สมาคมปรมาจารย์วิญญาณนั้นเป็นสมาคมแห่งหนึ่งที่ปรมาจารย์วิญญาณทั้งหลายก่อตั้งขึ้น มีหน้าที่รับผิดชอบกิจธุระต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์วิญญาณในดินแดนแห่งนี้ ปรมาจารย์วิญญาณรับข้อกำหนดของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ ทั้งยังรับความคุ้มครองด้วย
ในทางเดียวกัน นักหลอมยามีสมาคมนักหลอมยา นักหลอมวัตถุมีสมาคมนักหลอมวัตถุ นักฝึกสัตว์อสูรมีสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร แม้กระทั่งทหารรับจ้างก็มีสมาคมทหารรับจ้างเช่นกัน
สมาชิกสมาคมทุกคนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน มิได้อยู่ตามลำพังอย่างสมบูรณ์
แต่ละสมาคมก็จะถือครองทรัพยากรที่แตกต่างกัน และค่ายกลนำส่งของแต่ละเมืองก็จะอยู่ที่สมาคมปรมาจารย์วิญญาณนั่นเอง
ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปในสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ เมื่อคนข้างในได้เห็นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของเธอแล้วก็เคารพนบนอบกันเป็นอย่างยิ่ง
“มีสิ่งใดที่พวกเราช่วยท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” พนักงานร้านถามพลางค้อมตัวลงน้อยๆ
“ข้าอยากใช้ค่ายกลนำส่งกลับไปยังเมืองหลวง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองประเมินรอบๆ สมาคมไปพลาง
อาจเป็นเพราะสถานที่ค่อนข้างเล็ก สมาคมปรมาจารย์วิญญาณที่นี่จึงค่อนข้างเล็กเช่นกัน ตกแต่งอย่างง่ายๆ เครื่องเรือนเก่าคร่ำคร่า มีหญิงสาวเพียงคนเดียวที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ข้างใน เมื่อเห็นเธอเข้ามาจึงค่อยเงยหน้าขึ้นถามไถ่
หญิงสาวผู้นั้นพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ว่า “ขอโทษด้วย พวกเราไม่มีค่ายกลนำส่งตรงไปยังเมืองหลวงหรอกเจ้าค่ะ”
“ไม่มีหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สงสัย ก่อนหน้านี้อูหลิงอวี่มิได้บอกว่ามีหรอกหรือ
“ก่อนหน้านี้ก็มีอยู่เจ้าค่ะ แต่ไม่นานมานี้เพิ่งจะพังไป ตั้งแต่นั้นมาก็ยังไม่มีปรมาจารย์ค่ายกลมาซ่อมแซมให้เลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวผู้นั้นพูด “แต่มีไปยังเมืองใกล้ๆ เมืองหลวงอยู่ ท่านไปที่นั่นแล้วค่อยไปยังเมืองหลวงก็ได้ สิ้นเปลืองเวลาและเงินทองไม่มากสักเท่าใดนักหรอกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่นั่นก่อนแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นขอเชิญท่านกรอกข้อมูลก่อน จากนั้นค่อยจ่ายมาห้าตำลึงทองนะเจ้าคะ” สาวใช้ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์รับกระดาษและพู่กันมา ก็เห็นว่าเป็นเพียงแค่ข้อมูลพื้นฐานจำนวนหนึ่งเท่านั้น สะบัดพู่กันไม่กี่ทีก็กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็หยิบเอาห้าตำลึงทองออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุแล้ววางลงบนโต๊ะยาว
สาวใช้เก็บตำลึงทองลงไปในลิ้นชักก่อนจะหยิบกระดาษมาโดยไม่มองแล้วพูดว่า “เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ตามนางมาถึงในห้องแห่งหนึ่งที่ลานด้านหลังของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ ก็เห็นว่าตรงกลางห้องมีอักขระค่ายกลอยู่อันหนึ่ง และบนกำแพงก็มีชื่อเมืองอยู่เป็นจำนวนมาก
“เชิญขึ้นไปยืนบนค่ายกลเลยเจ้าค่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นไปยืน จากนั้นก็เห็นสาวใช้มายังกำแพงด้านข้างแล้วกดลงไปบนชื่อเมืองแห่งหนึ่ง
“ที่นี่คือเมืองเซียงที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของเมืองหลวง หากท่านไปที่นั่นก็จะไปเมืองหลวงได้อย่างสะดวกเลยทีเดียวเจ้าค่ะ” สาวใช้อธิบายให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟัง
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ขณะนี้เองค่ายกลก็เปล่งแสงสีขาวสว่างออกมา พอๆ กันกับค่ายกลนำส่งที่เธอเห็นตอนอยู่ในถ้ำก่อนหน้านี้ ทั่วทั้งอักขระเปล่งแสงสว่าง แล้วเธอก็หายตัวเข้าไปภายในค่ายกล
สาวใช้เห็นว่าค่ายกลทำงานตามปกติ จึงก้มหน้าลงมองแผ่นข้อมูลในมือปราดหนึ่ง เมื่อเห็นชื่อที่เขียนอยู่ก็ตะลึงงันไปในทันที
“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ คนไร้ค่าผู้นั้นน่ะหรือ”
