ในระหว่างที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร เธอรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย

 

อย่างไรก็เป็นพระโอรส แต่หลังจากที่จักรพรรดิเสด็จมาถึงงาน พระองค์ก็ไม่ได้มองเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

อาสทาน่าเองก็ดูจะไม่สนใจอะไร คล้ายกับว่าเคยชินกับบิดาที่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

 

“แล้วนี่ก่อนข้าจะมา พูดคุยเรื่องอะไรกันไปแล้วบ้างล่ะ”

 

“ไม่มีเรื่องอะไรหรอกเพคะ เพียงแค่กำลังทักทายกันอยู่เท่านั้นเอง”

 

จักรพรรดินีเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงหัวเราะ

 

ท่านพ่อจ้องจักรพรรดินีที่กล่าวเช่นนั้นเขม็ง

 

“ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นนะ แคลอฮัน?”

 

จักรพรรดิมองท่านพ่อสลับไปมากับจักรพรรดินี ก่อนจะตรัสออกมา

 

“หากมีเรื่องอะไรค้างคาใจ ก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ”

 

แต่คล้ายกับคำพูดของจักรพรรดิเองก็ไม่ได้จริงใจอะไรนัก เป็นเพียงแค่คำพูดลอยๆ มากกว่า

 

ท่าทางไม่ได้อยากรู้เลยแม้แต่น้อยว่าท่านพ่ออยากจะพูดอะไร ส่วนจักรพรรดินีเองก็ดูเหมือนจะไม่คิดว่าท่านพ่อจะกล้าพูดอะไรต่อหน้าองค์จักรพรรดิอยู่แล้ว ท่าทางยามจิบไวน์ผลไม้ที่ผู้ดูแลเทให้จึงดูผ่อนคลายมากนัก

 

เพราะอย่างนี้ฟีเรนเทียจึงโมโหสองคนนี้ที่หากอยู่ต่อหน้าท่านปู่ของพวกเรา จะพูดอะไรแม้แต่คำเดียวยังต้องระมัดระวัง กลับดูหมิ่นท่านพ่อถึงเพียงนี้แต่ในขณะเดียวกันท่าทางผ่อนคลายของจักรพรรดินีเองก็ถือว่าเหมาะสม

 

เพราะเธอเองก็คิดว่าท่านพ่อคงจะไม่พูดอะไรออกมาเหมือนกัน

 

แต่ว่า

 

“กำลังพูดกับจักรพรรดินีเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางมางานเลี้ยงวันนี้น่ะพ่ะย่ะค่ะ”

 

น่าตกใจที่แม้แต่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิ ท่านพ่อก็ยังไม่ยอมถอย

 

ทั้งองค์จักรพรรดิ ทั้งจักรพรรดินี ต่างก็คงจะไม่คิดว่าท่านพ่อจะกล้าถึงขนาดนี้ ใบหน้ายิ้มแย้มถึงได้หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

 

“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

 

จักรพรรดิลูบเคราในขณะที่ตรัสถาม

 

“รถม้าของพวกเราถูกกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์บังคับตรวจค้นพ่ะย่ะค่ะ”

 

“หืม?”

 

องค์จักรพรรดิเองก็ดูจะตกใจไม่น้อย ก่อนจะเหลือบตามองจักรพรรดินี

 

“ฮ่าๆ มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย”

 

ท่าทางจะพอรู้อยู่บ้างแล้วว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

 

ดูเหมือนว่าการท้าทายด้วยวิธีการเช่นนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะกับพวกเราสินะ

 

เธอสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่า บางทีแม้แต่เบเจอร์เองก็อาจจะเจอเรื่องแบบเดียวกันนี่ก็ได้

 

จักรพรรดินีหลุบตามองลงต่ำ ไม่เผยสีหน้าใดๆ ออกมาให้เห็น

 

“อย่างไรก็ตาม…คงจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันกระมัง”

 

องค์จักรพรรดินิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสออกมา

 

“พวกนั้นสั่งให้รถม้าติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียจอดพ่ะย่ะค่ะ คงจะไม่ใช่การเข้าใจผิดหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

 

“…แคลอฮัน ดูเหมือนเจ้าจะโมโหมากเลยนะ”

 

