บทที่ 27

 

 

ยามบ่ายอันแสนเอื่อยเฉื่อย

 

ฟีเรนเทียกินของว่างด้วยกันกับพวกแฝดจนอิ่มแปล้ นอนกลิ้งอยู่บนโต๊ะ เธอคล้ายกับได้ยินเสียงกรนแผ่วเบาดังครอกครอก จากด้านข้างทั้งสองฝั่ง คิลลีวูกับเมโลนดูเหมือนจะผล็อยหลับกันไปแล้ว

 

เด็กหญิงตัวน้อยแนบใบหน้าข้างหนึ่งลงบนโต๊ะพื้นแข็ง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันโล่งปลอดโปร่งเสียจนไม่มีแม้แต่เมฆสักก้อน

 

“ไฟร้อนยังพอดับได้สินะ”

 

โชคดีที่เธอสามารถมอบยาให้เจ้าชายลำดับที่สองได้อย่างปลอดภัย

 

อันที่จริงฟีเรนเทียเตรียมแผนสำรองเอาไว้ เพราะตั้งใจว่าต่อให้หาวังที่เฟเรสอาศัยอยู่ไม่เจอ ก็จะทำทุกทางเพื่อมอบยาแก้พิษให้เขา

 

ดูเหมือนไพ่ที่ครั้งนี้ไม่ได้ใช้ จะสามารถเก็บเอาไปใช้อย่างมีประโยชน์ได้มากขึ้นในครั้งถัดไป

 

“อือ ครั่นเนื้อครั่นตัวจัง”

 

เธอบิดขี้เกียจหนึ่งครั้ง อ้าปากหาว

 

เห็นแบบนี้แล้ว หรือว่านี่จะเป็นช่วงเวลาขี้เกียจเวลาเจอกับเรื่องมากมายที่ต้องทำกันนะ

 

ในหัวสมองนึกถึงแผนการทั้งหลายแหล่ที่จะต้องเอามาใช้ในอนาคตอยู่แท้ๆ แต่ร่างกายดันปฏิเสธขี้เกียจทำเสียได้

 

ท่านพ่อเองช่วงนี้ก็จะยุ่งอะไรมากขนาดนั้น แทบจะไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาหนักกว่าก่อนหน้านี้อีก

 

มีบางครั้งที่ยังได้ทานอาหารเช้าร่วมกัน แต่เพราะแม้แต่ช่วงเช้าก็ยังเอาแต่ครุ่นคิดอะไรอยู่เรื่อย ทำให้เธอไม่สามารถชวนคุยออกไปได้ง่ายๆ เพราะท่านพ่อกำลังงานยุ่ง วันนี้เธอก็เลยต้องมาดูแลเด็กอย่างพวกสองแฝดเหมือนเคย

 

“งื้อ”

 

คิลลีวูพลิกตัวในขณะที่ยังหลับ ผ้าห่มที่คลุมตัวเขาจึงร่วงตกลงบนพื้น

 

คิดอยู่ว่าจะช่วยเก็บให้ดีหรือเปล่า แต่ขนาดจะทำแค่นั้นเธอยังรู้สึกขี้เกียจเลย

 

เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็น หันหน้ากลับไปทางนอกหน้าต่างและพยายามใช้ความคิดจากสมองที่หลับไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพื่อนึกถึงเรื่องที่จะต้องทำเป็นเรื่องถัดไป

 

“อืม เพราะงั้น หาววววตอนนี้ก็ต้องแก้ไขปัญหาของเอสทีร่าสินะ”

 

สถานการณ์ของเอสทีร่านั้น ที่จริงแค่รวบรวมเงินเพื่อเข้าไปเล่าเรียนในอะคาเดมีของอาณาจักรตามที่เจ้าตัวต้องการก็พอ

 

แต่ฝ่ายที่รีบร้อนคือฝั่งเธอการส่งนางไปยังอะคาเดมีช่วยให้นางได้ทุ่มเทกับการวิจัยค้นคว้า แม้จะเร็วขึ้นแค่หนึ่งปี ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถช่วยเหลือเธอได้เช่นกัน

 

“เดี๋ยวนะ กำหนดเขตรับสมัครเข้าอะคาเดมีของปีนี้มันหมดเมื่อไหร่…”

 

เธอใช้นิ้วน้อยๆ ของเธอแคะหูไปพลางพูดพึมพำ

 

