บทที่ 26
เธอเคยพบจักรพรรดินีราวีนี่อยู่ไม่กี่ครั้ง
แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้ แต่เป็นชีวิตก่อน
ตอนสมัยนั้นพระองค์เป็นหญิงงามซึ่งมีภาพลักษณ์โดดเด่นดั่งคนที่ได้รับการดูแลอย่างดี จักรพรรดินีที่เยาว์วัยกว่าเมื่อตอนนั้นสิบกว่าปี ช่างเป็นคนที่งดงามมากขนาดทำให้ต้องมองจนตาค้างจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีด้านที่เย็นชามากพอกันกับหน้าตาอยู่ด้วย
“ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดียใช่มั้ยคะ”
จักรพรรดินีราวีนี่ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปหาท่านพ่ออย่างเชื่องช้า
คราวที่แล้วเธอได้ฝึกซ้อมวิธีการทักทายเชื้อพระวงศ์ของผู้หญิงกับชานาเนส แต่วิธีการทักทายของพวกผู้ชายนั้นมีด้วยกันสองแบบ
หนึ่งคือ ยกมือขึ้นแตะบริเวณหัวใจ โค้งศีรษะลงเป็นการทักทาย ส่วนอีกวิธีนั้นเหมือนอย่างตอนนี้ คือการโค้งกาย แนบหน้าผากของตนเข้ากับมือของเชื้อพระวงศ์ที่ยื่นออกมา
แน่นอนว่าวิธีแบบที่สองค่อนข้างสุภาพมากกว่าแต่มันเป็นวิธีการทักทายที่แทบจะไม่มีใครใช้กันแล้ว
จักรพรรดินียังคงไม่เก็บมือที่ยื่นออกมากลับไป ท่านพ่อเหม่อมองมือข้างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแตะหน้าผากลงบนมือนั่น
เธอเองก็ถวายบังคมตามท่านพ่อ ทว่าจักรพรรดินีไม่แม้แต่จะหันมามองเธอด้วยซ้ำ
เพียงแค่มองท่านพ่อด้วยนัยน์ตามองเหยียดลงต่ำ รู้สึกราวกับในนัยน์ตาคู่นั้นแฝงไปด้วยชัยชนะแปลกๆ
“ออกมาดูเพราะไม่เห็นรถม้าของแขกที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงมื้อเย็นเสียที นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันล่ะ”
จักรพรรดินีหันไปมองอัศวินสองนายพลางเอ่ยถาม
“ระ…เรื่องนั้น…”
แน่นอนว่าพวกอัศวินเองก็ดูจะตื่นตระหนกเหมือนกัน
จักรพรรดินีสั่งให้พวกเขามาบังคับตรวจค้นรถม้า แต่พวกเขาดันถูกพระองค์จับได้ว่ากำลังขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนั้นเสียได้
แววตาของจักรพรรดินีราวีนี่ที่กำลังมองพวกเขาอยู่นั้นเย็นยะเยือก
“อย่ามามัวอยู่ตรงนี้กันเลย เข้าไปข้างในเถอะ จะปล่อยให้แขกต้องอยู่บนถนนคงจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป”
จักรพรรดินีตรัสเช่นนั้น ก่อนจะเป็นฝ่ายหันหลังเริ่มก้าวขาออกเดินก่อน
เหล่านางกำนัลห้าคนเองก็กรูกันตามหลังนางไป
ท่านพ่อที่กำลังนิ่วหน้ามองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งหันมามองเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ
“พวกเราก็ไปกันเลยดีมั้ย เทีย?”
