ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังคิดอยู่ว่าขั้นตอนไหนที่ทำให้เกิดการระเบิด ดังนั้นจึงมิได้สนใจพวกเจ้าคำรามน้อยที่บุกเข้ามา
เมื่อได้ยินเสียงโอดครวญอันเจ็บปวดของเจ้าวิญญาณน้อย จึงเหลือบตามองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ใครบอกกันเล่าว่าข้าทำให้เกิดระเบิดในขั้นการกลั่น”
เจ้าวิญญาณน้อยสัมผัสถึงความหมายในคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ได้อย่างเฉียบคม เพียงครู่เดียวก็หายตัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ สองตาเปล่งประกาย แล้วมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อพลางถามว่า “มิได้ระเบิดในขั้นการกลั่น หรือว่าเจ้ากำลังผสานรวมอยู่เล่า”
“ใช่แล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์เช็ดหน้าตัวเองครั้งหนึ่ง แต่กลับทำให้บริเวณที่สะอาดอยู่เพียงจุดเดียวของเธอดำไปเสียอย่างนั้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าเพิ่งจะศึกษาการกลั่นเครื่องยาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปเลยได้อย่างไรเล่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ข้าเคยได้ยินเจ้านายนักหลอมยาคนก่อนหน้าพูดว่า คนทั่วไปจะสามารถเข้าใจขั้นตอนการกลั่นได้ภายในหนึ่งเดือน หากไปถึงตรงนั้นได้ก็ไม่เลวแล้ว ตอนนั้นเขามีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมก็ยังต้องใช้เวลาถึงยี่สิบกว่าวันจึงจะเข้าใจวิธีการกลั่นได้ เจ้าใช้เวลาแสนสั้นถึงเพียงนี้ ทำไมจึงได้…”
“คนอื่นต้องใช้เวลานานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจอยู่บ้าง “การกลั่นเครื่องยานั้นง่ายดายยิ่งนัก ข้าใช้แค่สองวันก็ทำเป็นแล้ว”
“สองวันอย่างนั้นหรือ!” เหล่าสัตว์อสูรภายในห้องต่างพากันร้องออกมาอย่างตกใจ
เพิ่งเริ่มเส้นทางนี้มาได้สองวัน เมื่อนึกถึงที่เจ้าวิญญาณน้อยบอกว่าผู้อื่นต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ทันใดนั้นสายตาหลายคู่ต่างมองดูเธอราวกับเห็นสัตว์ประหลาดก็มิปาน
“ใช่แล้ว ยังไม่ทันหมดวันที่สองหลังจากที่ข้าเข้ามาก็กลั่นสารสำคัญขวดแรกออกมาได้แล้วหลังจากนั้นระยะเวลาที่เหลือจึงใช้ไปกับการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งหมดเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พูด “ต่อมาตอนที่ข้าอ่านตำรับยาพื้นบ้านที่ค้นคว้าเอาไว้ ก็พบว่าเครื่องยาที่ข้ากลั่นก่อนหน้านี้นำมาหลอมยาวิเศษชนิดหนึ่งได้พอดี เลยคิดจะทดลองดูสักหน่อย ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยนะ แต่ตอนที่ใส่เครื่องยาสองชนิดสุดท้ายกลับระเบิดเสียอย่างนั้น”
ขณะนี้เจ้าวิญญาณน้อยตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ได้แต่กอดไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์แน่นเพื่อแสดงความรู้สึกตื่นเต้นในตอนนี้ของเขา เนิ่นนานผ่านไปเขาจึงพูดว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นเศษขยะทางด้านการหลอมยาอยู่เลย แต่ที่แท้เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์มากทีเดียว ไม่ใช่สิ เป็นอัจฉริยะต่างหากเล่า ฮ่าๆๆๆ! เช่นนี้ต่อไปข้าก็จะมีขนมเคลือบน้ำตาลกินแล้วสินะ ช่างดีเหลือเกิน!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก รู้สึกว่าเจ้านี่จะเห็นเธอเป็นเครื่องผลิตขนมเคลือบน้ำตาลไปเสียแล้วสินะ
“เอาละ ออกไปก่อนเถิด พอข้าเก็บกวาดที่นี่เสร็จเรียบร้อยก็จะไปอาบน้ำแล้ว อีกประเดี๋ยวจะกลับมาค้นคว้าดูสักหน่อยว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดระเบิดขึ้นได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวข้าเก็บกวาดที่นี่ให้เอง” เจ้าวิญญาณน้อยยิ้มอย่างประจบประแจงแล้วพูดว่า “เจ้าสนใจแค่เรื่องไปอาบน้ำและคิดใคร่ครวญเหตุผลที่ระเบิดก็พอแล้ว”
มีคนเสนอตัวช่วยเหลือ เธอย่อมสุขใจแน่นอนอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ให้เขาเตรียมถังอาบน้ำถังหนึ่งให้ตนแล้วอาบน้ำอย่างมีความสุข
“ที่แท้แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นตรงไหนกันแน่หนอ”
ภายในห้องอาบน้ำที่เจ้าวิญญาณน้อยเตรียมเอาไว้ให้ ซือหม่าโยวเย่ว์อาบน้ำอยู่ในถังแล้วเอนศีรษะพิงขอบถัง มองเพดานห้องพลางคิดใคร่ครวญ
