วังอันหรูหราแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขา กำแพงวังที่ทำจากหินอ่อนเปล่งประกายสีขาวภายใต้แสงตะวัน ช่างดูศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ
อูหลิงอวี่ขี่กิเลนเพลิงร่อนลงตรงหน้าประตูใหญ่ของวัง ยามเฝ้าประตูคุกเข่าลงในทันใดแล้วพูดด้วยความเคารพนบนอบอย่างยิ่งว่า “คารวะท่านผู้วิเศษ”
อูหลิงอวี่อมยิ้มพยักหน้าให้พวกเขาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบคุณขอรับท่านผู้วิเศษ” ยามรักษาการณ์ลุกขึ้นแล้วยืนประจำตำแหน่งของตนดังเดิม
“ท่านประมุขตำหนักเล่า” อูหลิงอวี่ถาม
“ท่านประมุขตำหนักปรึกษาธุระอยู่กับประมุขตำหนักย่อยท่านอื่นๆ อยู่ที่ตำหนักวายุรำเพยขอรับ” ยามรักษาการณ์พูด “ประมุขตำหนักสั่งเอาไว้ว่าถ้าหากท่านผู้วิเศษกลับมาแล้วก็ให้ไปพบพวกเขาที่ตำหนักวายุรำเพยขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” อูหลิงอวี่โบกมือแล้วเดินเข้าประตูวังไป มุ่งหน้าไปยังตำหนักวายุรำเพย ทุกคนที่เดินผ่านตลอดทาง ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ไม่คารวะทักทายเขา
“ท่านผู้วิเศษ ประมุขตำหนักคอยท่านอยู่นานแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวอาภรณ์ขาวคนหนึ่งเห็นอูหลิงอวี่จึงเอ่ยขึ้น “เชิญตามข้าน้อยมาเลยเจ้าค่ะ”
หญิงสาวนำทางอูหลิงอวี่เข้าไปแล้วพูดกับคนในตำหนักว่า “ท่านประมุขตำหนักเจ้าคะ ท่านผู้วิเศษกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
บุรุษเสื้อดำผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านบน เสื้อคลุมสีขาวเรียบง่ายแต่กลับไม่ธรรมดา ใบหน้าหล่อเหลาดูเหมือนอายุไม่เกินสามสิบปี แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นตาเฒ่าที่ใช้ชีวิตมากว่าพันปีแล้ว
“หลิงอวี่คารวะท่านประมุขตำหนัก” อูหลิงอวี่ค้อมกายลงเล็กน้อย
“หลิงอวี่ เจ้ากลับมาเสียที ข้ากำลังหารือเรื่องราวอยู่กับประมุขตำหนักย่อยทุกท่านพอดี เจ้ากลับไปนั่งประจำตำแหน่งของเจ้าเสียสิ” ประมุขตำหนักพูดพลางพยักหน้าน้อยๆ
“ขอรับ ท่านประมุขตำหนัก” อูหลิงอวี่เดินมาตรงที่นั่งเบื้องล่างของประมุขตำหนักแล้วนั่งลง
“เอาล่ะ พวกเราว่ากันต่อเถิด” ประมุขตำหนักพูด “เมื่อครู่พวกเราพูดกันถึงไหนแล้วนะ”
“เรียนท่านประมุขตำหนัก เมื่อครู่พูดกันถึงเรื่องที่ตระกูลซีเหมินถูกสังหารล้างตระกูลเจ้าค่ะ” ประมุขตำหนักหญิงท่านหนึ่งพูดขึ้น
“ใช่แล้ว สืบเรื่องที่ตระกูลซีเหมินถูกสังหารล้างตระกูลได้กระจ่างชัดแล้วหรือยัง” ประมุขตำหนักถาม
“สืบรู้แน่ชัดแล้วขอรับ เป็นฝีมือของตระกูลจงเจิ้งที่เป็นศัตรูกับพวกเขามาโดยตลอดขอรับ” ประมุขตำหนักย่อยอีกคนหนึ่งเอ่ยตอบ
“พวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างตระกูล แต่ข้าได้ยินว่าตระกูลซีเหมินเคยมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อว่าซีเหมินโยวเย่ว์ นางมีพรสวรรค์สูงส่งยิ่ง แต่เบื้องบนต้องการให้พวกเราตามหาตัวหญิงสาวผู้นั้นหรือ” ประมุขตำหนักถาม
“เรียนท่านประมุขตำหนัก ผู้ที่ไปสืบข้อมูลกลับมาบอกว่าถึงแม้ซีเหมินโยวเย่ว์จะมีพรสวรรค์สูงส่ง ทั้งยังเป็นปรมาจารย์วิญญาณเอนกธาตุ แต่นางมีเพียงแค่สามธาตุเท่านั้น มิใช่เกินกว่าสี่ธาตุอย่างที่ร่ำลือกันขอรับ” ประมุขตำหนักย่อยผู้นั้นพูด “นอกจากนี้นางยังถูกคนของตระกูลจงเจิ้งสังหารไปแล้วด้วย เรื่องนี้แน่ใจได้เลยขอรับ”
อูหลิงอวี่นั่งประจำตำแหน่ง เมื่อได้ยินพวกเขาพูดถึงซีเหมินโยวเยว่แล้วก็อดนึกถึงซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นมามิได้ เมื่อนึกถึงท่าทีโมโหจนแทบคลั่งของนางก่อนที่จะจากมา มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลซีเหมินอีกเลย” ประมุขตำหนักพูด
“ขอรับ ท่านประมุขตำหนัก” บุรุษผู้นั้นพูด “แต่ตอนที่พวกเราตรวจสอบก็พบว่าตระกูลจงเจิ้งมีคุณหนูอยู่ผู้หนึ่งชื่อว่าจงเจิ้งหานเย่ว์ เป็นผู้มีพรสวรรค์หาตัวจับยากคนหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าเข้าร่วมตำหนักผู้วิเศษของพวกเราได้ขอรับ”
“นางอาจเป็นหญิงสาวในคำทำนายผู้นั้นอย่างนั้นหรือ” ประมุขตำหนักถาม
“มิใช่ขอรับ นางเป็นธาตุคู่ทองและไฟขอรับ” ประมุขตำหนักย่อยพูด “พวกเราได้ให้คนไปตรวจสอบนางเรียบร้อยแล้ว มั่นใจว่าเป็นธาตุคู่อย่างแน่นอนขอรับ”
“ในเมื่อเป็นธาตุคู่ เช่นนั้นก็รับตัวเข้ามาเถิด” ประมุขตำหนักโบกมือซ้าย มือขวาเท้าบนที่วางแขนยันศีรษะเอาไว้พลางพูดว่า “แล้วพวกเจ้าที่อื่นๆ เล่า”
“ประมุขตำหนัก ข้าพบตัวปรมาจารย์วิญญาณจตุธาตุคนหนึ่งในสำนักของพวกเราขอรับ” ประมุขตำหนักย่อยที่ดูท่าทีเย็นชาคนหนึ่งพูดขึ้น
“แน่ใจว่าเป็นจตุธาตุจริงๆ หรือไม่”
“ใช่แล้วขอรับ ท่านประมุขตำหนัก นางเป็นเด็กหญิงอายุสิบปีคนหนึ่ง เพิ่งจะเริ่มต้นฝึกยุทธ์ ตอนที่ทดสอบในตระกูลพบว่าเป็นจตุธาตุขอรับ”
“ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวในคำทำนายหรือไม่ก็มิอาจปล่อยผ่านไปได้อยู่ดี” ประมุขตำหนักพูดอย่างเรียบเรื่อย คล้ายกับว่าชีวิตหนึ่งๆ ก็มิได้ควรค่าแก่การพูดถึงเลยเมื่อออกจากปากเขา
“ข้าได้ให้คนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดพาตัวนางเข้ามาในตำหนักผู้วิเศษโดยบอกว่าจะให้เข้าร่วมกับพวกเรา วางแผนเอาไว้ว่าหลังจากรายงานท่านประมุขตำหนักแล้วก็จะสังหารนางเสีย”
“ดี เบื้องบนกำชับมาว่า ต่อให้สังหารผิดตัวไปพันคน ก็ห้ามปล่อยผ่านแม้แต่คนเดียว ขอเพียงแค่เป็นปรมาจารย์วิญญาณเพศหญิงจตุธาตุขึ้นไปก็ล้วนมิอาจปล่อยให้รอดไปได้ทั้งสิ้น เข้าใจหรือไม่” ประมุขตำหนักเอ่ยกำชับ
“เข้าใจแล้วขอรับ”
“…”
