ช่างเป็นแววตาที่เฉียบคมเหลือเกิน!
ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกชายหนุ่มผู้นั้นมองปราดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าตนคล้ายต้องมนตร์สะกดอย่างไรอย่างนั้น
กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเขายังร้ายกาจกว่าอูหลิงอวี่ที่ฟื้นฟูพลังยุทธ์แล้วตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!
ซือหม่าโยวเย่ว์สงบจิตสงบใจแล้วหยิบค้อนทุบลงไปบนศิลาวิญญาณครั้งแล้วครั้งเล่าพลางเอ่ยว่า “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ข้าฟังจากสิ่งที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้ ท่านไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นหรือ”
“เฮอะ ข้าเป็นถึงเผ่ามารอันสูงส่ง จะเป็นเผ่ามนุษย์ต่ำต้อยอย่างพวกเจ้าไปได้อย่างไรกัน!” ชายหนุ่มพูด
“เผ่ามารหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบศิลาวิญญาณขึ้นมาแล้วยืนขึ้นก่อนจะมองขึ้นลงประเมินเขารอบหนึ่งแล้วพูดว่า “สารรูปที่มนุษย์ก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงอย่างท่าน ดูแล้วไม่เหมือนมนุษย์หรอก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเผ่ามารตนหนึ่งไปเสียได้ แต่เผ่ามารมาแฝงตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แล้วยังร่อนเร่มาถึงที่นี่อีกต่างหาก”
“เฮอะ!” ชายหนุ่มฟังแววเสียดสีในคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ออก จึงหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
“ท่านชื่ออะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
ไม่สนใจเลย…
“ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจเรียกท่านว่านี่ๆๆ ไปได้ตลอดหรอกนะ หรือจะให้ข้าตั้งชื่อท่านว่าหมาน้อยแมวน้อยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ชายหนุ่มเบ้ปากแล้วพูดว่า “หมัวซา”
“หมัวซา…ก็เหมือนกับชื่อมารตนหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านเป็นผู้จัดวางค่ายกลลวงวิญญาณในตอนนั้นหรือ”
เงียบงัน
แต่มิได้ปฏิเสธ
“ดูท่าทางคงจะใช่สินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คนอย่างข้า แต่ไหนแต่ไรมามีแค้นต้องชำระ ท่านกักขังข้าอยู่ในค่ายกลลวงวิญญาณนั่นตั้งเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ท่านบอกมาซิว่าพวกเราจะชำระบัญชีแค้นนี้กันอย่างไรดี”
เธอพูดพลางใช้ค้อนทุบตีศิลาวิญญาณในมือเบาๆ ไปด้วย
หมัวซามองการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วแววตาเข้มขึ้น เขาข่มเพลิงโทสะเอาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าอยากจะชำระอย่างไรเล่า”
“ท่านประจำอยู่ในก้อนหินเล็กๆ นี่ได้ เช่นนั้นท่านน่าจะเป็นคนที่ร้ายกาจพอตัวเลยทีเดียวกระมัง แล้วจะไม่ให้ผลประโยชน์ข้าสักหน่อยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างอันธพาล
หมัวซามองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ครู่ใหญ่ สายตานั้นดูคล้ายว่าจะประเมินเธอให้ทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงเอ่ยออกมาว่า “เจ้าอยากได้ผลประโยชน์ ก็มิใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”
“เรื่องอันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ก่อนที่จะหาร่างกายของข้าพบ ข้าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน” หมัวซาพูด
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
มณีวิญญาณนี้มีขนาดใหญ่โต จะวางก้อนหินเช่นนี้สักกี่ก้อนก็ไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว
“ข้ายังพูดไม่จบเลย” หมัวซาพูด
“เช่นนั้นท่านก็ว่าต่อไปสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางมองเขาพลางคิดในใจว่าเขาจะให้ผลประโยชน์อันใดกับตน
“เจ้าต้องช่วยข้าหาร่างกายของข้าให้พบ!” หมัวซาพูดเรียบๆ
“บ้านปู่ท่านสิ!” พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วอดสบถด่าออกมาไม่ได้ แล้วพูดว่า “ฟ้าดินกว้างใหญ่ แล้วจะให้ข้าไปหาร่างกายท่านจากที่ไหนกันเล่า จะขึ้นไปที่ภพมารได้อย่างไรข้าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ!”