ขั้นตอนของเธอถูกต้องอย่างแน่นอน ลำดับก่อนหลังของการใส่สารสำคัญและเครื่องยาก็ถูกต้องเช่นกัน เธอมั่นใจในสองจุดนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นปัญหาจะต้องไม่ได้เกิดจากสองจุดนี้อย่างแน่นอน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นที่ความบริสุทธิ์ของการกลั่นเครื่องยาและการควบคุมอุณหภูมิเตาหลอมยาแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยพึมพำ “ดูท่าทางยังจะต้องเพิ่มความแกร่งในการฝึกฝนการกลั่น ทั้งยังจำเป็นต้องทำความเข้าใจการควบคุมอุณหภูมิในทุกขั้นตอนของการหลอมยาด้วย”
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปยังห้องหลอมยาอีก เมื่อเห็นห้องหลอมยาที่ได้รับการเก็บกวาดเสียจนสะอาดสะอ้าน เธอก็ทอดถอนใจกับความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของเจ้าวิญญาณน้อย
แต่เธอลืมไปเสียสนิทว่าเดิมทีที่นี่อยู่ภายในมณีวิญญาณอยู่แล้ว เจ้าวิญญาณน้อยเพียงแค่ขยับหัว ทั้งห้องก็คืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว
คราวนี้เธอไม่ได้เริ่มต้นในทันที หากแต่หยิบเอาตำราการหลอมยาเล่มหนึ่งออกมาดู
เปรียบเทียบกับขั้นตอนการกลั่นก่อนหน้านี้ของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ดูว่าตนเองมีจุดบกพร่องอันใดหรือไม่ รอจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้วเธอจึงค่อยเริ่มต้นทำการกลั่นเครื่องยาอีกครั้ง
ในขณะที่เธอกำลังค่อยๆ สงบจิตใจอยู่นั้นเอง จึงพบว่าความบริสุทธิ์ของการกลั่นของตนเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
“เจ้านาย ด้านนอกมีความเคลื่อนไหว” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นฉับพลันแล้วพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์
“เป็นเพราะท่านปู่กำลังจะออกจากการปลีกวิเวกแล้วใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
เพื่อป้องกันมิให้เกิดเรื่องราวอันใด ตอนที่เธอเริ่มต้นทดลองหลอมยาครั้งใหม่จึงให้เจ้าวิญญาณน้อยคอยสังเกตความเคลื่อนไหวภายนอกเอาไว้
“น่าจะใช่นะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ข้ารู้สึกได้ว่าปราณวิญญาณข้างนอกมีความผิดปกติอยู่บ้าง จึงรู้สึกว่าน่าจะมีคนกำลังเลื่อนระดับ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วก็รีบวางเครื่องยาที่กลั่นไปแล้วครึ่งหนึ่งในมือลง เพียงความคิดวูบไหวคราหนึ่งเธอก็มาถึงข้างนอกแล้ว
เปิดประตูออกไปก็เห็นสาวใช้ทั้งสองของตนกำลังเฝ้ายามอยู่ที่ด้านนอกประตูของตนจึงถามว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงอยู่ที่นี่กันเล่า”
“เรียนคุณชาย พวกเราคิดว่าท่านไม่ออกมาหลายวันถึงเพียงนี้ อาจกำลังบำเพ็ญอยู่ข้างในก็เป็นได้ เพื่อมิให้ใครเข้าไปรบกวนท่าน จึงรอกันอยู่ที่นี่น่ะเจ้าค่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเจ้าของร่างเดิมของตนทำกับพวกนางเช่นนั้น แต่พวกนางยังรับใช้กันสุดตัวเช่นนี้จึงพูดว่า “เอาละ ตอนนี้ข้าออกมาแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด”
พูดจบแล้วเธอก็ตรงไปยังห้องหนังสือของซือหม่าเลี่ย เมื่อหาทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินพบ ก็ค่อยๆ คลำทางลงไปช้าๆ
พอมาถึงด้านนอกห้องลับ ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้เข้าไปต่อ แค่เพียงหยุดรออยู่ที่นี่เท่านั้น
ตั้งแต่หลังจากที่ร่างกายของตนถูกเพลิงชาดดัดแปลงแล้ว เธอก็มีสัมผัสไวต่อปราณวิญญาณในอากาศเป็นอย่างมาก บางทีคนข้างนอกอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณในอากาศเลยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับสัมผัสได้ว่าปราณวิญญาณไฟที่อยู่ไกลออกไปกำลังรวมตัวกันตรงไปยังห้องลับอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าปราณวิญญาณที่ไหลเข้าไปเริ่มจะช้าลงแล้ว จึงรู้ว่าการเลื่อนระดับน่าจะเสร็จสิ้นลงแล้ว
เป็นไปตามคาด เพียงไม่นานประตูห้องลับถูกดึงเข้าไปในกำแพงทั้งสองข้างอย่างช้าๆ แล้วซือหม่าเลี่ยก็เดินออกมาจากด้านใน
“ท่านปู่” ซือหม่าโยวเย่ว์รุดเข้าไปต้อนรับพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีกับท่านปู่ด้วยที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว!”