ท่าทางของท่านพ่อในตอนนี้ดูไม่เหมือนกับท่านพ่อเลยจริงๆ เพราะเป็นคนนิสัยทึ่มทื่อ ต่อให้ไม่ใช่จักรพรรดิแต่เป็นแค่พวกลูกจ้าง ก็ยังไม่ค่อยกล้าพูดกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ วันนี้กลับดูแตกต่างไปจากปกติเป็นอย่างมาก

 

“ลูกสาวกระหม่อมตกใจมากพ่ะย่ะค่ะ”

 

ท่านพ่อเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำ

 

ในตอนนั้นเอง เธอถึงได้เข้าใจพฤติกรรมของท่านพ่อ

 

ที่ตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธ ไม่ได้เป็นเพราะตัวเองถูกเหยียดหยาม แต่เป็นเพราะพวกอัศวินทำให้เธอหวาดกลัวต่างหากล่ะ

 

รู้สึกราวกับสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาบนโต๊ะอาหารอยู่ครู่หนึ่ง

 

“ฮ่าฮ่า! ขอโทษจริงๆ!”

 

ถึงแม้จะหัวเราะอย่างคนใจกว้าง แต่สุดท้ายจักรพรรดิก็ต้องกล่าวขอโทษอยู่ดีแต่คำพูดหลังจากนั้นก็ยังไม่มีการเอ่ยอ้างถึงจักรพรรดินีเลยแม้แต่คำเดียว

 

“ช่วยเข้าใจความโง่เขลาของอัศวินพวกนั้นด้วยเถอะนะยังมีอยู่หลายคนที่จงรักภักดีเสียจนไม่อาจยอมรับความสัมพันธ์พิเศษระหว่างลอมบาร์เดียกับราชวงศ์อยู่”

 

สุดท้ายคนที่กลายเป็นแพะรับบาปก็คือ พวกอัศวิน

 

จักรพรรดินีผู้สั่งการทุกเรื่องกลับหลุดลอยไปได้และโยนความผิดให้กับพวกอัศวินแทน

 

ท่านพ่อเองก็รู้เรื่องนั้นดี จึงได้แต่ถอนหายใจแผ่วเบา พยักหน้าลง

 

“เพียงแต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

“แน่นอนๆ จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก! เอาละดื่มให้ข้าสักแก้ว!”

 

จักรพรรดิตบหน้าอกตัวเองเป็นการการันตี ก่อนจะเทเหล้าให้ท่านพ่อ

 

ฟีเรนเทียแสร้งทำเป็นดื่มน้ำผลไม้ที่วางอยู่ตรงหน้า ลอบสำรวจใบหน้าของจักรพรรดินี แต่แล้วก็ต้องขนลุกชันขึ้นมาใบหน้างดงามนั่นยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย ทว่านัยน์ตาดุดันคู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่ท่านพ่อไม่กะพริบ

 

เธอเองก็รู้ตั้งแต่ที่นางพยายามฆ่าเจ้าชายลำดับที่สองด้วยวิธีการเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่นางช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ

 

งานเลี้ยงมื้อเย็นจึงเริ่มขึ้นอย่างเต็มรูปแบบเช่นนั้น อาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้เริ่มถูกทยอยนำออกมาเสิร์ฟ

 

ในเมื่อเป็นงานที่จักรพรรดินีรับรองด้วยตัวพระองค์เอง แน่นอนว่าอาหารพวกนี้ย่อมเป็นอาหารหรูหราน่าทาน แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับตระกูลลอมบาร์เดียอยู่ดี

 

ในตอนที่เธอกำลังประเมินการต้อนรับด้วยความเย็นชาเช่นนั้นจู่ๆ องค์จักรพรรดิที่กำลังสนทนาเรื่องโน่นนี่อยู่กับท่านพ่อ ก็โยนคำถามเกี่ยวกับกิจการขึ้นมา

 

“ใช่แล้ว ได้ยินว่ากิจการที่เจ้าเป็นผู้นำให้ผลที่งอกเงยมากทีเดียว”

 

แม้แต่จักรพรรดินีที่แทบจะไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ท่านพ่อตำหนิองค์จักรพรรดิยังให้ความสนใจกับเรื่องครั้งนี้

 

“สองตระกูลอย่างอังเกนัสและลอมบาร์เดียที่เรียกได้ว่าเป็นแกนนำสำคัญของอาณาจักร มาร่วมมือกันทำงานแบบนี้นี่ดีจริง!”