“ร่างกายของข้าไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในภพมารหรอก” หมัวซาพูด
“เพราะอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ตอนนั้นวิญญาณของข้าถูกบีบบังคับให้แยกจากกัน ครึ่งหนึ่งเข้ามาในนี้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งน่าจะกลับไปเกิดใหม่แล้ว” หมัวซาพูด “แต่หลังจากเกิดใหม่แล้วข้าอาจจะไม่ใช่เผ่ามารก็ได้”
“เช่นนั้นมันจะต่างกันตรงไหน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะหาร่างของท่านพบได้จากที่ใด!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ถึงจะหาไม่พบก็ต้องหาอยู่ดี ข้าให้เจ้าช่วยทำงาน ย่อมต้องมอบสิ่งตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อให้อยู่แล้วล่ะ!” หมัวซาพูด
“ท่านบอกมาก่อนสิว่าเป็นของที่ล้ำเลิศเพียงใดกัน ขอดูหน่อยว่าจะดึงดูดใจให้ข้ารับปากท่านได้หรือไม่!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เคล็ดควบคุมสัตว์อสูร” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อย
“เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรหรือ” เจ้าวิญญาณน้อยร้องเสียงดังอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นั่นเป็นของดีเลยทีเดียวนะ เจ้านาย รับปากเร็วเข้าสิ!”
“แค่เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเคล็ดเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่านักฝึกสัตว์อสูรจะมีอยู่เพียงน้อยนิด แต่ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้เท่านั้นจึงจะกลายเป็นนักฝึกสัตว์อสูรได้นี่นา แลกกับที่ข้าต้องทำเรื่องลำบากเพียงนั้น ไม่เห็นจะคุ้มตรงไหนเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าพูด
“แต่เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนั้นเป็นของจากโบราณกาลเชียวนะ!” หมัวซาพูด
“ของจากโบราณกาลอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หรี่ตามองหมัวซาแล้วพูดว่า “เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า”
“ช่างโง่นัก ที่นักฝึกสัตว์อสูรใช้กันในตอนนี้ล้วนเป็นเคล็ดฝึกสัตว์อสูรอย่างง่ายทั้งสิ้น เพียงแค่ทำให้สัตว์อสูรวิเศษเชื่องเท่านั้น แต่เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรร้ายกาจกว่าของพวกนั้นเป็นร้อยๆ เท่าเลยทีเดียว!”
เจ้าวิญญาณน้อยดึงตัวซือหม่าโยวเย่ว์มาข้างๆ แล้วพูดว่า “ตอนนั้นเจ้านายคนก่อนๆๆ ของข้าก็อยากจะเสาะหาเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรอันนี้แหละ แต่จนตายก็ยังหาไม่พบเลย”
“ของสิ่งนี้ล้ำเลิศถึงเพียงนั้นเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เชื่ออยู่บ้าง
“ต้องล้ำเลิศแน่นอนอยู่แล้ว!” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างมั่นใจ “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนี้ได้หายสาบสูญไปก่อนหน้านี้เนิ่นนานเหลือเกิน ไม่มีทางหาพบในตอนนี้ได้”
หมัวซามองดูซือหม่าโยวเย่ว์กับเจ้าวิญญาณน้อยกระซิบกระซาบกันอยู่ข้างๆ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตัดสินใจเร็วเข้าสิ!”
“เช่นนั้นก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยเอาไว้แล้วลูบมันสองครั้งก่อนจะพูดว่า “เช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านว่านั่นแหละ ข้อตกลงสำเร็จ!”