นางเงยหน้ามองไปทางค่ายกลนำส่ง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่อยู่เสียแล้ว
“จะต้องไม่ใช่คนไร้ค่าผู้นั้นอย่างแน่นอน” สาวใช้พูดพลางส่ายหน้า “คนไร้ค่าผู้นั้นย่อมไม่อาจบำเพ็ญได้อยู่แล้ว คนเมื่อครู่นี้มีแหวนเก็บวัตถุอยู่ จะต้องเป็นปรมาจารย์วิญญาณท่านหนึ่งไม่ผิดแน่ จะต้องเป็นคนที่ชื่อเหมือนกันอย่างแน่นอน”
สาวใช้ส่ายหน้าแล้วออกไปจากห้องค่ายกลนำส่ง
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าร่างกายถูกบีบอัด เมื่ออยู่ภายในค่ายกลนำส่งเธอก็หลับตาลงอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อเธอรู้สึกผ่อนคลายลงและพอจะลืมตาได้ ก็พบว่ามาอยู่ที่ห้องอีกห้องหนึ่งแล้ว
“เอ๊ะ… นี่มาจากค่ายกลนำส่งเทือกเขาผู่สั่วอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงมีเพียงคนเดียวเล่า นี่… รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้าสิ อย่าเกะกะค่ายกลนำส่ง หลังจากนี้ยังมีค่ายกลนำส่งจากที่อื่นๆ ส่งตัวคนมาอีก”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงประหลาดใจเสียงหนึ่ง จึงปีนป่ายขึ้นมาจากค่ายกลนำส่งแล้วมายืนอยู่ด้านข้าง
หลังจากที่เธอออกมาได้ไม่ถึงครึ่งนาที ค่ายกลนำส่งก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่แสงสว่างหายไปแล้วก็มีคนสามคนปรากฏตัวขึ้นภายในห้อง
สามคนนั้นมองรอบห้องปราดหนึ่งแล้วก็จากไปในทันทีโดยไม่เอ่ยวาจา
พอพวกเขาจากไปแล้วค่ายกลนำส่งก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็มีคนมาอีกสองคนแล้วมองรอบห้องปราดหนึ่งก่อนจะจากไปเช่นเดียวกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นผู้อื่นล้วนยืนกันทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนว่าตอนที่ตัวเองมาถึงจะนอนกองอยู่
“นี่… เจ้ามามัวทำอะไรอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไปอีก!” เด็กหนุ่มวัยสิบปีเศษคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หยุดชะงักอยู่กับค่ายกลจึงตะคอกเสียงดุ
“ข้าต้องการใช้ค่ายกลนำส่งไปยังเมืองหลวงน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“จะไปเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มผู้นั้นมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ออกประตูไปแล้วเลี้ยวซ้าย ไปที่บ้านหลังนั้นแหละ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเขาให้ตนไปที่นั่นทำไม แต่ก็ยังไปอย่างว่าง่าย
ตอนนี้เธออยากจะกลับบ้านโดยเร็ว จึงคร้านจะไปใส่ใจท่าทีไร้มารยาทของคนเหล่านี้
พอออกมาจากห้องก็เห็นว่าด้านนอกเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ซึ่งภายในนั้นมีดอกไม้ใบหญ้าที่ดูแปลกหูแปลกตาอยู่ไม่น้อย ช่างแตกต่างกับสมาคมปรมาจารย์วิญญาณอันเรียบง่ายที่เทือกเขาผู่สั่วแห่งนั้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
เธอมองเห็นข้าวฟ่างหางหมากิ่งหนึ่ง เมื่อชาติก่อนเคยเห็นมันมาหลายครั้ง เธอก้าวเข้าไปหักมันมาคาบเอาไว้ในปาก จากนั้นก็มายังบ้านข้างๆ ตามคำบอกของเด็กหนุ่มผู้นั้น ภายในลานบ้านนั้นมีฝูงชนต่อแถวยาวเหยียดอยู่
“คนเยอะเหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปต่อที่ท้ายสุดของแถวแล้วค่อยๆ เคลื่อนที่ไปตามฝูงชนอย่างช้าๆ
ก่อนหน้านี้เธอยังคิดว่าที่นี่คือสถานที่กรอกเอกสาร แต่ก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าทุกคนที่เข้าไปไม่ได้ออกมาเลย และภายในห้องก็มีแสงสว่างวาบออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“ที่แท้แล้วค่ายกลนำส่งที่มายังที่แห่งนี้และค่ายกลนำส่งที่พาออกไปก็ไม่ใช่อันเดียวกัน” เธอลูบคางแล้วพูดว่า “ค่ายกลนำส่งนี้ดูเหมือนจะน่าสนุกดีทีเดียว หลังจากนี้ไปหากมีเวลาก็น่าจะไปศึกษาดูสักหน่อย ถ้าหากสามารถควบคุมค่ายกลนำส่งได้ก็คงจะสะดวกสบายน่าดู”
“ฮ่าๆๆ…”
พอคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้าเธอได้ฟังคำพูดของเธอแล้วต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังลั่น
ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลังตบบ่าเธอเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าน้องชาย ปรมาจารย์ค่ายกลนี้ใช่ว่าใครอยากจะเป็นก็เป็นได้หรอกนะ!”
“การเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยากเย็นมากอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว ปรมาจารย์ค่ายกลนี้มิใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะเป็นได้หรอกนะ ความยากพอๆ กันกับนักหลอมยาและนักหลอมวัตถุเลยทีเดียว! หรืออาจจะยากกว่าอยู่สักหน่อยด้วยซ้ำ เพราะในบรรดาปรมาจารย์วิญญาณพันคนนั้นอาจมีนักหลอมยาอยู่สักคนหนึ่งก็เป็นได้ แต่กลับไม่แน่ว่าจะมีปรมาจารย์ค่ายกลสักคนอยู่ในนั้น” ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพูด
“จริงหรือ เช่นนั้นการเป็นปรมาจารย์ค่ายกลก็มิได้ยอดเยี่ยมมากเลยหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สองตาเปล่งประกาย ถ้าหากเป็นคนที่สนิทสนมกับเธอในชาติก่อนจะรู้เลยว่านี่คือสีหน้าตอนที่เธอมีความสนอกสนใจอย่างที่สุด
“ฮ่าๆ ถึงอย่างไรก็ยังยากเย็นยิ่งนัก! เจ้าน้องชาย ถ้าหากเจ้ามีความทะเยอทะยานถึงขนาดนั้น เช่นนั้นเจ้าก็พยายามเข้าล่ะ! เมื่อใดที่ทำสำเร็จ ถึงตอนนั้นอยากได้สิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้นแล้วล่ะ!” ชายฉกรรจ์มิได้เห็นความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเรื่องตลกเลย เขาตบหลังให้กำลังใจเธอ
“แหะๆ ขอบคุณพี่ชาย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก น้องชาย สู้ๆ นะ!” ชายฉกรรจ์พูด “ใช่แล้ว เจ้าจะไปไหนหรือ”
“เมืองหลวงน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
“จากที่นี่ไปยังเมืองหลวงก็ไม่ไกลแล้วล่ะ เจ้าใช้ค่ายกลนำส่งนั้นช่างสิ้นเปลืองตำลึงทองเหลือเกิน เจ้ามีคนรู้จักอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่” ชายฉกรรจ์ถาม
คำพูดที่ไม่ได้เจตนาของเขาทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งคราหนึ่ง ถ้าหากตนกลับไปโดยใช้ค่ายกลนำส่ง พอถึงเวลาก็จะไปยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณแห่งเมืองหลวง คนที่นี่ย่อมไม่รู้จักเธออยู่แล้ว แต่คนทางฝั่งนั้นย่อมรู้จักเธออย่างแน่นอน เช่นนั้นเรื่องที่เธอเป็นปรมาจารย์วิญญาณก็จะไม่ถูกเปิดเผยหรอกหรือ!
“โอ้ ข้านึกขึ้นได้พอดีว่าข้ายังมีธุระต้องไปทำอีก ขอตัวไปก่อน! ลาก่อนนะพี่ชาย” หลังจากที่คิดจนเข้าใจแล้วเธอก็ผละจากฝูงชนแล้วออกจากสมาคมปรมาจารย์วิญญาณไป
เธอถามทิศทางไปเมืองหลวงจากคนผู้หนึ่งบนถนน คนผู้นั้นไม่เพียงแค่บอกทางเท่านั้น แต่ยังบอกว่าเธอสามารถนั่งรถเทียมสัตว์อสูรไปได้ด้วย ใช้แค่สิบห้าตำลึงทองก็พอแล้ว
จากนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปยังสถานที่เช่ารถเทียมสัตว์อสูรแล้วเช่ารถเทียมสัตว์อสูรมาคันหนึ่ง ให้อีกฝ่ายไปส่งเธอยังเมืองหลวง
ระยะทางไม่ถึงหนึ่งวัน แสดงให้เห็นว่าเมืองแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงจริงๆ ในเวลาพลบค่ำเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว
เธอจ่ายค่ารถที่นอกเมืองแล้วให้อีกฝ่ายกลับไป เธอมองดูกำแพงเมืองสูงตระหง่านพลางอมยิ้มน้อยๆ
ท่านปู่ ท่านพี่ทั้งหลาย รวมทั้งผู้คนที่ทำร้ายข้า ข้า ซือหม่าโยวเย่ว์ กลับมาแล้ว!
…………………