ฤดูฝนสิ้นสุดลงเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

 

ในจังหวะที่คิดได้ถึงจุดนั้น ก็ตั้งสติได้ขึ้นมาในทันทีเหมือนโดนค้อนขนาดใหญ่ฟาดเข้าที่ศีรษะ

 

“หมดเดือนนี้ไม่ใช่หรือไง! ”

 

โล่งอกที่ยังอยู่ในช่วงต้นของเดือน แต่นี่ไม่ใช่เวลามามัวเอื่อยเฉื่อยอยู่แบบนี้

 

เธอลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง เดินมุ่งไปยังประตู

 

“งื้อ เทีย จะไปไหน”

 

เมโลนขยี้นัยน์ตาง่วงงุน ในขณะที่เอ่ยถามเธอ

 

“…ห้องน้ำ”

 

“เหรอ…รีบไปรีบมานะ หาว”

 

หากตอบอย่างอื่น ดูท่าเจ้าตัวยุ่งต้องร้องขอตามมาแน่ๆ แต่โล่งอกที่เมโลนไม่อาจเอาชนะความง่วงที่โถมเข้าใส่ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง

 

เธอมองดูเด็กน้อยหลับไปอีกครั้ง ก่อนจะปิดประตูโดยไม่มีเสียง

 

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเหลือบมองแคลอฮันที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ฝั่งตรงข้าม

 

ต่อให้มองข้ามประเด็นเรื่องที่เป็นบุตรชายของรูลลัก ลอมบาร์เดีย ก็ยังถือว่าเป็นชายหนุ่มที่เก่งกาจจริงๆ โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตาแล้วยิ่งเข้าไปใหญ่

 

สมัยนี้พวกผู้หญิงชอบชายหน้าสวยและละเอียดอ่อน มากกว่าผู้ชายนิสัยห่ามหยาบคาย ซึ่งแคลอฮันเองก็ตรงกับความชอบนั้นพอดี

 

รูปร่างผอมเพรียว ตัวสูง ทำให้สวมใส่อะไรก็ดูดีไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น รอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรที่มักจะยิ้มเป็นครั้งครา ยังซื้อใจคนอื่นได้ง่ายอีกด้วย

 

ยกตัวอย่างเช่น ความนิยมของแคลอฮันที่เพิ่มขึ้นสูงเสียดฟ้าอย่างไร้ที่สิ้นสุดในหมู่พนักงานหญิงของกลุ่มการค้าดิวรักแต่เหตุผลที่หัวหน้ากลุ่มการค้าลอบสังเกตสีหน้าของแคลอฮันอยู่ในตอนนี้ ไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลนั้น

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักกระแอมไอเสียงดังฮึ่ม แลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก

 

‘ไปสืบมาให้ละเอียดว่าแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย กำลังวางแผนทำกิจการใด’

 

นั่นคือคำสั่งใหม่ของจักรพรรดินี

 

วังจักรพรรดินีที่ตนแวะเข้าไปเยี่ยมเยียน บรรยากาศราวกับมีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเข้ามาจริงๆ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถรู้เหตุผลทั้งหมดได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยังพอจะคาดเดาได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องอะไรกับแคลอฮันแน่

 

‘ทำไมถึงไปทำให้องค์จักรพรรดินีเพ่งเล็งเช่นนั้น…’

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าซึ่งรู้จักความน่ากลัวของจักรพรรดินีเป็นอย่างดี ลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอไปทางแคลอฮันอยู่ในใจ

 

จักรพรรดินีราวีนี่อังเกนัสน่ะ เป็นคนดื้อดึง ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่นางต้องการ

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าเองก็รู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นเหมือนกัน แต่ถึงยังไงก็ต้องปลอบใจตัวเองว่ามันช่วยไม่ได้ เขาเองก็ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองเหมือนกัน

 

“แคลอฮัน เจ้าน่ะ…”

 

“ครับ?”

