ตอนที่ 494 นี่ใครกันนะ

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

แม่อวี๋ปะทะคารมกันดุเดือดกับพ่ออวี๋ ใช้คำพูดของท่านผู้นำงัดออกมาสู้กัน เพื่อหวังจะได้ข่มอีกฝ่ายว่าตัวเองมีศีลธรรมสูงกว่า

 

 

แม่อวี๋แค้นอาหญิงเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว อดีตที่เคยถูกรังแกทำได้แค่อดทน พอได้ยินว่าอาหญิงคิดจะทำลายว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอด้วย จึงควบคุมไฟโกรธเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

 

 

พ่ออวี๋เองก็โกรธกับการทำตัวของน้องสาว ไม่คิดจะปล่อยไว้เหมือนกัน แต่อย่างไรเสียนั่นก็น้องสาวแท้ๆ จะให้ทำโหดร้ายเทียบเท่ากับศัตรูก็ไม่ใช่ ได้แต่เก็บความโกรธแค้นไว้ในใจ เกลียดในความไม่เอาไหนของน้องสาว เถียงกับแม่อวี๋มาถึงขนาดนี้ก็เหมือนกับได้ระบายความโกรธออกไปบ้าง

 

 

“เลิกทะเลาะกันเถอะค่ะ ฟังหนูพูดหน่อยค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนตะโกนออกมาระงับสถานการณ์

 

 

“ทั้งสองคนพูดถูกค่ะ แต่ท่านผู้นำยังพูดอีกว่า ธรรมชาติย่อมเป็นไปตามกฎ มนุษย์ก็ต้องผ่านความยากลำบากถึงเป็นรูปเป็นร่าง พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไม่ทันไรเลยมาทะเลาะกันเองแล้ว ไม่เท่ากับทำร้ายน้ำใจกันเองเหรอคะ ใจเย็นๆกันก่อนเถอะค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีปัญหาก็ต้องแก้ อย่าทำลายความสามัคคีในครอบครัวเลยนะคะ”

 

 

คำพูดนี้พูดได้กินใจมาก ช่วยดึงแม่อวี๋ที่ออกนอกเรื่องไปให้กลับมา เตือนแม่อวี๋ว่าถ้าเรามีเหตุผลก็ต้องพูดด้วยเหตุผล อย่าเบี่ยงเบนประเด็น ขณะเดียวกันก็เหมือนได้ยื่นบันไดไปให้พ่ออวี๋ลง ไม่ทำให้ชายชราคนนี้เสียหน้าจนเกินไป

 

 

บันไดนี้ทำให้รู้สึกสบายมาก พ่ออวี๋ได้ใช้ประโยชน์

 

 

เขากระแอมเสียง แล้วพูดชมเสี่ยวเชี่ยนด้วยความพอใจ “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้มีไม่เยอะ”

 

 

“ใช่ไหมล่ะ เสี่ยวเชี่ยนของพวกเราไปที่ไหนก็ความสามารถโดดเด่นเกินใคร เด็กดีแบบนี้ทำไมถึงได้มีคนใจร้ายมารังแกได้นะ?” แม่อวี๋รู้อดีตของเสี่ยวเชี่ยนจึงเห็นใจเสี่ยวเชี่ยนมาก เลยพลอยเกลียดผู้ชายเลวที่จะมาหลอกเสี่ยวเชี่ยนแต่งงานไปด้วย

 

 

อาหญิงทำกับเสี่ยวเชี่ยนแบบนี้เป็นการหาเรื่องโดยไร้เหตุผลสิ้นเชิง อาหญิงรักลูกชายตัวเองจนไม่สนความเป็นความตายของคนอื่น แล้วจะไม่ให้แม่อวี๋เห็นใจเสี่ยวเชี่ยนได้ยังไง

 

 

เด็กดีๆคนหนึ่งเกือบถูกทำลาย บ้านเคยถูกคนลอบเผา ถ้าถูกทำลายชีวิตจะทำยังไง ไปทวงความยุติธรรมกับใครได้?

 

 

หลังจากทำให้พ่ออวี๋แม่อวี๋สงบลงได้ก็เท่ากับได้ลากหัวข้อสนทนาที่ไม่ลงรอยให้กลับเข้าสู่ประเด็นหลัก ปากกระบอกปืนควรจะหันออกด้านนอก ไม่ใช่คนในบ้าน

 

 

“อันที่จริงหนูก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกรังแกอะไรนะคะ เรื่องมันก็ไม่ได้ส่งผลมากมายเท่าไร เพียงแต่ถ้าอาหญิงยังทำแบบนี้ต่อไป หนูกลัวว่าอีกหน่อยจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แล้วจะซวยคนอื่นๆในบ้านเราไปด้วย บ้านเรามีอาชีพที่ค่อนข้างพิเศษ จะให้เกิดความด่างพร้อยไม่ได้ ปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการแบบนี้จะว่าเล็กก็ไม่เล็กจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่หนูเป็นเด็กก็อาจจัดการได้ไม่ดีพอเลยอยากขอให้ผู้ใหญ่อย่างคุณลุงคุณน้าช่วยออกหน้าจัดการดีกว่าค่ะ”

