นอกจากซือหม่าโยวหรานที่ไปเข้าร่วมภารกิจของวิทยาลัยแล้ว ซือหม่าโยวฉี ซือหม่าโยวหมิง และซือหม่าโยวเล่อต่างกลับมากันแล้ว พอรู้ว่าซือหม่าเลี่ยเลื่อนระดับสำเร็จ ทุกคนต่างตื่นเต้นยินดีกันเป็นอย่างยิ่ง
ยามราตรี ซือหม่าโยวเย่ว์ทำกับข้าวเต็มโต๊ะให้กับทุกคนด้วยความยินดี พอเธอออกมาจากห้องครัวก็เห็นคนทั้งสี่นั่งอยู่รอบโต๊ะพลางมองมาทางตนอย่างตกใจ ชะงักงันไปครู่หนึ่งแล้วหลังจากนั้นจึงค่อยได้สติกลับคืนมา เพราะว่าตนตื่นเต้นดีใจเกินไปจึงลืมไปว่าร่างเดิมนี้ทำอาหารไม่เป็น คราวก่อนที่บอกว่าสอนพ่อครัวทำกับข้าว พวกเขาก็คิดว่าเธอเพียงแค่ได้ยินได้ฟังแล้วรู้หลักการมาเท่านั้น ไม่คิอว่าคราวนี้เธอถึงกับหยิบมีดจับตะหลิวด้วยตัวเอง!
“น้องห้า เจ้าเรียนรู้การทำกับข้าวมาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ซือหม่าโยวเล่อถามขึ้นก่อนใคร
ซือหม่าโยวเย่ว์มามานั่งที่เก้าอี้ตนก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไปใช้ชีวิตอยู่บนเทือกเขาผู่สั่วมาตั้งหลายเดือนมิใช่หรือ เวลานั้นใครจะทำกับข้าวให้ข้า มีแต่ตัวข้าที่ต้องทำกินเองจนทำเป็น”
เมื่อได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ทุกคนก็มองเธออย่างเจ็บปวดใจ คิดว่าตอนเธออยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วจะต้องได้รับความยากลำบากไม่น้อยเลยทีเดียว ดูจากการที่แม้กระทั่งเรื่องซับซ้อนอย่างการทำกับข้าวเธอก็ยังเรียนรู้จนทำเป็นแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสีหน้าของทุกคนแล้วรู้สึกผิดอยู่บ้าง เธอเพียงแค่อยากจะกลบเกลื่อนเรื่องที่ตนทำอาหารได้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้พวกเขาเจ็บปวดใจ
เธอแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “เอาละ รีบกินเถิด พอกับข้าวเย็นชืดจะไม่อร่อยเอา”
“อืม กินเถิด มาลองชิมกันดูสักหน่อยว่ากับข้าวที่น้องห้าทำเป็นอย่างไรบ้าง”
“โอ้ อร่อยเหลือเกิน!”
“มา พวกเราคารวะท่านปู่หนึ่งจอก แสดงความยินดีที่ท่านเลื่อนระดับได้อย่างราบรื่น”
“ฮ่าๆ นี่ต้องขอบคุณยาวิเศษเลื่อนระดับที่โยวเย่ว์นำกลับมาเลยนะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องการเลื่อนระดับของซือหม่าเลี่ย ทุกคนก็ครึกครื้นกันขึ้นมาอีก ดื่มกินกันจนดึกดื่นจึงเลิกรา
“ท่านปู่ ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะไปที่วิทยาลัยแล้วขอรับ” หลังกินมื้อเย็นเสร็จซือหม่าโยวเย่ว์ก็พูดขึ้น
“เรื่องของเจ้า เจ้าตัดสินใจเอาเองเถิด” ซือหม่าเลี่ยตบศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์เบาๆ “หรือหลังจากที่เจ้ากลับไปยังวิทยาลัยแล้ว คิดจะไปหาตัวผู้ที่ทำร้ายเจ้าในตอนนั้นมาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามิใช่คนใจดีที่พอคนมาฟาดข้าฝ่ามือหนึ่งแล้วข้าจะถามกลับว่าเจ็บมือหรือไม่หรอกนะ คิดจะทำร้ายข้า ก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับการแก้แค้นเอาไว้ให้ดี!”