แน่นอนว่าคงจะคิดอะไรอยู่หลายเรื่องทีเดียว แต่ท่านพ่อก็ยังยิ้มให้ในขณะที่ยื่นมือมาหาเธอ
สถานที่ที่จักรพรรดินีนำทางพวกเราไปก็คือห้องรับประทานอาหารที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษไว้สำหรับใช้จัดงานเลี้ยงมื้อเย็นของวังจักรพรรดินีโดยเฉพาะ
ในทุกเดือนราวีนี่จะเชิญแขกมาประมาณสิบคน เพื่อสร้างคอนเน็กชั่นของตัวเอง บางครั้งองค์จักรพรรดิเองก็จะมาร่วมโต๊ะเสวยด้วย ดังนั้นงานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินี จึงเป็นอีเวนต์สำคัญที่บรรดาชนชั้นสูงต่างก็อยากลองเข้าร่วมกันสักครั้งทั้งนั้น
แต่ท่านพ่อกับเธอเข้ามาข้างในแล้วถึงได้รู้ว่างานเลี้ยงมื้อเย็นในวันนี้มันแตกต่างจากเรื่องที่เคยได้ยินมา
บนโต๊ะตัวยาวมีจานชามถูกจัดวางเอาไว้สำหรับคนแค่ห้าคนเท่านั้น
“วันนี้เป็นงานพิเศษที่ข้าเชิญมาเฉพาะบิดากับลูกสาวตระกูลลอมบาร์เดียเท่านั้นค่ะ มีเรื่องให้พวกเราได้ฉลองกันอยู่ด้วย ว่ามั้ยคะ”
จักรพรรดินีหัวเราะ นัยน์ตากลมโตพับลงอย่างงดงาม
ช่างเป็นภาพที่งดงามจริงๆ แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความงามนั่นเลยแม้แต่น้อย ฟีเรนเทียเอาแต่นึกถึงสภาพย่ำแย่ของเจ้าชายลำดับที่สอง จนรู้สึกอึดอัดใจไปหมด
“…เป็นเกียรติอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
แต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อก็ยังคงเอ่ยตอบกลับไปอย่างมีมารยาท ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ในตำแหน่งที่จักรพรรดินีชี้ไป
และทันทีที่พวกเรานั่งลงกันหมด ประตูห้องรับประทานอาหารก็ถูกเปิดออกอีกครั้งคล้ายกับรอจังหวะอยู่แล้ว ก่อนที่เจ้าชายลำดับที่หนึ่งจะเดินเข้ามา
“เสด็จแม่”
“มาสิคะ อาสทาน่า วันนี้เพื่อนของอาสทาน่ามาด้วยนะคะ?”
“พ่ะย่ะค่ะ…”
อาสทาน่าเหลือบมองเธอ แล้วตอบด้วยท่าทางใสซื่อที่สุดในโลก
เจ้าเด็กนั่นกับเธอเป็นเพื่อนกันอย่างนั้นเหรอ
ฟีเรนเทียอยากจะพ่นลมหายใจเสียงดังหึออกมาทางจมูก แต่งานนี้ก็สำคัญจนได้แต่อดกลั้นเอาไว้
“สวัสดีครับ ท่านชายลอมบาร์เดีย”
“ที่ผ่านมาสบายดีหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง”
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งรับคำทักทายจากท่านพ่อ เดินตรงดิ่งเข้ามานั่งลงบนที่นั่งข้างจักรพรรดินี ทำไมจะต้องเป็นที่นั่งตรงข้ามเธอด้วยเนี่ย
อา คงจะทานอาหารไม่อร่อยเสียแล้ว
“กระหม่อมขอกล่าวเรื่องที่ยังไม่ได้พูดเมื่อครู่นี้เสียหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
ท่านพ่อที่นั่งเงียบจู่ๆ ก็เอ่ยพูดขึ้นมา
พฤติกรรมของจักรพรรดินีที่ดื่มน้ำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเองก็หยุดชะงักเช่นกัน
“ว่ามาสิคะ”
“ระหว่างทางที่มายังวังจักรพรรดินีวันนี้ รถม้าถูกกองกำลังอัศวินตรวจค้นพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่มันช่าง…”
จักรพรรดินีแสดงสีหน้าตกใจ แต่ว่ากันตามตรงมันเป็นใบหน้าที่ดูใกล้เคียงกับกำลังหัวเราะมากกว่า
ปกติคนที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวจะต้องไม่พูดอะไร
เพราะไม่รู้เรื่อง ถึงได้ไม่มีอะไรจะพูดยังไงล่ะแต่ท่านพ่อก็ยังคงสานต่อบทสนทนาด้วยใบหน้านิ่งไม่หวั่นเกรง