 

 

พูดได้สวยมาก ดูอ่อนน้อมและแสดงท่าทีชัดเจน สรุปความให้พ่ออวี๋แม่อวี๋

 

 

ตามคาด พ่ออวี๋เงียบไปหลายวินาที

 

 

“ผมจะจัดการเอง”

 

 

ได้ยินสามีพูดแบบนี้แม่อวี๋ก็วางใจ ตาแก่คนนี้ไม่ค่อยยอมแสดงท่าทีชัดเจนง่ายๆ ปล่อยให้คาราคาซัง แต่ถ้าพูดออกมาแบบนี้แล้ว เรื่องนี้ก็จะต้องตามสืบให้ถึงที่สุด ต้องให้ความยุติธรรมกับเสี่ยวเชี่ยน

 

 

มาถึงขนาดนี้แล้วเสี่ยวเชี่ยนพอจะคาดการณ์ได้ถึงผลลัพธ์ เธอชนะแบบได้เปรียบเห็นๆ ลอยมาเหนือลม ศัตรูไม่มีทางให้เดินต่อแล้ว

 

 

บอกเลยว่าอีกหน่อยอาหญิงคงไม่ได้มาปรากฏในโลกของเธออีกต่อไปแล้ว เอาชนะอาหญิงได้ ทั้งยังได้รับการยอมรับจากพ่ออวี๋แม่อวี๋ ยิงปืนหนึ่งนัดได้นกสองตัว

 

 

พ่ออวี๋ลุกขึ้นออกไปยังที่ทำงานเพื่อจัดการเรื่องนี้ แม่อวี๋อยากรั้งให้เสี่ยวเชี่ยนค้างสักคืนแล้วค่อยกลับไป แต่เสี่ยวเชี่ยนปฏิเสธแบบอ้อมๆ

 

 

นานๆจะได้กลับมาทีย่อมต้องกลับไปดูแม่กับน้องชายไม่เอาไหนเสียหน่อย ค้างที่บ้านสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมหาวิทยาลัย

 

 

แม่อวี๋ได้ยินว่าเสี่ยวเชี่ยนจะกลับบ้านไม่เพียงแต่จะไม่โกรธยังช่วยเรียกรถคนขับรถให้ไปส่งด้วย แล้วถือโอกาสฝากของบำรุงมากมายไปให้แม่เสี่ยวเชี่ยน

 

 

ระหว่างรอคนขับเอารถมาเสี่ยวเชี่ยนเงยหน้ามองท้องฟ้า แม่อวี๋จึงถามด้วยความสงสัย

 

 

“เสี่ยวเชี่ยนคิดอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?”

 

 

“ถามสวรรค์ว่าโลกนี้ใครกำหนด…”

 

 

แม่อวี๋รู้สึกขำ “ทำไมทำตัวเหมือนคนรุ่นน้าเลยล่ะจ๊ะ? ดูคำพูดคำจา”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนละสายตากลับมาแล้วส่งยิ้มให้แม่อวี๋ “หนูมี…จะว่าเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ เขาเป็นคนที่น่าสนใจมาก ชอบท่องพวกหลักการของผู้นำ ถ้าคิดจะเอาชนะคนอย่างเขาให้ได้ก็ต้องเอาชนะด้วยวาจาของท่านผู้นำ หนูใช้เวลานานมากกว่าจะชนะเขา”

 

 

เรื่องที่เธอพูดอันที่จริงมันก็เป็นเรื่องเมื่อชาติที่แล้ว

 

 

เพราะคนๆนั้นทำให้เธอท่องหลักการของท่านผู้นำจนขึ้นใจ ตอนนั้นเธอรำคาญคนๆนั้นมากแบบแทบทนไม่ไหว ตอนนี้พอมานึกถึงก็ตลกดี

 

 

เมื่อครู่ตอนที่แม่อวี๋เถียงกับพ่ออวี๋ ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็นึกถึงเรื่องเมื่อชาติก่อนถึงได้พูดแบบนั้นออกไป

 

 

“เพื่อนของหนูคนนี้อายุไม่น้อยแล้วใช่ไหมจ๊ะ? ไม่50ก็น่าจะ40หรือเปล่า?” แม่อวี๋ถาม

 

 

เสี่ยวเชี่ยนเอียงคอคิด “ปีนี้น่าจะ…27นะคะ”

 

 

“อายุน้อยแบบนั้นทำไมถึงได้มีความคิดแบบคนรุ่นน้าได้ น่าตลกจัง” แม่อวี๋หัวเราะ

 

 

เสี่ยวเชี่ยนยักไหล่ “ถ้าคุณน้าได้อยู่กับเขาก็จะรู้ค่ะว่าไม่ตลกเลยสักนิด หัวโบราณชะมัด”

 

 

