วันต่อมา เฟิงจือสิงก็มาถามถึงข่าวคราวของซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง ตอนเขาเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่มาต้อนรับเขาในโถงรับแขก พลันตะลึงงันไปทันที “ท่านอาจารย์เฟิง เชิญนั่งก่อนขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านปู่มีธุระ ท่านพี่ทั้งหลายก็ยุ่งเหลือเกิน ดังนั้นวันนี้จึงให้ข้ามาดูแลท่านแทน”
“เจ้า… เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เฟิงจือสิงรีบเก็บซ่อนท่าทีอย่างรวดเร็วแล้วนั่งลงบนเก้าอี้พลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วถามขึ้น
“เพิ่งกลับมาเมื่อคืนนี้เองขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เจ้าไปที่ไหนมาหรือ” เฟิงจือสิงรับน้ำชาที่สาวใช้ยกมาแล้วใช้ฝาถ้วยเกลี่ยปากถ้วยเพื่อให้น้ำชาคลายร้อนชาครั้งหนึ่งแต่กลับไม่ดื่ม
“ค่ายกลนำส่งนั่นส่งตัวข้าไปยังเทือกเขาอันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นเพราะเกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้น ข้าจึงเสียเวลาอยู่ข้างนอกนั่นระยะหนึ่งขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยิ้มๆ “ข้าได้ยินมาว่าท่านอาจารย์เฟิงเป็นห่วงข้ายิ่งนัก ข้าซาบซึ้งในความเป็นห่วงของท่านจริงๆ”
“ในเมื่อเจ้าปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว” เฟิงจือสิงได้ฟังคำตอบของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วค่อยยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบชาคำหนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางถ้วยลงบนโต๊ะแล้วถามต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าวางแผนจะกลับไปที่วิทยาลัยเมื่อใดหรือ”
“หลายวันมานี้จวนแม่ทัพเกิดเรื่องบางอย่าง ดังนั้นข้าจึงคิดว่ารออีกสักพักแล้วค่อยไป มิทราบว่าข้าจะขอลาสักหลายวันหน่อยได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว ข้าคิดว่าระยะเวลาที่เจ้าอยู่ข้างนอกนี้จะต้องได้รับความยากลำบากไม่น้อยแน่ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนอยู่ที่บ้านให้ดีๆ สักระยะหนึ่งก่อนเถิด” เฟิงจือสิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เช่นนี้ก็ขอบคุณท่านอาจารย์เฟิงมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ใช่แล้ว ข่าวเรื่องที่ข้ากลับมา รบกวนอาจารย์เฟิงได้โปรดเก็บเป็นความลับเอาไว้ก่อนนะขอรับ”
“ได้สิ” เฟิงจือสิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ข้าขอตัวกลับไปที่วิทยาลัยก่อน วันไหนที่เจ้าอยากจะเล่าเรื่องที่เจ้าประสบพบเจอในช่วงที่ผ่านมานี้ให้ข้าฟังก็ค่อยบอกข้าก็แล้วกัน”
พูดจบแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินจากไป
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเงาหลังของเฟิงจือสิง ในใจมีข้อสงสัยมากมาย แต่เธอรู้ว่าหากตนไปถามเขาตอนนี้เขาไม่มีทางตอบคำถามของตนอยู่แล้ว
หลังจากที่เฟิงจือสิงออกมาจากจวนแม่ทัพแล้วหันหน้าไปมองแวบหนึ่งพลางเอ่ยพึมพำว่า “ในที่สุดนางก็กลับมาแล้ว ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยเลย คงได้พบเรื่องราวบางอย่างขึ้นกระมัง”
“เจ้านาย เช่นนี้ก็ดีแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปแล้วล่ะ” เสียงหนึ่งดังมาจากในห้วงสมอง
“อืม ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปแล้ว…”
ซือหม่าโยวเย่ว์รอจนซือหม่าเลี่ยกลับมาแล้วส่งเขาเข้าไปยังห้องลับด้วยตัวเอง เมื่อเห็นประตูห้องลับค่อยๆ ปิดลง เธอจึงหมุนกายจากไป กลับไปยังเรือนของตัวเอง
“คุณชาย”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองสาวใช้ทั้งสองปราดหนึ่ง เมื่อวานหลังจากที่เห็นตนกลับมาทั้งคู่ต่างตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง มิได้หวาดกลัวเธอเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“ข้าจะฝึกยุทธ์อยู่ในห้อง หากไม่มีธุระสำคัญก็อย่ามารบกวนข้าล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกคำสั่ง
