ตอนที่ 41 เลี้ยงการ์ฟีลด์แบบปล่อย

ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进c化系统)

ตอนที่ 41 เลี้ยงการ์ฟีลด์แบบปล่อย

ก่อนที่จะเริ่มการทดสอบอย่างเป็นทางการ ก็กลับมีสัตว์อสูรเข้าโจมตีถึงสองครั้งสองครา

หลังจากที่พักได้ไม่นานทุกคนก็เริ่มเก็บกวาดสนามรบและเก็บของที่เป็นประโยชน์กลับไป

แม้ว่าค้างคาวเหมันต์แห่งความมืดจะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่ว่าซากของมันอาจจะมีลูกแก้วพลังงานซ่อนอยู่เพราะยังไงมันก็เป็นสัตว์อสูร แม้ว่าสัตว์อสูรระดับสูงกว่ามันจะมีโอกาสแค่ 1 ใน 10 ที่จะมีลูกแก้วพลังงานก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาเจอในซากจำนวนมากเหล่านี้

ภายใต้การสั่งการของครู ร่างของค้างคาวเหมันต์แห่งความมืดก็ถูกผ่าออก ลูกแก้วพลังงานที่อยู่ใกล้กับหัวของมันล้วนแต่ถูกผ่าออกมา

ในตลาดนั้นลูกแก้วพลังงานของสัตว์อสูรระดับสูงจะมีค่าตั้งแต่ 1,000 – 3,000 เครดิต มันมีพลังงานที่บริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเอาไว้ให้สัตว์อสูรกินและจะทำให้ทะลวงผ่านได้เร็วกว่าเดิม

ว่ากันว่า น้ำยาพลังที่ผู้คนชื้อมาใช้กับสัตว์อสูรนั้นใช้ลูกแก้วพลังงานเป็นวัตถุดิบหลัก

ส่วนน้ำยาวิวัฒนาการใช้ลูกแก้วชีวิตเป็นวัตถุดิบหลัก

จำนวนลูกแก้วชีวิตนั้นหาได้ยากกว่าลูกแก้วพลังงาน มันมีอัตราที่ 1 ใน 10

เมื่อเก็บรวบรวมของทั้งหมดกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็ได้ลูกแก้วพลังงานระดับเงินมากว่า 20 อัน และลูกแก้วชีวิตระดับทอง 2 อัน พวกเขาส่งมันให้กับครูเพื่อจะขายเป็นเงินแล้วค่อยแบ่งให้แต่ละคน

แม้ว่าสัตว์อสูรจะสามารถกินมันได้โดยตรง แต่ผลลัพธ์ของมันก็ไม่ได้ดีเท่ากับน้ำยาพลังและน้ำยาวิวัฒนาการที่ทำขึ้นมาสำเร็จรูปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะนำมันไปขาย ยังไงซะค่าของลูกแก้วเหล่านี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์มากกว่าเครดิตที่ได้มา

ตอนนั้นหวังเย่าเห็นว่าสัตว์อสูรของนักเรียนบางคนกำลังกินซากเนื้อของค้างคาวเหมันต์แห่งความมืดกันอยู่

หมาดำได้สูบเลือดและเครื่องในของพวกค้างคาวเข้าไป…แม้แต่สัตว์อสูรของครูก็ยังกินค้างคาวเข้าไปทั้งตัว

เห็นแบบนั้นหวังเย่าก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา ค้างคาวเหมันต์แห่งความมืดนั้นสกปรก แต่พวกเขากลับให้สัตว์อสูรกินมันแบบนี้เลยงั้นหรือ ?

แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่สัตว์อสูรจะกินซากพวกนี้ แต่ในฐานะเจ้าของแล้ว เขาก็รู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก

เขาได้บอกการ์ฟีลด์ทันทีว่าไม่ให้ไปกินซากสัตว์อสูรเหล่านี้ ยังไงซะเขาก็มีน้ำยาพลังและน้ำยาวิวัฒนาการอยู่กับตัวอยู่แล้ว

เมื่อเห็นการ์ฟีลด์ยังนอนนิ่งไม่ขยับ จ้าวเมิ่งซีก็สงสัยขึ้นมา เธอยิ้มให้กับหวังเย่าแล้วพูดว่า “การ์ฟีลด์ของนายดูเหมือนจะพิเศษกว่าสัตว์อื่นๆ สัตว์อสูรกินเนื้อปกติแล้วส่วนใหญ่ล้วนแต่กินซากของสัตว์อสูรทั้งนั้น”

หวังเย่าส่ายหน้า “การ์ฟีลด์โตมากับฉัน เมื่อฉันรวยและมีฐานะดีขึ้น เป็นธรรมดาที่ฉันจะไม่ให้มันทำตัวเหมือนกับแมวป่า และกินซากของสัตว์อสูร แค่เห็นสัตว์อสูรตัวอื่นกิน ฉันก็รู้สึกไม่ดีแล้ว”

คำพูดนี้ทำให้จ้าวเมิ่งซีรีบเรียกสัตว์อสูรไฟของเธอกลับมาทันที

“นายดูแลมันดีจัง ฉันล่ะอิจฉามันจริง ๆ ” จ้าวเมิ่งซีพูดขึ้น

การ์ฟีลด์ได้ยินแบบนั้นก็ยื่นแขนออกมาลูบจ้าวเมิ่งซีด้วยท่าทีน่ารัก น่าเอ็นดู

ทั้งที่จริงแล้วมันหันกลับมาพร้อมกับแสดงท่าทีหิวโหย แต่ก็ต้องห้ามใจไว้

หวังเย่าได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แต่มันก็ถือว่าเป็นการดีที่การ์ฟีลด์หิวแบบนี้ เพราะมันหมายความว่าการ์ฟีลด์ได้ดูดซับน้ำยาวิวัฒนาการจนเสร็จแล้ว และสามารถกินน้ำยาวิวัฒนาการได้อีก ซึ่งหมายความว่ามันจะพัฒนาขึ้นอีกครั้ง

เขาได้เอาน้ำยาวิวัฒนาการขั้นสูงและน้ำยาพลังขั้นสูงออกมาก่อนจะโยนให้การ์ฟีลด์กิน  ทันใดนั้นค่าประสบการณ์ของมันก็เพิ่มขึ้นราวกับติดจรวด

หวังเย่าเลือกพัฒนาเลเวลของมัน จากนั้นตัวของการ์ฟีลด์ก็ส่องแสงสีทองออกมา ตัวของมันใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้มันเลเวล 24 แล้ว

“ถ้าวิวัฒนาการได้เร็วระดับนี้ ฉันคงขึ้นนำได้ แต่สัตว์อสูรของเหลิ่งจื่อมู่ที่เป็นประเภทต้นไม้ ถึงมันจะยกระดับช้ากว่าสัตว์อสูรทั่วไป แต่มันก็นับว่าเลเวลสูงอยู่ ถ้ามันเลเวลเพิ่มขึ้นมาเร็วแบบนี้ ฉันคงต้องแพ้”

เขากดดันเป็นอย่างมาก ตอนที่เขากำลังจะใช้เลือดมังกร 10 หยดกับการ์ฟีลด์นั้นก็มีกลิ่นคาวลอยออกมาจากขวด มันจึงทำให้การ์ฟีลด์รีบกระโดดกอดขวดนั้นเอาไว้ด้วยสีหน้าพอใจ

เลือดมังกรดินเป็นเลือดระดับทอง รสชาติของมันอร่อยกว่าเลือดค้างคาวเป็นอย่างมาก หวังเย่าได้ยินมาแบบนั้น

****

แจ้งเตือน : ระดับความภักดีของการ์ฟีลด์ที่มีต่อคุณเกิน 60% แล้ว ตรงตามเงื่อนไขเลี้ยงแบบปล่อย

