ตอนที่ 47 มีความสุขขนาดนั้นเชียว

ลืมรักเลือนใจ

วังจิ่งหยางไม่แน่ใจว่ากำลังคุยกับภาพลวงตาอยู่หรือเปล่า แต่คืนนี้ หลินเยียนดูแตกต่างจากปกติไปเล็กน้อย 

 

 

หลังจากที่ถูกแบนจากวงการแข่งรถและถูกหลินซูหย่ากับหันอี้เซวียนหักหลัง หนำซ้ำยังล้มเหลวอีกหลายครั้งหลายหน หลินเยียนกลับกลายเป็นคนโศกเศร้าที่จิตใจได้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอเหมือนเป็นหลินเยียนที่กำเนิดใหม่ 

 

 

ที่จริงแล้ว เขาสัมผัสได้ว่าเธอมีชีวิตชีวาขึ้นตั้งแต่เจอกันครั้งก่อน 

 

 

และโดยเฉพาะในคืนนี้ เขารู้สึกเหมือนได้เห็นหลินเยียนคนเก่าที่สดใสและเปล่งประกาย 

 

 

“นอกจากวันออดิชัน เธอไปทำอะไรมาอีก” วังจิ่งหยางถามอย่างอดใจไม่ได้ 

 

 

“ก็ไม่ค่อยมีอะไรหรอก!” หลินเยียนกะพริบตาอย่างงุนงง 

 

 

วังจิ่งหยางเลิกคิ้ว “ทำไมฉันรู้สึกว่าเธออารมณ์ดีน่าดู” 

 

 

“จริงเหรอ” 

 

 

หลินเยียนสัมผัสใบหน้าของเธอ ที่เธอทำวันนั้นก็แค่ขับรถเท่านั้นเอง 

 

 

นี่เธอดูออกง่ายขนาดนั้นเชียว? 

 

 

“สงสัยเพราะฉันหาเงินได้ล่ะมั้ง!” หลินเยียนตอบ 

 

 

วังจิ่งหยางคิดว่าคำตอบของเธอดูฟังขึ้น “โอเค ฉันจะติดต่อกับเจ้าของตึกให้แล้วกัน” 

 

 

… 

 

 

เช้าวันถัดมา… 

 

 

วังจิ่งหยางรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์เป็นพิเศษหลังจากที่ติดต่อเจ้าของตึกได้แล้ว และแน่นอนว่าเขาต่อค่าเช่าให้ต่ำกว่าราคาตลาดได้ด้วย 

 

 

ห้องเช่าในย่านนี้อาจไม่ได้หรูหราหรือโอ่อ่าเป็นพิเศษ แต่ค่าเช่าก็ถือว่าสมเหตุสมผล 

 

 

หลินเยียนยืนยันการตัดสินใจเช่าและติดต่อบริษัทรับขนย้ายทันที 

 

 

ในไม่ช้า ทั้งคู่ก็มาถึงที่อะพาร์ตเมนต์ของป้า 

 

 

วังจิ่งหยางเสนอตัวขณะที่กำลังเดิน “ฉันไปซื้อเฟอร์นิเจอร์กับข้าวของเป็นเพื่อนเธอพรุ่งนี้ได้นะ” 

 

 

หลินเยียนโบกมือ “ไม่ต้องหรอก” 

 

 

ลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงที่หมายในระหว่างที่หลินเยียนและวังจิ่งหยางกำลังคุยกัน ทั้งคู่จึงเดินไปยังห้องของป้าพร้อมกับพนักงานขนย้ายของ 

 

 

“เธอมีของนิดเดียวเอง จริงๆ ให้ฉันช่วยก็ได้นะ ทำไมต้องจ้างคนมาขนของด้วยเนี่ย” วังจิ่งหยางเม้มปากขณะที่พูด 

 

 

หลินเยียนกดกริ่งแล้วยิ้ม “ใครบอกล่ะ ฉันมีของเพียบเลย” 

 

 

เมื่อสิ้นคำพูดของหลินเยียน ประตูก็เปิดผางออก 

 

 

หวังเฉี่ยวฮุ่ยจ้องหน้าหลินเยียนเขม็ง ก่อนระเบิดเสียงล้อเลียนดังลั่น “แหม! นั่นมันหลินเยียน ดาราดังไม่ใช่เหรอเนี่ย? แม่นกฟีนิกซ์กำเนิดใหม่ มาทำอะไรที่บ้านซอมซ่อแบบนี้ล่ะจ๊ะ?” 