 

“…ชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่อังเกนัสกลายเป็นแกนนำของอาณาจักรแห่งนี้?

 

องค์จักรพรรดิแอบยกระดับอังเกนัสซึ่งเป็นตระกูลฝั่งภริยาของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับลอมบาร์เดีย

 

ก็นะตอนนี้จักรพรรดิโยบาเนสกำลังพยายามใช้ตระกูลอังเกนัสมาคานอำนาจของตระกูลลอมบาร์เดียอยู่

 

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระองค์แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าจักรพรรดินีทำเรื่องอะไรกับเจ้าชายลำดับที่สองบ้าง

 

ทว่าสามปีให้หลัง ตระกูลอังเกนัสจะทำให้องค์จักรพรรดิเกิดโทสะเพราะการหลบเลี่ยงภาษี ความสัมพันธ์ของจักรพรรดิและจักรพรรดินีเองก็จบลงด้วยเช่นกัน

 

“ต่อไปก็คอยช่วยเหลือกลุ่มการค้าดิวรักด้วยนะคะ ท่านชายลอมบาร์เดีย พวกเขาเพิ่งจะเริ่มทำการค้า จึงยังไม่เชี่ยวชาญนัก”

 

จักรพรรดินียิ้มเป็นมิตร ในขณะที่เอ่ยพูดกับท่านพ่อ

 

แต่คำตอบที่ได้รับกลับไปไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

 

“กระหม่อมเคยบอกหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักไปแล้ว อันที่จริงกระหม่อมตั้งใจจะวางมือจากกิจการผ้าทอพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”

 

“…คะ?”

 

ดูเหมือนจะเพิ่งทราบเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ในที่สุดโป๊กเกอร์เฟสของจักรพรรดินีก็แตกเพล้ง

 

บางทีคงจะคิดว่า ถ้าหากแกนนำกิจการอย่างท่านพ่อถอนตัวออกไป กิจการอาจจะล้มเหลวก็เป็นได้

 

มันเป็นแหล่งสนับสนุนทางการเงินที่จะนำพาเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไปสู่ตำแหน่งรัชทายาท หากถูกตัดขาดออกไป คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่

 

“ตั้งใจจะทำธุรกิจส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”

 

“นั่นมันช่าง…รวดเร็วจริงๆ นะคะ แต่จะไม่รีบร้อนเกินไปหน่อยหรือคะ อยากให้อยู่ช่วยกลุ่มการค้าดิวรักต่ออีกสักหน่อยแท้ๆ”

 

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่คงไม่ได้”

 

ถึงแม้จักรพรรดินีที่กำลังตื่นตระหนกจะพยายามเกลี้ยกล่อมทุกวิถีทาง แต่ท่านพ่อก็ไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือน

 

“กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียจะคอยช่วยเหลือกลุ่มการค้าดิวรักไปตลอดไม่ได้อยู่แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ”

 

พูดง่ายๆ ตอนนี้พวกเจ้าก็ไปจัดการช่วยเหลือกันเองก็แล้วกัน

 

ริมฝีปากของจักรพรรดินีสั่นระริก และเมื่อประเมินได้ว่าคำพูดนั่นหมายความว่าอะไร แววตาของจักรพรรดินีก็เปลี่ยนไปในทันที

 

จนถึงเมื่อครู่นี้นางคิดอยู่ว่า จะต้องใช้วิธีการใดทำให้คนที่ดูอ่อนปวกเปียกคนนี้ยอมทำในสิ่งที่นางต้องการ แต่ดูท่าทางจะต้องเก็บพับความคิดพวกนั้นไปเสียแล้ว

 

“…ท่านแคลอฮันเป็นคนที่แตกต่างจากที่ข้าคิดเอาไว้มากเลยนะคะ”

 

“ไม่ทราบหรอกพ่ะย่ะค่ะว่าองค์จักรพรรดินีทรงคาดหวังอะไรในตัวกระหม่อม แต่ต้องขอประทานอภัยด้วยที่ไม่อาจทำให้พระองค์พอใจได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

เดิมทีท่านพ่อไม่ใช่คนหนักแน่นแบบนั้น ท่าทางจะไม่ชอบใจองค์จักรพรรดินีจริงๆ

 