 

แคลอฮันที่กำลังอ่านรายงานสถานการณ์การขายของผ้าฝ้ายโคโรอีประจำสัปดาห์นี้อยู่ เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกของหัวหน้ากลุ่มการค้า

 

“กิจการส่วนตัวที่เจ้าบอกว่ากำลังคิดอยู่นั่น ไม่คิดจะบอกกล่าวอะไรข้าบ้างเลยหรือ”

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าฉีกยิ้มเป็นมิตร ตั้งใจพูดอย่างสนิทสนมมากขึ้น

 

“อ่า…แค่คิดไว้เท่านั้น ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง จะเรียกว่าแผนการยังไม่ได้เลยครับ กำลังคิดอยู่ด้วยว่าจะดำเนินการยังไงดี”

 

คำกล่าวว่ากำลังคิดอยู่ของแคลอฮัน ทำให้ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มการค้าเบิกบานไปด้วยรอยยิ้ม เขาเจอจังหวะที่ตนจะแทรกเข้าไปได้แล้ว

 

“เห็นแบบนี้ข้าเองก็มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าเจ้าอยู่มากโข ลองเล่ามาสิ บางทีข้าอาจจะมีวิธีอะไรดีๆ ก็ได้นะ?”

 

คำพูดฟังดูมีเหตุผลเข้าท่า แต่ที่จริงแล้วมันเป็นคำพูดที่ไม่อาจนับเป็นคำพูดได้ด้วยซ้ำจะมีนักธุรกิจคนไหนสุ่มสี่สุ่มห้าเที่ยวเปิดเผยไอเดียของตัวเองให้คนอื่นฟังไปทั่วกัน

 

ถึงแม้จะเป็นคนของตระกูลอังเกนัส ทั้งยังด้อยความสามารถ แต่ถึงอย่างไรแคลอฮันก็ยังคิดว่าลึกลงไปข้างใน หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเป็น ‘คนดี’ เขาจึงได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความตกใจต่อให้เพิ่งเคยทำธุรกิจเป็นครั้งแรก ก็ไม่มีทางไม่รู้จักเรื่องอย่างจรรยาบรรณทางการค้าหรอกแล้วมีเหตุผลอะไรกันแน่ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ยอมเสียหน้าตัวเองราวกับจนตรอกแบบนั้น

 

“อะแฮ่ม”

 

แคลอฮันกระแอมไอ ตั้งใจไม่เก็บซ่อนความลำบากใจ

 

ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรนาน

 

นัยน์ตาของจักรพรรดินีที่มองตนด้วยความเย็นชาบนโต๊ะงานเลี้ยงมื้อเย็นยังคงเด่นชัดอยู่ในหัวสมอง

 

เขาไม่รู้หรอก บางทีคงตั้งใจจะใช้ข้อมูลที่สืบได้ผ่านหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเข้ามาขัดขวางตน หรือไม่ก็จะเข้ามาฉกฉวยร่วมมือด้วยเหมือนอย่างกิจการผ้าฝ้ายโคโรอี แต่ไม่ว่าจะฝั่งไหน เขาก็ไม่ชอบใจทั้งนั้น

 

แคลอฮันยักไหล่ไม่ยี่หระ พลางเอ่ยพูด

 

“ไม่รู้สิครับ ดูแล้วน่าจะยังไม่ถึงเวลาที่จะปรึกษาใครสักคนหรอกครับ”

 

“ตะ…แต่ว่า…”

 

แคลอฮันรู้สึกตลกเล็กน้อย

 

มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าจักรพรรดินีสั่งการอะไรบางอย่าง ทว่าน่าสงสารที่หัวหน้ากลุ่มการค้าดูแล้วไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการล้วงข้อมูลจากคนอื่นได้เลย

 

เหมือนอย่างตอนนี้ พอเห็นว่าแคลอฮันปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขาก็มีสีหน้าราวกับจะร้องไห้เสียแล้ว

 

มันเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่า ข้างกายจักรพรรดินีไม่มีคนที่มีความสามารถในระดับนั้นอยู่เลย

 

แคลอฮันพูดเสริมต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ที่หัวหน้ากลุ่มการค้าเคยคิดว่ามันช่าง ‘อ่อนโยนและเป็นมิตร’

 

“แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งครับ ถ้าประสบความสำเร็จ มันจะเป็นกิจการที่พลิกโฉมทุกสิ่งในอาณาจักรเลยทีเดียวครับ”

 

บางทีหลังจากที่จักรพรรดินีได้ยินข่าวนี้ คงจะยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก

 

แคลอฮันฉีกยิ้มเป็นมิตรให้อ่อนโยนมากยิ่งขึ้น เมื่อคิดได้ว่าคงจะสมกันแล้วกับที่ทำให้เทียต้องหวาดกลัวในวันนั้น