พอจัดการเรื่องหมัวซาเรียบร้อยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าวิญญาณน้อย ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าเจ้ามีเจ้านายเป็นนักหลอมยามาก่อนใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยเอาไว้พลางถามขึ้น
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มานานมากแล้ว ทำไมหรือ” เจ้าวิญญาณน้อยถาม
“ข้าอยากศึกษาการหลอมยาน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนังสือหลอมยาเหล่านั้นอยู่ที่ไหน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าอยากศึกษาการหลอมยาอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นในภายภาคหน้าก็จะมียาวิเศษมากมายให้ข้ากินแล้วใช่หรือไม่” พอเจ้าวิญญาณน้อยได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วดวงตาก็เปล่งประกาย
“เจ้าชอบกินยาวิเศษมากเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ก็ใช่น่ะสิ!” เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ยาวิเศษที่เจ้านายคนก่อนหน้านี้เหลือทิ้งเอาไว้ล้วนถูกข้ากินไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นภายในมณีวิญญาณจึงไม่มียาวิเศษเหลืออยู่”
อ้อ…
ก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังสงสัยอยู่พอดี ในเมื่อเคยมีเจ้านายเป็นนักหลอมยา แต่เพราะเหตุใดภายในมณีวิญญาณนี้กลับไม่มียาวิเศษอยู่เลยแม้แต่ขวดเดียว ที่แท้ถูกเจ้านี่กินไปหมดแล้วนั่นเอง!
“เจ้านาย ข้าจะพาเจ้าไปหาหนังสือเอง” เจ้าวิญญาณน้อยพูดแล้วรีบลากตัวซือหม่าโยวเย่ว์หายไปจากตรงนั้น เพียงพริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ภายในห้องแห่งหนึ่ง
“เจ้านาย ทั้งหมดในนี้ล้วนเป็นตำราการหลอมยาทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่เจ้านายคนก่อนหน้านี้เก็บสะสมเอาไว้ ข้าเคยได้ยินเขาพูดว่ามีเล่มที่เป็นตำราสมัยโบราณกาลอยู่เป็นจำนวนมากเลยทีเดียวนะ! ทั้งยังมีตำรับยาพื้นบ้านที่หายสาบสูญไปแล้วอยู่มากมายอีกด้วย” เจ้าวิญญาณน้อยชี้ไปยังหนังสือที่วางเรียงรายอยู่เต็มห้องพลางเอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์มองตำราในห้องปราดหนึ่ง หนังสือกองแล้วกองเล่าวางเต็มห้อง หากมิใช่หมื่นเล่ม อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีเกินกว่าพันเล่ม
“หนังสือมากมายถึงเพียงนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนังสือพวกไหนที่เอาไว้สำหรับให้ผู้เริ่มต้นอ่านน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
เจ้าวิญญาณน้อยส่ายหน้า เขาไม่เคยอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อนเลย แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร
“ใช่แล้ว!” เจ้าวิญญาณน้อยนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหายตัวไปจากห้องในทันใด ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ในมือก็มีเตาหลอมยาเพิ่มขึ้นมาเตาหนึ่ง
“เจ้านาย นี่คือเตาหลอมยาที่เจ้านายคนก่อนทิ้งเอาไว้ หลังจากที่เจ้าอ่านหนังสือแล้วใช้เตาหลอมยานี้หลอมยาได้ ถ้าหากต้องการเครื่องยาอันใดล่ะก็ ในดินด้านนอกล้วนมีอยู่ทั้งสิ้น เจ้านายคนก่อนเก็บสะสมเอาไว้มากมายหลายชนิด แล้วข้าก็เก็บรักษาเอาไว้ทั้งหมดเลย”
เมื่อเห็นเจ้าวิญญาณน้อยมีความกระตือรือร้นต่อตนเช่นนี้เป็นครั้งแรก ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มุมปากกระตุก ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะชมชอบยาวิเศษเหลือเกิน
เธอมองดูตำราที่กองเต็มห้องแล้วเลือกหาตำราของผู้เริ่มต้นศึกษาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า