“ในพระราชวัง คนของลอมบาร์เดียจะต้องไม่ถูกตรวจค้นหรือสอบสวนใดๆ พ่ะย่ะค่ะกฎข้อตกลงเองก็กล่าวไว้เช่นนั้นไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ที่ท่านพ่อท้วงติงนั้นเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“ใช่แล้วละค่ะ ช่างเป็นกฎที่แปลกประหลาดเสียจริงนะคะ”
แต่จักรพรรดินีกลับหัวเราะเยาะคำพูดของท่านพ่อ
“เพราะเหตุใดถึงได้มีข้อยกเว้นเช่นนั้นเฉพาะกับตระกูลลอมบาร์เดียกันล่ะคะ ตระกูลอื่นที่เข้ามาในพระราชวังต่างก็ต้องถูกตรวจค้นโดยละเอียดกันทั้งนั้นนี่คะ”
น้ำเสียงของจักรพรรดินีเต็มไปด้วยคำพูดเสียดสีแต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกับว่านางไม่ได้ตั้งใจพูดเช่นนั้น
ราวกับว่าคำพูดเสียดสีมันหลุดออกมาเองโดยไม่รู้ตัว เพราะความรู้สึกเกลียดชังและเป็นปรปักษ์ต่อตระกูลลอมบาร์เดียมันมีมากจนล้นเกินไป
จักรพรรดินีเองก็คงจะตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของนาง เพียงไม่นานจึงรีบยิ้มก่อนจะพูดเสริมต่อ
“แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะตระกูลลอมบาร์เดียเป็นตระกูลที่พิเศษในหลายๆ ด้านสินะคะ”
ท่านพ่อไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทั้งสิ้นเพียงแค่มองสบนัยน์ตาของจักรพรรดินีตรงๆ ไม่แม้แต่จะกะพริบตาเท่านั้น
สิ่งที่ทำลายบรรยากาศปะทุราวกับจะแตกออกเป็นชิ้นส่วนแหลมคมได้ทุกเมื่อ คือประตูห้องงานเลี้ยงดินเนอร์ที่ถูกเปิดออกอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่า! แคลอฮัน!”
คนที่เดินเข้ามาพร้อมกับเรียกชื่อท่านพ่อเสียงดังตั้งแต่ปรากฏตัวก็คือ องค์จักรพรรดิโยบาเนส
พระองค์เป็นผู้ชายที่ให้บรรยากาศของคนใจกว้าง มีผมดำเช่นเดียวกันกับเจ้าชายลำดับที่สอง
เธอลุกจากที่นั่งตามท่านพ่อ ถวายบังคมตามธรรมเนียมของราชวงศ์
“ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ! สบายดีหรือเปล่า”
“ดีใจเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ ที่ฝ่าบาทเองก็ดูจะทรงพระพลานามัยแข็งแรงดี”
“ข้าก็เป็นเช่นนั้นตลอดอยู่แล้ว! ”
ดูเหมือนท่านพ่อกับจักรพรรดิจะสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะทั้งคู่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน
สายตาของจักรพรรดิที่กำลังชกไหล่ของท่านพ่อด้วยมือหนาเลื่อนมาที่เธอ
“โอ้ เจ้าคือฟีเรนเทียสินะ”
“ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย ถวายบังคมองค์จักรพรรดิเพคะ”
ผิดคาดที่เธอคงจะเป็นประเภทแข็งแกร่งเมื่อเจอศึกจริง ครั้งนี้จึงไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดอย่างน่าโล่งอก
นัยน์ตายิ้มแย้มแต่แฝงไปด้วยความแห้งผากของจักรพรรดิกวาดมองเธอ
“อืมๆ เป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ”
“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”
“แคลอฮัน ลูกสาวเจ้านี่ช่างฉลาดเฉลียวเหมือนเจ้าไม่มีผิดเลยนะ! ”
ดูเหมือนจักรพรรดิจะคุ้นชินกับการพูดชมคนอื่นเป็นอย่างดี
“เอาละๆ นั่งกันเถอะ!”
ทันทีที่จักรพรรดิประทับลงตรงตำแหน่งที่นั่งสูงสุดอย่างหัวโต๊ะ เหล่าผู้ดูแลและนางกำนัลทั้งหลายก็นำอาหารเข้ามาเสิร์ฟ พร้อมกับงานเลี้ยงมื้อเย็นที่เริ่มขึ้น