“ดีมาก!” เพิ่งเอ่ยวาจาจบ หมัวซาโฉบเข้ามาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์อย่างฉับพลันแล้วฉวยโอกาสที่เธอไม่ทันระวังประทับจูบลงบนริมฝีปากเธอครั้งหนึ่ง
“ท่านทำบ้าอะไรกัน!” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสกันอย่างจริงจัง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ยังถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วถลึงตาใส่หมัวซา
“ตกลงทำสัญญา!” หมัวซาพูด “วิธีการเฉพาะเผ่ามารเท่านั้น”
“เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยสีหน้าดำทะมึน
“ตอนนี้ข้ามีวิญญาณอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แหละ” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ออกแรงถูริมฝีปากตนครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ริมฝีปากยิ่งเป็นสีแดงระเรื่อยวนใจคนยิ่งขึ้น
“แล้วเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรที่ท่านพูดถึงนั่นเล่า” เธอใช้สายตาทิ่มแทงหมัวซาพลางถามขึ้น
หมัวซามองริมฝีปากแดงเรื่อของเธอแวบหนึ่งแล้วกะพริบร่างเข้าไปภายในศิลาวิญญาณก่อนจะเอ่ยว่า “วางศิลาวิญญาณบนหน้าผากของเจ้าเสีย”
ซือหม่าโยวเย่ว์ทำตามที่เขาบอก ในขณะที่ศิลาวิญญาณสัมผัสหน้าผากนั้นเอง เธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างทะลุเข้ามาในห้วงสมองของเธอ ทำให้เธอปวดศีรษะขึ้นมา เนิ่นนานจึงจะคลายลง
“เจ้าบ้านี่จะต้องเจตนาอย่างแน่นอน!” เธอพูดพลางลูบหน้าผากตนเอง
“เจ้านาย รีบดูเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนั่นเร็วเข้า!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาแล้วก็รู้สึกเพียงว่าในสมองมีข้อมูลที่ไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ในห้วงสมองคล้ายกับมีหนังสือวางอยู่เล่มหนึ่ง ด้านบนมีอักษรสีทองตัวโตเปล่งประกายระยับเขียนเอาไว้ว่าเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร
เธอจัดการกับข้อมูลเหล่านั้นรอบหนึ่งจึงพบว่าของสิ่งนี้ยอดเยี่ยมใช้ได้เลยทีเดียว ที่ร้ายกาจที่สุดในนั้นคือการใช้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรทำให้สัตว์อสูรวิเศษเชื่อง หลังจากทำพันธสัญญากับเจ้านายแล้วต่างฝ่ายต่างก็เพิ่มพูนพลังของตัวเองได้ นอกจากนี้หลังจากที่เจ้านายเลื่อนระดับแล้วสัตว์อสูรวิเศษก็เลื่อนระดับตามไปได้ด้วยเช่นกัน
“ที่แท้ก็เลื่อนระดับได้ด้วย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย!” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์อ่านหมดแล้วจึงเอ่ยขึ้น
เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนี้ง่ายดายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษชนิดใดก็ล้วนใช้วิธีการเดียวกันทั้งสิ้น แต่เพราะว่าการฝึกสัตว์อสูรนั้นจำเป็นจะต้องใช้พลังจิตอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงมีเพียงแค่การทำให้พลังจิตของเธอยกระดับเท่านั้นเธอจึงจะทำให้สัตว์อสูรวิเศษที่มีระดับสูงกว่านี้เชื่องได้
“มีของสิ่งนี้แล้ว คราวหน้าไปจับสัตว์อสูรวิเศษมาทดลองกันดูสักตัวดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตื่นเต้น
“อย่าได้ลืมพันธสัญญาของพวกเราล่ะ!” หมัวซาพูดอยู่ภายในศิลาวิญญาณ
“รู้แล้วน่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากแล้วพูดว่า “ สิ่งของจากโบราณกาลเช่นนี้ท่านยังมีเลย แล้วยังใช้ชีวิตอยู่ภายในก้อนหินอันเล็กจ้อยเช่นนี้มาได้ตั้งหลายปีอีกด้วย ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีชีวิต ท่านจะต้องเป็นคนที่ร้ายกาจยิ่งคนหนึ่งอย่างแน่นอน หรือท่านจะยอมบอกข้าสักหน่อยว่าท่านเป็นใคร ข้าตามจากตัวตนของท่านก็คงจะหาได้ง่ายหน่อยกระมัง!”
“ตอนที่ข้าพบเขาข้าย่อมสัมผัสอะไรได้บ้างอยู่แล้ว พอถึงเวลานั้นข้าจะบอกเจ้าเอง!” พอพูดจบแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก และศิลาวิญญาณก็ไม่เปล่งประกายอีกเลย
“ขวับ…” ซือหม่าโยวเย่ว์โยนศิลาวิญญาณให้กับเจ้าวิญญาณน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าเก็บมันเอาไว้ให้ข้าที”
เจ้าวิญญาณน้อยความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ศิลาวิญญาณพลันหายไปจากเบื้องหน้าทั้งคู่แล้ว
…………………………