 

 

เมื่อเฮ่อซานซานได้ยินว่าหลินเยียนกลับมาที่บ้าน เธอพุ่งออกมาจากห้องนอนอย่างรวดเร็วราวจรวดก่อนชี้นิ้วไปที่จมูกของหลินเยียนแล้วตะโกนใส่หน้า “หลินเยียน ยัยหน้าด้าน! กล้าแย่งบทฉันแล้วยังกล้ากลับมาขอที่ซุกหัวนอนอีกเหรอ ไม่มีทาง!” 

 

 

หวังเฉี่ยวฮุ่ยยิ้มเยาะอย่างเย็นชาขณะที่เหลือบมองวังจิ่งหยาง “แหม ดูหมอนี่สิ นี่ถึงขนาดพาแมงดามายืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเองด้วยเหรอ” 

 

 

วังจิ่งหยางไม่ตอบโต้อะไร 

 

 

“จะบอกให้นะหลินเยียน! นี่น่ะบ้านฉัน และฉันต้องการให้หล่อนออกไปให้พ้นหูพ้นตาฉันเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะโทรเรียกตำรวจจับหล่อนข้อหาบุกรุก!” หวังเฉี่ยวฮุ่ยถุยน้ำลายพลางชี้ไปที่มุมห้อง “เก็บของของหล่อนออกไปให้หมด!” 

 

 

หลินเยียนมองไปตามมือของหวังเฉี่ยวฮุ่ย ผู้เป็นป้าโยนข้าวของของเธอทิ้งขว้างราวกับขยะ 

 

 

วังจิ่งหยางอดกลั้นความโกรธต่อไปไม่ไหว “แม่ง! ยัยป้านี่! หลินเยียนเป็นคนซื้อที่นี่ไม่ใช่เหรอวะ คนที่ควรออกจากที่นี่คือพวกแก…” 

 

 

หวังเฉี่ยวฮุ่ยแสดงท่าทียโสโอหัง “งั้นก็ไปฟ้องศาลเลยสิ ตำรวจจะได้มาลากคอฉันไปเลย เชิญไปดูโฉนดซะนะว่าในนั้นมันมีชื่อฉันหรือเปล่า!” 

 

 

หลินเยียนห้ามปรามวังจิ่งหยางที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงราวภูเขาไฟปะทุ เธอเรียกพนักงานขนของแล้วพูดว่า “ช่วยขนของของฉันทีค่ะ” 

 

 

“ครับ คุณหลิน” พนักงานขนของหยิบสัมภาระที่กองอยู่ที่มุมห้องใส่ลงในกล่อง 

 

 

เมื่อหวังเฉี่ยวฮุ่ยเห็นว่าหลินเยียนกำลังจะกลับ เธอกอดอกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน “เก็บขยะของหล่อนแล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว!” 

 

 

หลินเยียนยิ้ม “ฉันไม่ได้รีบขนาดนั้นหรอกค่ะ ยังเก็บของไม่เสร็จเลย” 

 

 

หวังเฉี่ยวฮุ่ยหน้าเสียไปเล็กน้อย “ของ? หล่อนมีของอะไรอีกไม่ทราบ” 

 

 

หลินเยียนเดินผ่านหวังเฉี่ยวฮุ่ยและเฮ่อซานซานเข้าไปมองรอบๆ ห้อง ก่อนหันไปส่งสายตาให้พนักงานขนของแล้วบอกว่า “เข้ามาแล้วขนทุกอย่างไปให้หมดเลยค่ะ อย่าให้เหลืออะไรแม้แต่ชิ้นเดียว”