จากนั้นในเวลาต่อมาเธออ่านชื่อหนังสือทั้งหมดภายในห้องรอบหนึ่ง แล้วจึงหยิบเอาตำราที่เหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาออกมาทั้งหมด หลังจากนั้นหยิบเอาโต๊ะเก้าอี้ออกมาเริ่มต้นอ่าน
จะว่าไปแล้ววิธีการหลอมยานี้ก็ไม่ได้ยากเย็น แบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสามระดับขั้น ได้แก่ การกลั่น การผสานรวม และการขมวดยา แต่สามระดับขั้นนี้กลับขัดขวางปรมาจารย์วิญญาณมานับพันนับหมื่นคนแล้ว
การกลั่นคือการทำให้เครื่องยาทั้งหมดกลั่นตัวเพื่อสกัดเอาสารสำคัญของพวกมันออกมา ซึ่งการจะทำสิ่งนี้ได้ก็จำเป็นต้องใช้ความละเอียดอ่อนและความอดทน
การผสานรวมนั้นฟังดูง่ายดายอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือการผสานรวมสารสำคัญที่ได้กลั่นออกมาก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน ขั้นตอนนี้ดูเหมือนจะง่าย ทว่ายาวิเศษแต่ละชนิดต่างมีลำดับขั้นตอนการผสานรวมเป็นของตัวเอง เวลาใดควรผสานรวมเครื่องยาใดเข้าไป สิ่งนี้ล้วนมีความละเอียดอ่อน มิใช่ว่าจะใส่สารสำคัญที่มีอยู่ทั้งหมดรวมๆ กันลงไปก็ใช้ได้แล้ว
นอกจากนี้ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเกิดการระเบิดขึ้นได้ เสียแค่เครื่องยาก็ไม่ว่า แต่ตัวนักหลอมยาเองอาจเกิดอันตรายไปด้วย
ขั้นที่สามซึ่งเป็นขั้นที่สำคัญที่สุดคือการขมวดยา
ถ้าหากสองขั้นก่อนหน้าสำเร็จแล้ว แต่ไม่อาจขมวดยาได้สำเร็จ สิ่งที่ทำออกมาได้อย่างมากที่สุดก็คือยาเม็ดเท่านั้น ถึงแม้ว่ายาเม็ดจะมีประโยชน์เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับยาวิเศษแล้วผลลัพธ์ก็ยังต่างกันเป็นร้อยเป็นพันเท่าอยู่ดี
ส่วนการขมวดยานั้นคือการรอให้สารสำคัญทั้งหมดผสานรวมกันจนได้ที่แล้วจึงส่งพลังวิญญาณของตนเข้าไปภายในเตาหลอมยา ทำให้ยาเม็ดที่อยู่ข้างในควบรวมกลายเป็นยาวิเศษ ขั้นนี้ท้าทายพลังจิตของแต่ละคนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากควบคุมได้ไม่ดีแล้วละก็ ความพยายามทั้งหมดที่ทุ่มเทลงไปก่อนหน้านี้อาจจะสูญเปล่าได้การหลอมยาทั้งหมดดูเหมือนจะง่ายดาย แต่คนที่สำเร็จเป็นนักหลอมยาอย่างแท้จริงนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
นอกจากนี้การหลอมยายังมีปัจจัยสำคัญอีกสองอย่างคือเตาหลอมยาและเปลวไฟ
เตาหลอมยานั้นพูดง่าย แน่นอนว่ายิ่งได้เตาหลอมยาดี ความสำเร็จในการหลอมยาจะยิ่งสูง
สำหรับไฟนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งไฟที่จุดขึ้นจากฟืน ไฟกำเนิดของสัตว์อสูรวิเศษ ไฟพิสดาร และไฟวิญญาณ
ชนิดแรกนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย ส่วนชนิดที่สองคือไฟกำเนิดของสัตว์อสูรวิเศษ ตอนที่หลอมยาก็ให้สัตว์อสูรวิเศษคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ด้วยความสัมพันธ์ของการทำพันธสัญญา เจ้านายออกคำสั่งให้สัตว์อสูรวิเศษควบคุมขนาดของไฟได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากเป็นการทำพันธสัญญาโดยกำเนิด เจ้านายยังควบคุมไฟกำเนิดของสัตว์อสูรวิเศษได้โดยตรงอีกด้วย
นี่คือเปลวไฟที่เหล่านักหลอมยาส่วนใหญ่ใช้กัน แต่ข้อเสียของเปลวไฟชนิดนี้คือระดับขั้นของเปลวไฟไม่สูงนัก นอกจากนี้สัตว์อสูรผูกพันธสัญญานี้ยังจะต้องเป็นสัตว์อสูรวิเศษธาตุไฟเท่านั้นจึงจะใช้ได้
เปลวไฟชนิดที่สาม ไฟพิสดาร เปลวไฟชนิดนี้เป็นเปลวไฟที่เกิดขึ้นระหว่างฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณ ถ้าหากเก็บเอาไปใช้ได้ ผลสำเร็จในการหลอมยาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว
แต่การเก็บเอาไฟพิสดารพรรค์นี้ไปใช้นั้นยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าการจะดูดซับไฟพิสดารเข้าสู่ร่างกายแล้วทำการหลอมแปรธาตุหากประมาทขึ้นมา ในทางกลับกัรอาจถูกไฟพิสดารสะท้อนกลับแล้วเผาผลาญจนวายชีพ