อูหลิงอวี่นั่งประจำตำแหน่งของตนโดยไม่เอ่ยวาจา เขาหัวเราะเยียบเย็นอยู่ในใจ นี่ก็คือตำหนักผู้วิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของผู้อื่น แต่ชีวิตของผู้อื่นในสายตาของพวกเขาก็เหมือนกับวัชพืชเท่านั้น ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะคำทำนายที่ไม่รู้ไปฟังมาจากที่ใดอันหนึ่งเท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ประมุขตำหนักย่อยคนอื่นๆ ปรึกษาหารือกันเสร็จก็แยกย้ายกันจากไป เหลือเพียงแค่ประมุขตำหนักกับอูหลิงอวี่สองคนเท่านั้น
“เหตุใดคราวนี้เจ้าจึงออกไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้กันเล่า” ประมุขตำหนักมองอูหลิงอวี่พลางถามขึ้น
“เรียนท่านประมุขตำหนัก ข้าได้ยินมาว่าดินแดนอี้หลินมีความเคลื่อนไหว จึงได้ลงไปดูสักหน่อยน่ะขอรับ” อูหลิงอวี่เอ่ยตอบ
“เช่นนั้นเจ้าตรวจสอบพบบุคคลที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่”
“ไม่มีเลยขอรับ” อูหลิงอวี่พูดอย่างมั่นใจ “ถึงอย่างไรดินแดนอี้หลินก็เป็นดินแดนระดับต่ำสุดของพวกเราแล้ว การที่จะมีผู้เปี่ยมพรสวรรค์โผล่มาสักคนหนึ่งนั้นก็ยังยากเย็นยิ่งกว่าปีนป่ายท้องฟ้าเสียอีก”
ถ้าหากพูดถึงหญิงสาวที่น่าสงสัยแล้วล่ะก็ เขาก็นึกถึงซือหม่าโยวเย่ว์ แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกมาอยู่แล้ว
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็มิอาจชะล่าใจได้หรอกนะ” ประมุขตำหนักพูด
“ข้าเข้าใจดีขอรับ” อูหลิงอวี่ก้มศีรษะลงน้อยๆ คล้ายกับว่าใส่ใจรับฟังคำพูดของเขาอย่างไรอย่างนั้น
“ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ประมุขตำหนักถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“เรียนท่านประมุขตำหนัก ยังคงเป็นเช่นเดิมเลยขอรับ ท่านอาจารย์บอกว่ายังคงเสาะหาวิธีแก้ไขให้ข้าอยู่” อูหลิงอวี่เอ่ยตอบ
ประมุขตำหนักหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุแล้วพูดว่า “นี่คือยาวิเศษที่ข้าให้คนค้นคว้าทดลองออกมา มีฤทธิ์บำรุงวิญญาณเป็นอย่างดียิ่ง เจ้าเอาไปใช้เสียสิ”
อูหลิงอวี่ลุกขึ้น สองมือรับขวดหยกมาพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านประมุขตำหนักที่เมตตาขอรับ”
“เจ้าคือผู้วิเศษที่ข้าเลือกมาด้วยตัวเอง ทั้งยังจะเป็นผู้สืบทอดของข้าด้วย ข้าก็ต้องใส่ใจเจ้ามากหน่อยอยู่แล้วสิ” ประมุขตำหนักพูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ต่อจากนี้ไปหากมีเรื่องอันใดเจ้าก็ใช้คนเบื้องล่างไปตรวจดูก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องไปด้วยตัวเองหรอกนะ”
“ข้าทราบแล้วขอรับ”
“เอาละ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด” ประมุขตำหนักพูดพลางโบกไม้โบกมือ