“ฮ่าๆ ไม่ว่าเจ้าอยากทำอะไร ปู่ก็จะสนับสนุนเจ้าทั้งสิ้น ถ้าหากมีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ปู่กับพวกพี่ๆ ช่วยเหลือ แค่เอ่ยปากบอกมาก็พอแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด
“อืม ข้าจะทำเช่นนั้นแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมรอยยิ้ม
เธอมองไปยังทิศที่ตั้งของวิทยาลัย มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย ไม่รู้ว่าคนที่เข้าใจว่าตนตายไปแล้วเหล่านั้น พอเห็นตนแล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นไรบ้าง
พอกลับมาที่เรือนของตน ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตัวฝึกยุทธ์อยู่ในห้อง ถึงแม้ว่าเธอจะอยากไปหลอมยาเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็รู้ว่ายังเร่งรัดถึงขนาดนั้นไม่ได้ การฝึกฝนการกลั่นเครื่องยาของตนยังไม่เพียงพอ ถ้าหากเร่งรัดไปทำการผสานรวม ก็มีแต่จะจบลงด้วยการระเบิดเหมือนครั้งก่อน ต่อให้ฝืนหลอมยาเม็ดหรือยาวิเศษได้สำเร็จ เกรงว่าฤทธิ์ยาคงจะไม่ได้ดีสักเท่าใดนัก
นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ของเธอคือการฝึกยุทธ์ เจ้าคำรามน้อยบอกว่าตอนที่ไปถึงระดับเทพแล้ว ไม่แน่ว่าตนอาจจะฟื้นฟูความทรงจำได้ แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณเท่านั้น ไม่รู้ว่าอีกไกลเท่าใดจึงจะไปถึงระดับเทพได้ จะต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุดจึงจะใช้ได้
ภายในราชวิทยาลัย เดือนแรกหลังจากซือหม่าโยวเย่ว์หายสาบสูญไป ทุกคนยังวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้อยู่ คาดการณ์กันว่าเมื่อใดจวนแม่ทัพจะมาก่อความวุ่นวายที่วิทยาลัย แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของคนจากจวนแม่ทัพเลย
หลังจากหนึ่งเดือนกว่าผ่านไป ทุกคนก็ค่อยๆ วางความสนใจต่อเรื่องนี้ลง มีน้อยคนนักที่ยังจำคนไร้ค่าผู้นั้นได้
หลังจากที่เรียนคาบเรียนในตอนเช้าจบแล้ว พอทุกคนกินข้าวกลางวันเสร็จต่างก็คนต่างแยกย้ายกันไป
พอเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีสองคนกลับมาเห็นว่ากลอนประตูใหญ่เปิดอยู่ ยังคิดว่าเป็นโอวหยางเฟยหรือไม่ก็เป่ยกงถังกลับมาก่อนแล้ว
“เจ้าสองคนนี้นี่ พอเลิกเรียนก็รีบแจ้นกลับมาเลย เมื่อครู่นี้ไม่เห็นพวกเขาที่โรงอาหาร ที่แท้ก็รีบกลับมากันก่อนนี่เอง” เจ้าอ้วนชวีพูด
“อืม ตั้งแต่ได้กินอาหารที่โยวเย่ว์ปรุงให้พวกเรา ตอนนี้ก็รู้สึกว่ากับข้าวที่โรงอาหารนี่รสชาติเหลือทนจริงๆ เลย” พอเว่ยจือฉีพูดถึงซือหม่าโยวเย่ว์ สีหน้าดำทะมึนลงในทันใด
“โยวเย่ว์เขา…” เสียงของเจ้าอ้วนชวีแหบพร่าอยู่บ้าง
คาดว่าตอนนี้ภายในวิทยาลัยน่าจะมีแค่พวกเขาสองคนแล้วที่ยังคงพูดถึงซือหม่าโยวเย่ว์อยู่
“พวกเจ้ามายืนออกันอยู่ที่หน้าประตูทำไมกัน” น้ำเสียงเย็นชาของเป่ยกงถังดังขึ้นมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะความทุกข์โศกของพวกเขาทั้งสอง
เว่ยจือฉีหันไปมองเป่ยกงถังแล้วพูดว่า “เจ้ามิได้เข้าไปหรอกหรือ พวกเรายังคิดว่าเจ้ากลับมาแล้วเสียอีก”
“เปล่านี่ ข้าไปห้องสมุดมาต่างหากเล่า” เป่ยกงถังเดินขึ้นหน้าไปสองก้าวแล้วมองคนทั้งสองอย่างสงสัยปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็แทรกตัวผ่านพวกเขาแล้วผลักประตูเข้าไป
“เมื่อใดที่เป่ยกงถังผู้นี้จะแย้มยิ้มกับเขาบ้าง เห็นนางทีไรก็เย็นชาราวกับน้ำแข็งตลอดเลย” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“อืม ถ้าแย้มยิ้มขึ้นมาจะต้องงดงามเป็นอย่างยิ่งแน่นอน” เว่ยจือฉีพูด
“พวกเจ้ามายืนเป็นเทพเฝ้าประตูที่นี่หรือ” โอวหยางเฟยเดินมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นคนทั้งสองยืนอยู่ตรงประตูไม่เข้าไปเสียที หลังจากพูดประโยคหนึ่งจบแล้วเขาก็เดินเข้าไปในเรือน
อาศัยอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบพูดจากัน แต่มิได้เฉยชาใส่กันเหมือนตอนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ อีกต่อไปแล้ว
“โอ๊ย เจ้านี่มันช่าง…” เจ้าอ้วนชวีเพิ่งพูดไปได้ครึ่งประโยคก็หันมามองเว่ยจือฉีในทันใด จึงเห็นว่าในแววตาของเขามีความพรั่นพรึงอยู่เช่นเดียวกัน
พวกเขาสองคนกลับมาก่อน คิดว่าเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยเปิดประตูใหญ่ของบ้านเอาไว้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาสองคนจะกลับมาหลังพวกตนเสียอีก เช่นนั้นผู้ที่ใช้กุญแจเปิดประตูคงจะมีเพียงแค่…ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอย่างนั้นน่ะหรือ!
พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเขากลับมาแล้วหรือ
ทั้งสองคนรีบเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว พอเข้าไปก็เห็นโอวหยางเฟยยืนอยู่ภายในบ้าน ส่วนเป่ยกงถังก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องซือหม่าโยวเย่ว์ วันนี้ประตูที่ปิดสนิทมาโดยตลอด กลับเปิดออกแล้ว!
เห็นเพียงว่าซือหม่าโยวเย่ว์โผล่หน้าออกมาจากในห้องแล้วฉีกยิ้มยิงฟันอย่างตกใจให้กับคนทั้งสี่ “พวกเจ้ากลับมากันหมดแล้ว ข้ากำลังเก็บกวาดห้องอยู่ ไม่มีคนอยู่มานานเช่นนี้ ฝุ่นหนาเลยทีเดียว”
เจ้าอ้วนชวีชี้ซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่อาจพูดประโยคที่สมบูรณ์ออกมาได้เลย
“เจ้า… เจ้า… เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ชะโงกออกมาทั้งตัวแล้วหัวเราะคิกคัก “เพิ่งกลับมา เจ้าอ้วนชวี บ่ายนี้เจ้าไม่มีคาบเรียนแล้วกระมัง มาช่วยข้าเก็บกวาดห้องทีสิ”
จากนั้นเธอมองพวกเป่ยกงถังสามคนแล้วพูดว่า “ห้องนี้ช่างสกปรกเหลือเกิน นอกจากนี้ยังดูคล้ายว่าจะถูกใครพังอีกด้วย รกรุงรังยิ่งนัก ประเดี๋ยวพอเก็บกวาดเสร็จแล้วพวกเจ้าค่อยมานั่งเล่นกันดีหรือไม่”
ในขณะนี้เองคนทั้งสี่จึงค่อยมีปฏิกิริยากันขึ้นมาจริงๆ เว่ยจือฉีม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อรกรุงรังยิ่งนัก เช่นนั้นพวกเรามาช่วยกันให้หมดเลยเถิดนะ”
“ใช่แล้ว ข้าก็จะร่วมด้วย” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางเดินเข้าไป
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเว่ยจือฉีเข้ามาช่วยจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ดีเลย พอมีพวกเจ้ามาช่วยคงเก็บกวาดเสร็จเร็วขึ้นแล้ว”
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเธอคือโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังก็เข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีสีหน้าเย็นชา แต่เธอรู้อยู่แล้วว่าทั้งคู่ชอบทำหน้าตายเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่าการที่ทั้งคู่มาช่วยก็ยังทำให้รู้สึกตกใจไม่น้อย
“ห้องเจ้านี่ดูเหมือนมีใครเคยบุกเข้ามาก่อนจริงๆ เสียด้วยสิ!” เจ้าอ้วนชวีมองดูห้องที่รกรุงรัง
ทั้งห้าคนช่วยกันเก็บกวาด เพียงไม่นานก็จัดการเสร็จเรียบร้อยทั้งห้อง จากนั้นเจ้าอ้วนชวีกับเว่ยจือฉีนั่งลงด้วยกัน ส่วนโอวหยางเฟยพิงอยู่กับโต๊ะ และเป่ยกงถังพิงอยู่ที่ข้างประตู คนทั้งสี่ต่างพากันมองเธอเป็นตาเดียว
“โยวเย่ว์ ก่อนหน้านี้ค่ายกลนำส่งส่งตัวเจ้าไปที่ใดกันหรือ”
……………………