แต่ในนี้ไม่ได้พูดถึงเปลวไฟชนิดที่สี่เอาไว้มากนัก บางทีอาจเป็นเพราะเปลวเพลิงเหล่านี้ลึกลับมากเกินไปกระมัง
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์อ่านกระบวนการหลอมยาเสร็จเรียบร้อยจึงพบว่านี่เป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่ชาติก่อนเธอขาดแคลนเงิน ขาดแคลนผู้ชาย ทว่าแต่ไหนแต่ไรกลับไม่เคยขาดความอดทนเลย
หลังจากนั้นเธอเริ่มศึกษาขั้นแรกของการหลอมยา…การกลั่น
เธอจดจำวิธีการและขั้นตอนต่างๆ ที่เขียนอยู่ในหนังสือเอาไว้ในใจ หลังจากนั้นก็วิ่งหางจุกตูดไปหาเครื่องยามาหลายชนิด ก่อนจะมายังห้องหลอมยาแล้วหยิบเอาเตาหลอมยาที่เจ้าวิญญาณน้อยหามาให้ก่อนหน้านี้ออกมาเริ่มต้นรวบรวมสมาธิศึกษา
ผ่านไปสองวัน นอกจากซือหม่าโยวเย่ว์จะออกมาขุดหาเครื่องยาบางตัวแล้ว นอกเหนือจากนี้ก็อยู่ในห้องหลอมยาตลอดเวลา ภายในห้องมีเสียงปึงปังไม่หยุดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เหล่าสัตว์อสูรวิเศษภายในมณีวิญญาณต่างก็พากันวิ่งมารออยู่ด้านนอกห้องหลอมยา
“เจ้านายจะหลอมยาวิเศษได้สำเร็จหรือไม่” ย่ากวงมองดูห้องหลอมยาพลางถามขึ้น
“ได้แน่นอนอยู่แล้วล่ะ!” เจ้าคำรามน้อยกลิ้งไปมาอยู่บนร่างของย่ากวง เมื่อได้ยินคำถามของย่ากวงแล้วก็พูดด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
“เย่ว์เย่ว์น้อยเฉลียวฉลาดถึงเพียงนั้น ต้องหลอมได้สำเร็จอย่างแน่นอน” ร่างกายของหลิงหลงลอยอยู่กลางอากาศ ยกขาทั้งสองข้างขึ้นพลางประสานมือไว้ที่ท้ายทอย คล้ายกับนอนอยู่บนเตียงอย่างไรอย่างนั้น
“สำเร็จแน่นอนอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะมีขนมเคลือบน้ำตาลให้กินมากมายแล้วสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ขนมเคลือบน้ำตาลหรือ”
“ก็คือยาวิเศษนั่นแหละ ก่อนหน้านี้ข้าเรียกว่าขนมเคลือบน้ำตาลทั้งหมดเลย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ตูม…” ในขณะที่พวกเจ้าวิญญาณน้อยกำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง ห้องหลอมยามีเสียงระเบิดดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทำให้พวกมันตกใจจนต้องรีบวิ่งเข้าไปดู
“เย่ว์เย่ว์ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” เจ้าคำรามน้อยนำเข้าไปก่อนใครจึงเห็นควันโขมงเต็มห้อง เงาร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มควันนั้นเอง
“เจ้านาย เป็นอะไรไปหรือ” พวกย่ากวงรีบพุ่งเข้ามาเช่นกัน เมื่อเห็นเศษซากของประตูทางเข้าจึงเอ่ยถามขึ้น
กลุ่มควันภายในห้องค่อย ๆ จางหายไป เผยให้เห็นความระเกะระกะภายในห้อง ไม่เพียงแต่บนโต๊ะเท่านั้น บนพื้น หรือแม้กระทั่งบนกำแพง ล้วนเต็มไปด้วยเศษผงยาที่กระเด็นไปทั่วจากการระเบิด
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ตรงกลางห้อง ในขณะที่ระเบิดนั้นเธอก็ป้องกันใบหน้าเอาไว้ แต่เส้นผมกลับถูกเผาเจนไหม้กรอบ ส่วนเสื้อผ้ากลายเป็นเศษผ้าขาดวิ่นไปด้วยเช่นกัน
“โอ๊ยๆๆ ข้าเสียใจเหลือเกิน!” เจ้าวิญญาณน้อยเห็นสภาพห้องแล้วก็ตะโกนเสียงดัง
“เจ้าวิญญาณน้อย เป็นอะไรไปเล่า” พวกที่เหลือมองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างไม่เข้าใจ
“คนอื่นๆ ต่างเกิดเหตุการณ์การระเบิดขึ้นในขั้นของการผสานรวมกันทั้งสิ้น แต่เจ้านายกลับเกิดระเบิดขึ้นตั้งแต่ตอนกลั่นเครื่องยาเสียได้ ก็บอกได้ชัดเจนเลยว่านางไม่มีทักษะทางด้านการหลอมยาเอาเสียเลย ข้าก็คงไม่มีขนมเคลือบน้ำตาลกินอีกต่อไปแล้วสิ เฮ้อ ปวดใจเหลือเกิน” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างผิดหวัง
พวกเจ้าคำรามน้อยมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่ถูกระเบิดเสียจนยับเยิน หรือว่านางจะเป็นนักหลอมยาไม่ได้จริงๆ หนอ
……………………………