ตอนนั้นเธอวุ่นวายเพราะคนๆนี้มาก ชาตินี้ทางที่ดีอยู่ห่างๆไว้ดีกว่า หูจะได้โล่งๆ

 

 

รถมาแล้ว เสี่ยวเชี่ยนดึงความคิดกลับมา แล้วโบกมือลาแม่อวี๋

 

 

สิ่งที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนคาดไม่ถึงก็คือ เธอกลับบ้านไม่ได้บอกเจี่ยซิ่วฟางก่อน เจี่ยซิ่วฟางออกไปทำงานรับซื้อเศษวัสดุก่อสร้างแล้ว

 

 

เฉินจื่อหลงน้องชายเธอยังไม่เลิกเรียน เธอจำได้ว่าตัวเองพกกุญแจบ้านมาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าจำผิด เพราะในกระเป๋าไม่มี

 

 

เสี่ยวเชี่ยนโทรหาแม่ มีเสียงดังหนวกหูแทรกเข้ามาในสาย คงจะกำลังคิดเงินกันอยู่

 

 

ได้กำไรทีละเล็กละน้อยจนรวมกันเป็นหมื่นๆ ทำๆไปแล้วก็ติดใจ ต่อให้ได้ยินว่าลูกสาวกลับมาบ้านก็ไม่ได้รีบร้อน บอกให้เสี่ยวเชี่ยนออกไปเดินเล่นก่อน หรือไม่ก็ไปเดินห้างซื้อเสื้อผ้า จ่ายไปเท่าไรเดี๋ยวเอามาเบิกกับแม่

 

 

สมกับเป็นแม่แท้ๆของเธอ…

 

 

เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่านับตั้งแต่เจี่ยซิ่วฟางยืนหยัดได้ด้วยตัวเองนิสัยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก มีความมั่นใจในตัวเองมากกว่าเดิม

 

 

เห็นได้ชัดว่านิสัยของผู้หญิงเกี่ยวข้องกับเรื่องฐานะทางการเงิน ขอแค่พึ่งพาตัวเองได้ ต่อให้เป็นผู้หญิงที่ชอบพึ่งพาคนอื่นก็มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก

 

 

แต่พอแม่เธอ ‘ยืนหยัดด้วยตัวเองได้แล้ว’ เธอกลับเข้าบ้านไม่ได้ เซ็งจริงๆ

 

 

เพิ่งจะไม่กี่โมง เธอขี้เกียจออกไปเดินเล่น เดิมคิดว่าเฉินจื่อหลงใกล้จะเลิกเรียนแล้ว แต่น้องชายไม่เอาไหนไม่รู้ว่าพอเลิกเรียนแล้วไปเที่ยวเล่นที่ไหนต่อ รออยู่นานก็ยังไม่กลับมา จึงทำได้แค่นั่งรออยู่ตรงบันไดภาวนาให้เจี่ยซิ่วฟางกลับมาเร็วๆ

 

 

ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังรอด้วยความหงุดหงิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงมีคนเดินขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าเป็นคนในครอบครัวตัวเอง แต่พอหันไปเห็นก็ถึงกับสตั๊น

 

 

ทำไมโลกมันแคบแบบนี้ ไม่อยากเจอใครก็ดันเจอ

 

 

เมื่อกี้เพิ่งจะพูดกับแม่อวี๋เรื่องเขา ตอนนี้ก็มาปรากฏตัวแล้ว

 

 

คนที่เพิ่งขึ้นมานี้สูงประมาณ 175เซนติเมตร หน้าตาขาวตี๋ หากอยู่ในสายตาของพวกเด็กๆก็คงเป็นอปป้าเกาหลี แต่ตานี่รักประเทศมาก อย่าได้เรียกอปป้าให้ตานี่ได้ยินเชียว ได้มองค้อนตบโต๊ะท่องหลักการผู้นำออกมายืดยาว อย่าได้คิดจะเดินหนีง่ายๆเชียวล่ะ…

 

 

เขาที่สวมแว่นตาอยู่ดูแล้วมีความสุภาพ มีบุคลิกของผู้คงแก่เรียน สวมชุดสูทสีดำเชิ้ตขาวอย่างเป็นทางการ ในมือถือกระเป๋าเอกสาร เวลาที่ไม่พูดจาให้ความรู้สึกสุภาพอ่อนโยน

 

 

เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นใบหน้านั้นในใจก็อยากจะหนีออกไปให้ไวที่สุด เธอหันหน้าเข้ากำแพงโดยอัตโนมัติ แสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา

 

 

ผู้ชายคนนั้นหยิบกุญแจ นิ้วเรียวยาวที่ดูแลตัดเล็บจนสะอาดสะอ้านไขกุญแจแล้วเดินเข้าห้องไป พอได้ยินเสียงปิดประตูเสี่ยวเชี่ยนก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วหันตัวกลับมา

 

 

ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นยื่นหน้าออกมาแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง

 

 

“ขอโทษนะครับมีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”