****

หวังเย่าอึ้งไปสักพัก เลี้ยงแบบปล่อย ? แบบนั้นก็คงจะดี

แม้คำว่าระดับความภักดีของโลกนี้จะไม่ได้แพร่หลายมากนัก แต่ผู้ใช้อสูรทุกคนต่างก็รู้ว่าเมื่อสัตว์อสูรอยู่ห่างจากตัวเจ้าของเกินไป พลังสัญญานั้นจะอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก ต่อให้พวกเขาจะตามหามันจนเจอ ก็ไม่สามารถควบคุมหรือเรียกหามันได้ในทันที ดังนั้นมีเพียงสัตว์อสูรและผู้ใช้อสูรที่สนิทและผูกพันธ์กันเท่านั้นที่จะปล่อยพวกมันห่างจากตัวได้

และตอนนี้ความภักดีของการ์ฟีลด์ก็เพิ่มขึ้นมามากกว่า 60 หน่วย เขาสามารถเลี้ยงแบบปล่อยได้

มันทำให้หวังเย่าพอใจมากทีเดียว เขารีบโยนน้ำยาวิวัฒนาการกับน้ำยาพลังให้มันกิน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “การ์ฟีลด์ แกไปได้ ถ้าแกขึ้นไปถึงเลเวล 30 เมื่อไหร่ และกลายเป็นสัตว์อสูรระดับลอร์ดแล้ว ค่อยกลับมาหาฉัน”

การ์ฟีลด์มองไปที่หวังเย่าสักพัก ก่อนจะกระโดดออกไปไกลกว่า 20 เมตร ก่อนที่มันจะหายไปในความมืด

ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นแทบสำลัก

นี่พวกเขาตาฝาดรึไง ? หวังเย่าปล่อยสัตว์อสูรไปงั้นหรือ ?

จ้าวเมิ่งซีเองก็มองไปที่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะเธอเชื่อว่าหวังเย่าไม่ใช่คนโง่ การที่เขาปล่อยการ์ฟีลด์ไปแสดงว่าเขาต้องมีเหตุผล

สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว พวกเขายังคงอึ้งงันกันอยู่

จ้าวซื่ออดไม่ได้ที่จะพูดเยาะเย้ย “ฉันเพิ่งบอกไปว่าแกน่ะมันไอ้โง่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะพูดถูก แกนี่มันโง่จริง ๆ ที่ปล่อยสัตว์อสูรของตัวเองไปแบบนี้ เมื่อแกเสียสัตว์อสูรไป งั้นพวกฉันก็ต้องชนะพนันนี้น่ะสิ แกคิดว่าจะจับสัตว์อสูรตัวอื่นทำสัญญาได้รึไง ? ฮ่าฮ่า”

เหลิ่งจื่อมู่เองก็พูดขึ้น “แกนี่ในหัวมีแต่โพลงจริง ๆ  เฮ้อ อยู่ ๆ ฉันก็ชนะแบบนี้ ฉันถึงกับรู้สึกว่ามันไม่มีศักดิ์ศรีเอาซะเลย เหมือนกำลังรังแกคนไม่มีทางสู้มากกว่า”

ครูประจำชั้นคิ้วขมวดและพูดขึ้น “หวังเย่า นายคิดจะทำอะไร ? นายปล่อยสัตว์อสูรของตัวเองไปได้ยังไง นายก็รู้ว่านายอาจจะเสียมันไป ตอนนี้นายไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ไม่มีพลังเลยนะ”

หวังเย่าพยักหน้าตีหน้าเศร้า “ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย… ”

“ฮ่าฮ่า” ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เขาคงเพี้ยนและเชื่อในตัวสัตว์อสูรเกินไป นี่ถือว่าเป็นเรื่องตลกที่สุดในโลกก็ว่าได้”