“ฮ่าๆ ต้องยกความดีให้กับยาวิเศษสองเม็ดนั้นของเจ้าแล้ว” ซือหม่าเลี่ยคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะรอตนอยู่ที่นี่ จึงสะดุ้งเล็กน้อยคราหนึ่ง จากนั้นหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าข้าจะออกมาแล้ว”
“ข้ารู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นปราณวิญญาณในอากาศ จึงเดาว่าท่านปู่น่าจะเลื่อนระดับสำเร็จแล้ว ดังนั้นจึงมารอรับท่านปู่ออกจากการปลีกวิเวกขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าสัมผัสถึงระลอกคลื่นปราณวิญญาณตอนที่ข้าเลื่อนระดับได้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยตกตะลึงอยู่บ้าง
ถ้าหากผู้อื่นสัมผัสได้เช่นเดียวกัน มิใช่ว่าต่อให้เขาอยากจะปกปิดเรื่องที่ตนเลื่อนระดับนี้เอาไว้ก็ปิดไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ
“ท่านปู่วางใจเถิด ผู้อื่นรับสัมผัสไม่ได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ก่อนข้าจะเข้ามาก็ได้ให้เจ้าคำรามน้อยผูกข่ายมนตร์ให้แล้ว ผู้อื่นย่อมไม่อาจสัมผัสได้”
“เจ้าคำรามน้อยหรือ”
“ก็คือข้าอย่างไรเล่าท่านปู่!” เจ้าคำรามน้อยร่อนลงมาจากด้านบนของทางเดินลับแล้วลอยตัวอยู่ตรงหน้าซือหม่าเลี่ยด้วยท่าทีเหมือนว่า ท่านรีบชมข้าเร็วเข้าสิ
ซือหม่าเลี่ยตกใจ นี่มันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน ไม่เพียงแต่จะพูดได้เท่านั้น แต่ยังผูกข่ายมนตร์ได้อีกด้วยอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ตอนเห็นซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มมันก็ยังคิดว่ามันคือสัตว์เลี้ยงที่เธอซื้อมาจากข้างนอกเสียอีก
“ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าคำรามน้อยจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่เรื่องการผูกข่ายมนตร์ต่างก็ยังทำได้อยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นท่านปู่ก็ไม่ต้องกังวลใจไป”
ให้เจ้าคำรามน้อยใช้ข่ายมนตร์ล้อมรอบทั้งห้องหนังสือเอาไว้หลังจากที่ตนเข้ามาในทางเดินลับแล้ว เพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของจวนแม่ทัพ เธอคิดอย่างถี่ถ้วนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าแสร้งทำเป็นอ่อนแอไว้ก่อนดีกว่าเปิดเผยความสามารถอย่างตรงไปตรงมา ก็เหมือนกับตนเองในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ถ้าหากมิใช่เพราะมีฝีมือร้ายกาจเกินไป ตอนอยู่ในองค์กรคงไม่ถูกมืออันดับสองขององค์กรทำร้ายเอาหรอก
“เอาละ ท่านปู่ ตอนนี้ออกไปข้างนอกกันเถิด พอพวกพี่ๆ รู้ว่าท่านเลื่อนระดับแล้วคงดีใจแทบแย่เหมือนกันแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงแขนซือหม่าเลี่ย แล้วคนทั้งสองก็เดินมุ่งหน้าออกไปจากทางเดินลับ
ทว่าต่อให้เจ้าคำรามน้อยจัดวางข่ายมนตร์ ในห้องทำงานของวิทยาลัย เงาร่างของคนผู้หนึ่งยืนมองจวนแม่ทัพอยู่ข้างหน้าต่างพลางพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “สิ่งที่เจ้ารอคอยอยู่ก็คือเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ในเมื่อเรื่องราวเสร็จสิ้นลงแล้ว เจ้าจะกลับมาเมื่อใดกัน…”
……………………