมอมแมม วิ่งร้องไห้เข้ามา

“ซานหยา! เจ้าเป็นอะไรไป?” จางซิ่วเอ๋อถามอย่างร้อนใจ

ซานหยาพุ่งเข้ามาตาแดงก่ำ ดึงจางซิ่วเอ๋อแล้วเดินไปข้างนอก “พี่รอง พี่รองโดนผลักลงร่องเขา!”

จางซิ่วเอ๋อได้ยินก็รู้สึกเหมือนมีเสียงตู้มดังในหัว รู้สึกมึนงงไปหมด

รอจนได้สติ นางก็ลากจางซานหยาวิ่งขึ้นไปบนเขา

ขณะวิ่งจางซิ่วเอ๋อก็ถามไปพลาง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

จางซานหยาสะอึกสะอื้น “พี่รองเจอหลีฮวาบนเขา ทั้งสองทะเลาะกัน แล้วหลีฮวาก็ผลักพี่รองลงไป!”

“ข้าเองก็อยากหยุดหลีฮวา แต่….” พูดมาถึงตรงนี้ จางซานหยาก็มีสีหน้าโมโหตัวเอง

จางซิ่วเอ๋อเห็นรอยเขียวช้ำบนใบหน้าของจางซานหยาก็เข้าใจแล้วว่าหลีฮวานั่นคงลงมือกับจางซานหยาด้วย

จางซิ่วเอ๋ออดไม่ได้ที่จะขบฟันกรอด สีหน้าดุดัน นางจะไม่ยอมปล่อยหลีฮวาไปแน่

ไม่ว่าทั้งสองตระกูลจะมีเรื่องบาดหมางกันขนาดไหน แต่ซานหยาเพิ่งจะ 6 ขวบ เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หลีฮวากลับลงมือกับซานหยาได้!

แค่เรื่องนี้ จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกว่าหลีฮวานั้นให้อภัยไม่ได้

ด้านข้างภูเขา มีหน้าผาที่ค่อนข้างชัน จางซานหยาจึงชี้ด้านล่างและเอ่ย “พี่ ด้านล่างนี้แหละ”

จางซิ่วเอ๋อมองจางซานหยาและเอ่ย “ซานหยา เจ้ารอบนนี้ ข้าจะลงไปหาพี่รองเจ้า”

จางซานหยาพยักหน้าตาแดงก่ำ ท่าทางน่าเอ็นดู

“ซานหยา เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าพาพี่รองเจ้ากลับมาได้แน่” จางซิ่วเอ๋อน้ำเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“อื้ม ๆ พี่รองต้องไม่เป็นไรแน่” จางซานหยาพูดอย่างแน่วแน่

นาทีนี้จางซิ่วเอ๋อก็ไม่รีรอ จับหญ้าและเถาวัลย์ข้างทางไว้และค่อย ๆ คลำทางลงไปทันที

……………………………………………