“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ไปเถิด อย่าลืมใช้ยาวิเศษนั่นด้วยล่ะ” ประมุขตำหนักเอ่ยกำชับ
“ขอรับ ข้าจะกลับไปกิน” อูหลิงอวี่พูด “หลิงอวี่ขอตัวก่อนนะขอรับ”
อูหลิงอวี่หมุนกายออกไปจากตำหนักใหญ่ ตอนอยู่ที่ประตูใหญ่ก็มีเสียงของประมุขตำหนักลอยมาจากด้านหลัง
“อีกไม่กี่วันนารีทิพย์ก็จะกลับมาจากเบื้องบนแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็พาคนไปต้อนรับสักหน่อยด้วยล่ะ”
เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่หนังหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมือง เอาแต่เกาะแกะตนตลอดวันผู้นั้นแล้วอูหลิงอวี่ก็ร่างกายแข็งเกร็ง แต่ก็ยังได้สติกลับมาแล้วพูดว่า “ขอรับ”
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ เทือกเขาผู่สั่วแห่งดินแดนอี้หลิน ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่ย่ากวงหนีสะบักสะบอมออกมา เดิมทีคิดว่าพอออกมาจากเทือกเขาก็ใช้ได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะไล่ตามเธอมาอีกหลายร้อยลี้
และเมืองที่อูหลิงอวี่บอกว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแห่งนั้น เธอขี่ย่ากวงวิ่งมากว่าครึ่งวันจึงจะมองเห็น
“ระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ก็คือสถานที่ที่เขาบอกว่าไม่ไกลอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตัวย่ากวงเข้าไปภายในมณีวิญญาณ “คราวหน้าถ้าหากให้ข้าได้พบเจอเขาอีก ข้าจะต้องถลกหนังเขาออกมาอย่างแน่นอน!”
เธอเข้ามาในเมือง เมื่อผู้คนได้เห็นท่าทางสะบักสะบอมของเธอแล้วไม่เพียงแต่จะไม่หัวเราะเยาะเท่านั้น แต่กลับแสดงท่าทีเคารพนับถือเสียด้วยซ้ำ
“ขอถามหน่อยว่าจะไปสมาคมปรมาจารย์วิญญาณได้อย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์รั้งตัวคนบนถนนคนหนึ่งมาถาม
“ท่านปรมาจารย์ ตรงไปข้างหน้า เดินไปสองซอยแล้วเลี้ยวซ้ายก็ถึงแล้วขอรับ” คนที่ถูกรั้งตัวเอาไว้เอ่ยตอบ
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณมาก!” ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งเคยมีคนมองด้วยสายตาเคารพนับถือเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือคนที่นี่มองเพียงปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าเธอออกมาจากเทือกเขาผู่สั่ว ผู้ที่กล้าเข้าไปในเทือกเขาผู่สั่วตัวคนเดียว จะต้องเป็นคนที่ร้ายกาจยิ่งอย่างแน่นอน ทุกคนก็ย่อมต้องนับถือเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
เธอไปยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณตามเส้นทางที่คนผู้นั้นบอก ที่นั่นมีค่ายกลส่งตัวไปยังเมืองหลวงอยู่
เมื่อนึกถึงคนที่ผลักตนในตอนนั้น มุมปากเธอก็ยกยิ้ม ตนกำลังจะกลับไปแล้ว แม่นั่นเตรียมรับมือกับการแก้แค้นของตนพร้อมหรือยังเล่า
…………………