ฮ่าฮ่า ฟีเรนเทียของเรา ไม่นึกเลยว่าจะกินเก่งขนาดนี้เชียว”

 

“อร่อยมากเลยค่ะ! ”

 

“เหรอ ทานเยอะๆ แล้วก็โตไวๆ ล่ะ”

 

นี่มันขี้โกงชัดๆ

 

แน่นอนว่าเธอเองก็รู้อยู่แล้วว่า พ่อครัวที่ทำอาหารให้เธอกับท่านพ่อ กับพ่อครัวที่ทำอาหารให้ท่านปู่ซึ่งเป็นเจ้าตระกูลเป็นคนละคนกัน แต่ไม่นึกเลยว่าระดับมันจะต่างกันมากขนาดนี้!

 

ได้เคี้ยวสเต๊กเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำเกรวี่แบบนี้ มันช่างมีความสุขมากเหลือเกิน

 

ต่อไปก็มีเหตุผลให้ต้องแวะมากินข้าวกับท่านปู่บ่อยๆ เสียแล้ว

 

“ท่านปู่ก็กินด้วยสิคะ!”

 

“ปู่คนนี้แค่เห็นเจ้ากินได้อร่อย ก็อิ่มแล้วละ”

 

พอเห็นว่าเธอจิ้มเนื้อที่หั่นเสร็จเรียบร้อยเข้าปากหมดแล้ว ท่านปู่ก็ช่วยหั่นเสต๊กของเธอให้เป็นขนาดพอดีคำด้วยตัวเอง

 

“ช่วงนี้ได้เห็นภาพลักษณ์แปลกใหม่ของเจ้าหลายด้านทีเดียวนะ ฟีเรนเทีย”

 

“แค็กๆ …คะ?”

 

“เด็กน้อยขี้กลัวเอาแต่ร้องไห้คนนั้น กลับลงไม้ลงมือตบตีลูกพี่ลูกน้อง เด็กที่เคยเอาแต่เลือกกินจนพ่อเป็นกังวลกลับทานได้เยอะขนาดนี้ และวันนี้ก็ยัง…”

 

รู้สึกเหมือนเนื้อที่กินได้อย่างไหลลื่นกลับติดอยู่กลางคอหอย

 

หรือว่าจะถูกจับได้แล้ว

 

เธอแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น จิ้มผักที่วางจัดแต่งอยู่ข้างเนื้อใส่ปาก ลอบสังเกตสีหน้าของท่านปู่

 

“ฟีเรนเทีย”

 

“คะ..คะ?”

 

“ตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วนะ”

 

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไงกันแน่ แต่ดูเหมือนจะไม่คิดสอบสวนว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันแบบนี้

 

“เด็กคนนี้…”

 

ถึงแม้จะยิ้มขมขื่นเล็กน้อย แต่การที่ท่านปู่ลูบหลังศีรษะของเธอนั่น ดูยังไงก็เหมือนกับภูมิใจในตัวของเธอ

 

ในเมื่อไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ดังนั้นเธอจึงจิ้มเนื้อที่ท่านปู่ช่วยหั่นให้ใส่ปากอีกหนึ่งชิ้น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

 

“อ๊า อร่อยจัง! ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“กินเยอะๆ ล่ะ ถ้าไม่พอจะสั่งให้คนไปยกมาเพิ่มให้”

 

“ค่ะ ท่านปู่! ”

 

โล่งอกที่หลังจากนั้นท่านปู่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นอาหารที่เธอชอบมาให้ตรงหน้า มื้ออาหารจึงจบลงไปอย่างเรียบง่าย

 

ฟีเรนเทียรู้สึกผ่อนคลายไปพลางดื่มด่ำกับรสชาติหอมหวานของช็อกโกแลตกับผลไม้ที่ออกมาเป็นของว่างหลังอาหาร แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาของท่านปู่ที่จ้องมองเธอ

 

พอเห็นว่าเธอหยุดกิน ท่านปู่จึงค่อยเอ่ยถามเสียงราบเรียบ

 

“ฟีเรนเทีย มีของอะไรที่อยากได้หรือไม่”

 

“ของที่อยากได้เหรอคะ”

 

ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามเรื่องนั้นกันล่ะ

 

“ปกติแล้วชอบอะไร?”

 

“ข้า…ชอบหนังสือค่ะ”

 

เธอตอบออกไปอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อาจทราบเหตุผลที่ท่านถามเช่นนี้

 

“หนังสืออย่างนั้นหรือ”

 

ท่านปู่ลูบเคราที่ถูกตัดแต่งอย่างดีไปพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะพลางเอ่ยพูด

 

“ใช่แล้ว ในเมื่อชอบหนังสือ ถ้าอย่างนั้นก็สร้างห้องสมุดเล็กๆ สำหรับเจ้าก็แล้วกัน!”

 

“อาฮะ ห้องสมุดเหรอคะไม่สิ ห้องสมุดเหรอคะ!? ”

 

บอกว่าชอบหนังสือ ก็เลยจะสร้างห้องสมุดให้เนี่ย มันหมายความว่ายังไงกันแน่

 

เธอสะดุ้งตกใจ ท่านปู่จึงยิ่งหัวเราะโฮะโฮะ

 

“วันเกิดหลานสาวคนเล็กของรูลลักคนนี้ มันต้องทำถึงขนาดนั้นจึงจะรักษาหน้าตาได้ไม่ใช่หรือไร”

 

“อ๊ะ วันเกิด! ”

 

เผลอลืมไปเสียสนิทเลย

 

วันเกิดของเธอใกล้จะมาถึงแล้ว

 

มันคือวันเกิดที่ท่านพ่อเคยบอกเอาไว้ว่าจะซื้อแม่ม้ากับลูกม้าให้นั่นเอง

 

ช่วงนี้เธอยุ่งมากเสียจนไม่ทันได้รู้สึกเลยว่าเวลาผ่านไปขนาดนี้แล้ว

 

“อา เพราะฉะนั้นถึงได้ทำแบบนั้นกันนี่เอง!”