เธอเองก็เหมือนกัน

 

ทั้งเรื่องเจ้าชายลำดับที่สอง ทั้งการปฏิบัติต่อลอมบาร์เดียก็ด้วย ช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายในหลายด้านเหลือเกิน

 

งานเลี้ยงมื้อเย็นจบลงโดยที่ไม่รู้แล้วว่าทานอาหารเข้าไปทางปากหรือทางจมูก

 

ระหว่างทางที่นั่งรถม้ากลับคฤหาสน์ ท่านพ่อแทบจะไม่พูดอะไรออกมา ยกเว้นคำพูดประโยคเดียวที่ท่านพูดตอนลูบหน้าพลางมองเธอที่กำลังหลับใหล นอนฟุบลงบนหน้าตักของท่านพ่อเพราะเลยเวลาเข้านอนไปนานแล้ว

 

‘เพราะข้ามันไร้อำนาจ…’

 

ท่านพ่อเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เอาแต่พึมพำอยู่เช่นนั้น

 

 

ภายในห้องมืดมิดมีเพียงแสงจากเปลวเทียนหนึ่งเล่ม

 

มันอาจจะเป็นแค่วังเล็กๆ แต่สำหรับเด็กชายอายุสิบเอ็ดที่เหลือตัวคนเดียวแล้ว มันเป็นพื้นที่ที่ใหญ่และอ้างว้างมากเกินไป

 

เฟเรสนั่งอยู่มุมเตียงราวกับซ่อนกาย เขาเปิดถุงใบเล็กที่ยังไม่คุ้นมือนัก จากนั้นถึงได้เทยาสีทองที่อยู่ข้างในนั้นออกมาในปริมาณเท่ากับที่ฟีเรนเทียบอก ก่อนจะดื่มมันลงรวดเดียว

 

มันเป็นยารสขม แต่เฟเรสกลับไม่มีท่าทีอันใด

 

เพราะต่อให้แสดงความรู้สึกออกไป ตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจมองเขาอยู่ดี

 

เฟเรสปิดฝาขวดยาแน่นไม่ให้มันหกออกมาได้แม้แต่หยดเดียว คราวนี้เขาหยิบลูกกวาดเม็ดกลมออกมาใส่ปากเคี้ยว

 

แก้มขาวเนียนป่องตามรูปทรงของลูกกวาด

 

“…หวาน”

 

เฟเรสพึมพำพร่ำบ่น

 

รสขมนั้นเขาคุ้นเคยกับมันดีจนเบื่อหน่าย แต่รสหวานแบบนี้นั้นไม่ใช่

 

ไม่คุ้นเคย ทั้งยังแปลกพิกล

 

แต่เฟเรสก็ยังดุนดันลูกอมในปากให้กลิ้งไปทั่ว เพราะเริ่มค่อยๆ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทีละน้อย

 

เป็นรสหวานที่แผ่ซ่านไปทั่วนี่หรือที่ทำให้หัวใจเต้นตึ้กตั้ก

 

หรือว่า…

 

เฟเรสลูบไล้พื้นผิวกระเป๋าถือใบนุ่ม นึกถึงใบหน้าของฟีเรนเทียที่ได้พบกันเมื่อช่วงกลางวัน

 

ใบหน้าน่ารักขนาดที่ทำให้เขาเผลอคิดไปว่านางเป็นภูตน้อยในป่าลึก

 

โดยเฉพาะนัยน์ตากลมโตสีเขียวเหมือนยกเอาสีของใบหญ้ามาทั้งแบบนั้น มันเอาแต่ฝังแน่นอยู่ในหัวสมองของเขาไม่จางหาย และยังมีคำพูดที่เด็กคนนั้นพูดทิ้งไว้อีก

 

‘อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ไม่สิ คิดว่าเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป’

 

เฟเรสกำขวดยาในมือแน่น ราวกับจะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนแย่งชิงมันไปได้ทั้งสิ้น

 

กลุกกลัก

 

เขาใช้ลิ้นดุนดันลูกกวาดในปากให้กลิ้งอีกครั้ง

 

“…หวาน”

 

เฟเรสเหม่อมองแสงเปลวเทียนสั่นไหวไปมาจนเกิดรูปเงา พลางพูดพึมพำเสียงแผ่ว