เพราะก่อนหน้านี้เคยใช้แหวนเก็บวัตถุต่อหน้าพวกนาง ดังนั้นพวกนางจึงรู้เรื่องที่ตนฝึกยุทธ์ได้แล้ว บวกกับที่พวกนางได้ให้สัตย์สาบานเอาไว้กับตนแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่คิดที่จะปิดบังพวกนางอีกต่อไป
นอกจากนี้ถึงอย่างไรก็เป็นคนข้างกายตน หลังจากที่รู้แล้วก็ทำให้เธอทำอะไรได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
“เจ้าค่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังห้องของตนแล้วลงกลอนประตู หลังจากนั้นก็หายตัวเข้าไปภายในมณีวิญญาณ
“เจ้าวิญญาณน้อย”
“ว่าอย่างไร” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
“ศิลาวิญญาณเมื่อคราวก่อนก้อนนั้นเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงศิลาวิญญาณที่ถูกเจ้าวิญญาณน้อยเก็บเข้าไปภายในมณีวิญญาณเมื่อตอนนั้นขึ้นมาได้ จึงนึกอยากจะสำรวจมันดูสักครั้ง ลองดูว่าจะมีส่วนช่วยพัฒนาวิญญาณของตนได้บ้างหรือไม่
“ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่สนใจของสิ่งนี้แล้วเสียอีก” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก้อนหินก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งคู่
ซือหม่าโยวเย่ว์รับเอาศิลาวิญญาณมาแล้วพูดว่า “เป็นเพราะของสิ่งนี้ใช่หรือไม่ที่ทำให้พวกเราติดอยู่ภายในค่ายกลลวงวิญญาณกันเนิ่นนานถึงเพียงนั้น”
“ใช่แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้า
“เช่นนั้นของสิ่งนี้จะเป็นผลดีกับวิญญาณของข้าหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ที่จริงก็ได้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ยังไม่ได้น่ะสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“เพราะเหตุใดกัน”
“เพราะว่าภายในนี้มีวิญญาณดวงหนึ่งอาศัยอยู่แล้วน่ะสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“มีวิญญาณดวงหนึ่งอาศัยอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ชูศิลาวิญญาณขึ้นสูงแล้วหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรพิเศษ
“ช่างโง่เหลือเกิน ก็บอกว่าเป็นวิญญาณอย่างไรเล่า แล้วเจ้าจะไปมองเห็นได้อย่างไรกัน!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าในนี้มีวิญญาณอาศัยอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าเป็นราชันแห่งศิลาวิญญาณเชียวนะ ย่อมมีสัมผัสไวต่อวิญญาณมาตั้งแต่เกิด ถ้าในนี้มีวิญญาณดวงหนึ่งอาศัยอยู่ ข้าต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“เอาเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์กุมศิลาวิญญาณในมือเอาไว้แล้วพูดว่า “เช่นนี้ก็หมายความว่ามีวิญญาณดวงหนึ่งชิงตัดหน้าไปก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงไม่อาจใช้สิ่งนี้ได้แล้วสินะ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” เจ้าวิญญาณน้อยตอบ “แม้แต่การทำพันธสัญญากับข้ายังไม่อาจซ่อมแซมวิญญาณของเจ้าได้อย่างสมบูรณ์เลย เจ้าก้อนหินก้อนสองก้อนนี่ก็คงจะไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้าเหมือนกัน”
“เช่นนั้นภายในนี้มีวิญญาณใดอยู่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์โยนก้อนหินไปมา คิดจะโยนให้วิญญาณข้างในตื่นขึ้นมา
“เจ้ามาถามข้าแล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน ตั้งแต่เขาเข้าไปก็ยังไม่เคยออกมาเลย!” เจ้าวิญญาณน้อยสองมือกอดอกมองดูการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอดที่จะกลอกตาใส่ไม่ได้
“นี่ คนข้างในนั้นน่ะ ถ้าหากเจ้าตื่นแล้วช่วยโผล่หน้าออกมาให้เห็นหน่อยสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนใส่ศิลาวิญญาณ
ไม่มีเสียงตอบรับ…
“ถ้าหากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะขว้างเจ้าทิ้งแล้วนะ!”