 

เมื่อตระหนักได้ว่ามันคือวันเกิดของเธอ ก็เริ่มเข้าใจพฤติกรรมแปลกๆ ของเหล่าลูกพี่ลูกน้องขึ้นมาทันที

 

“ทำไมหรือ”

 

“ลาลาน่า และก็คิลลีวูกับเมโลน อยากรู้ว่าสีที่ข้าชอบคือสีอะไรน่ะค่ะ ตอนนี้ค่อยเข้าใจหน่อยว่าทำไมถึงได้ถามกันแบบนั้น”

 

ท่านปู่หัวเราะคิกคักด้วยความพอใจ

 

“ฟีเรนเทียของเราดูจะสนิทกับพวกลูกพี่ลูกน้องคนอื่นมากขึ้นแล้วสินะ”

 

นั่นจะเรียกว่าสนิทได้มั้ยนะแต่เทียบกับชีวิตก่อนแล้ว ก็ถือว่าค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกลูกพี่ลูกน้องเหมือนกัน เธอจึงพยักหน้าตอบ

 

“อืม ดีแล้วละ ดีมากเลย”

 

ท่านปู่ลูบศีรษะเธออีกครั้ง นัยน์ตาส่องประกาย ก่อนจะเอ่ยถาม

 

“เพราะฉะนั้นเอาห้องสมุดเป็นของขวัญวันเกิดเป็นยังไงล่ะ”

 

ให้ห้องสมุดเป็นของขวัญวันเกิดของเด็กอายุแปดขวบอย่างนั้นเหรอ

 

หลังจากม้าแม่ลูกของท่านพ่อเมื่อคราวก่อน ระดับสเกลความอลังการนี่ยังปรับตัวให้ชินไม่ได้เลย

 

“อืม ถ้างั้นที่นั่นจะมีแต่ข้าที่ใช้งานได้หรือเปล่าคะ”

 

“ถ้าเจ้าต้องการ ก็จะทำให้เป็นเช่นนั้น”

 

ที่จริงก็ไม่ใช่ข้อเสนอที่แย่อะไร

 

ท่านพ่องานยุ่งขึ้นมาก เธอเองก็มีเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตตามลำพังเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่ตั้งแต่เมื่อไม่นานมานี้ เธอต้องไปอยู่ด้วยกันกับสองแฝดในที่พักของชานาเนสเพราะฉะนั้นเธอถึงได้รู้สึกว่า จำเป็นที่จะต้องมีพื้นที่เอาไว้ใช้เรียบเรียงความคิดของตัวเองเงียบๆ เหมือนกับห้องทำงานประเภทหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ถือว่าดีทั้งนั้น

 

ทว่าเธอกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

 

“ห้องสมุดที่มีแต่ข้าเท่านั้นที่ใช้งานได้ก็ดีอยู่หรอกค่ะ แต่วันเกิดครั้งนี้ขอเป็นของอย่างอื่นนะคะ ท่านปู่”

 

“ของอย่างอื่น? ไหนลองบอกมาซิ”

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ เอาไว้ทีหลังช่วยรับฟังคำขอของข้าสักเรื่องนะคะ”

 

“คำขอ?”

 

ท่านปู่เบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดัง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! คำขออย่างนั้นหรือ คำขอ!”

 

เธอเองก็กำลังหัวเราะมองท่านปู่ด้วยใบหน้าใสซื่อ แต่ฝ่ามือของเธอเปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อเพราะความตื่นเต้น

 

อีกไม่นานจะเกิดเรื่องที่เธอต้องขอความช่วยเหลือจากท่านปู่ถ้าหากถูกปฏิเสธมันเสียตอนนี้ เธอจำเป็นที่จะต้องหาหนทางอื่นในการขอร้องท่านปู่ให้ได้

 

“รู้ใช่มั้ยว่านั่นเป็นของขวัญที่ใหญ่กว่าการสร้างห้องสมุดหนึ่งห้องเสียอีกนะ”

 

ว่าแล้วเชียว

 

ท่านปู่ไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ เลย

 

“เหรอคะ”

 

เธอหัวเราะ ‘แหะๆ ’ แสร้งทำเป็นเหมือนว่าไม่ได้รู้เรื่องพวกนั้นเลยจริงๆ

 

“อืม”

 

ท่านปู่มองเธอด้วยนัยน์ตาแปลกๆ และไม่นานก็ยิ้มใจดีพลางเอ่ยพูด

 

“ได้ เอาตามนั้น”

 

เฮ้อ โล่งอกไปที

 

เธอพยายามกลืนเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งใจกลับลงคอ ก่อนจะตะโกนเสียงดัง

 

“ว้าว! ขอบคุณค่ะ ท่านปู่!”

 

“ชอบใจเชียวนะ เด็กคนนี้นี่”

 

แบบนี้ก็ถือว่าเตรียมวิธีรับมือสำหรับเวลานั้นได้แล้ว

 

เธอดึงองุ่นที่วางอยู่ตรงหน้าหนึ่งลูกออกมากิน ดื่มด่ำกับรสชาติอันแสนหอมหวานของช่วงเวลานี้