ยังคงไม่มีเสียงตอบรับอยู่ดี…
“เช่นนั้นก็ดี หลิงหลง” ซือหม่าโยวเย่ว์วางก้อนหินลงบนพื้น หลังจากนั้นจึงเรียกตัวหลิงหลงออกมา
“เจ้านาย ท่านเรียกหลิงหลงเพราะคิดถึงหลิงหลงใช่หรือไม่” พอหลิงหลงออกมาแล้วก็พูดอย่างดีใจ
“ข้าอยากให้เจ้าแปลงกายเป็นอาวุธน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“อาวุธอันใดหรือ”
“ค้อน”
หลิงหลงเบ้ปากก่อนจะแปลงกายเป็นค้อนให้กับเธอ…
ชั่วครู่เดียวในมือของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ปรากฏค้อนอันหนึ่งขึ้นมา
เมื่อเห็นรูปร่างอัปลักษณ์ในตอนนี้ของตน หลิงหลงก็ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ แม่คนนี้รู้จักอาวุธจริงๆ หรือไม่ เพราะเหตุใดจึงได้ทำให้ตนเปลี่ยนเป็นอาวุธเช่นนี้ได้เล่า!
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบค้อนทุบลงไปบนศิลาวิญญาณครั้งแล้วครั้งเล่าพลางพูดว่า “ถ้าหากเจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะทุบก้อนหินนี่ให้แตกกระจายไปเลย ทีนี้คอยดูว่าเจ้าจะยังอยู่ในนี้ต่อไปได้อีกหรือไม่”
พูดจบแล้วเธอก็เงื้อค้อนขึ้นสูง ขณะที่กำลังจะทุบลงไปนั้นเองก็มีเสียงตวาดดังขึ้น “หยุดนะ!”
“โอ้… ยอมส่งเสียงแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดว่า “เสียงนี้ของเจ้าช่างชวนให้คนตกใจเสียจริง แต่ข้าก็ไม่ได้ตกใจกลัวสักเท่าไหร่หรอกนะ ข้าจะนับถึงสาม ถ้าหากเจ้ายังไม่ออกมาอีกข้าก็จะทุบมันให้แหลกลาญเลย! สาม สอง หนึ่ง…”
ในขณะที่เธอกำลังจะลงมือนั้นเอง หมอกทึบสีแดงกลุ่มหนึ่งรีบมาหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเธอเอาไว้
หลังจากนั้นหมอกทึบเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างมนุษย์รางๆ สายหนึ่ง
เครื่องหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ร่างกายสูงเพรียว ดูรูปลักษณ์เหมือนอายุยี่สิบกว่าปี เส้นผมสีแดงเพลิงเช่นเดียวกับเสื้อผ้า แม้กระทั่งนัยน์ตาเฉียบคมทั้งสองของเขายังเป็นสีแดงด้วย ดูราวกับปีศาจตนหนึ่งเลยทีเดียว
“ให้ตายเถอะ นี่คือผู้ใดกัน ราวกับกองเพลิงเลยทีเดียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทำให้ตกใจจนตัวลอย
“มนุษย์แปลกหน้า เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!” เงาร่างสีแดงเพลิงมองซือหม่าโยวเย่ว์ บนร่างแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์และโหดเหี้ยมโดยกำเนิดออกมา
……………………