ซือหม่าโยวเย่ว์ยกน้ำชาให้กับทุกคน หลังจากนั้นจึงค่อยกลับไปนั่งยังตำแหน่งของตนแล้วพูดว่า “ถูกส่งตัวไปยังสถานที่ไกลแสนไกลแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ประสบกับเรื่องบางอย่างเข้า จึงมัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นั่น เมื่อไม่กี่วันมานี้จึงเพิ่งจะพบค่ายกลนำส่งแล้วกลับมาได้”
“แล้วเจ้าเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ได้อย่างไรกัน” เป่ยกงถังเอ่ยปากถามอย่างตรงประเด็นในทันที
ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วถามว่า “มีคนผลักข้าเข้าไปน่ะสิ”
“เจ้าบอกว่ามีคนทำร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ!” เจ้าอ้วนชวีสะดุ้งโหยงในทันใด “เป็นใครกัน พวกเราจะไปจัดการให้เอง!”
เว่ยจือฉีลากตัวเจ้าอ้วนชวีลงมานั่งแล้วพูดว่า “เจ้าจะรีบร้อนไปไหนกัน ฟังก่อนสิว่าโยวเย่ว์จะพูดอะไร”
“เมิ่งถิงหรือ” โอวหยางเฟยมองซือหม่าโยวเย่ว์
คนที่เคยมีความขัดแย้งกันกับเธอก็มีแค่เมิ่งถิงเท่านั้น ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนดูคล้ายจะลืมเลือนเธอไปหมดแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่นางหรอก”
“ไม่ใช่นาง เช่นนั้นจะยังมีใครคิดอยากทำร้ายเจ้าอีกเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด “หลังจากนั้นข้าได้ยินคนพูดว่าผู้ที่เข้าไปก่อนหน้านี้น้อยคนนักที่จะรอดชีวิตออกมาได้”
นึกถึงซากศพที่ตนได้เห็นภายในค่ายกลลวงวิญญาณ ถือเป็นการไปไม่กลับอย่างแท้จริง นอกจากนี้ถ้าหากถูกส่งตัวไปยังเทือกเขาผู่สั่วเช่นเดียวกันกับเธอแล้วละก็ โอกาสรอดชีวิตจะยิ่งน้อยลงไปอีก
“อืม คนที่อยากทำร้ายข้าคงจะมีอยู่ไม่น้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ข้าเชื่อว่าคนที่ผลักข้าเข้าไปนั้นมิใช่คนวางแผนหรอก แต่ถูกผู้อื่นชี้นำต่างหาก คนที่ข้าต้องการหาตัวคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางต่างหาก”
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์
“พอถึงตอนนั้นต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้าแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“อืม” เป่ยกงถังรับคำอย่างเรียบง่ายคำหนึ่ง หลังจากนั้นจึงหมุนกายเดินออกไป
โอวหยางเฟยพยักหน้าก่อนเดินออกไปอีก
ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนทั้งสองจากไปแล้วก็เอ่ยพลางทอดถอนใจว่า “สองคนนี้ยังคงเย็นชาเหลือเกิน!”
“นี่ก็ดีขึ้นตั้งมากมายแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็มาช่วยเจ้าปัดกวาดทำความสะอาด อีกทั้งยังสนใจในเรื่องราวของเจ้าด้วย ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ล่ะก็ เกรงว่าสองคนนั้นคงจะตรงกลับห้องกันหมด ไม่รับรู้เรื่องราวของโลกภายนอก” เว่ยจือฉีพูด
“อืม ข้าเองรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายที่สองคนนั้นยอมอยู่ช่วยข้าปัดกวาดทำความสะอาด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ห้องของข้ากลายเป็นสภาพนี้ไปได้อย่างไรกัน ดูเหมือนห้องที่ถูกทำลายอย่างไรอย่างนั้นเลย!”
“ก็แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด “หลังจากที่เจ้าเกิดเรื่องแล้วพวกเราไม่เคยเข้าไปในห้องเจ้าเลย ดังนั้นจึงไม่เคยรู้เลยว่าห้องของเจ้าถูกทำจนกลายเป็นสภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าทิ้งข้าวของที่เสียหายไปหรือยัง”
“ทิ้งของตกแต่งไว้หลายชิ้นอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“น่าจะเป็นตอนที่พวกเราไปเข้าชั้นเรียนแล้วถูกคนบุกเข้ามานั่นแหละ” เว่ยจือฉีพูด
“อืม ของที่ทิ้งไปเหล่านั้นมิใช่ของที่มีความสลักสำคัญอันใดเป็นพิเศษหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“โยวเย่ว์ เจ้ากลับมาแล้วจะต้องทำให้คนที่ทำร้ายเจ้าในตอนนั้นตกอกตกใจแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีกำหมัดแน่น เมื่อนึกถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปแล้วถูกผู้คนพบเห็น บนใบหน้าของคนเหล่านั้นจะแสดงสีหน้าเช่นไร เขาก็ตื่นเต้นไม่น้อยเลย
“อืม ข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่าคนเหล่านั้นจะมีสีหน้าเป็นเช่นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้ม
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์เฟิงทราบเรื่องที่เจ้ากลับมาแล้วหรือยัง” เว่ยจือฉีถาม
“เขาคงไม่รู้ว่าข้ากลับมาที่วิทยาลัยแล้วกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเฟิงจือสิงแล้วมุมปากยกยิ้ม ท่านปู่บอกว่าในช่วงที่ผ่านมานี้เขาคอยเป็นห่วงตนมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของเขาก่อนหน้านี้จะแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอนึกถึงแล้วก็มิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด “ช่วงบ่ายข้าจะไปหาเขาที่ห้องทำงานสักหน่อย”
“ดีเลย เช่นนั้นเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด พวกเราขอตัวกลับก่อน”
เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีลุกขึ้นจากไปพร้อมกัน
เจ้าคำรามน้อยที่หมอบอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดลืมตาขึ้นมามองซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดว่า “คนสี่คนนี้เป็นห่วงเป็นใยเจ้าอย่างจริงใจเลยนะ!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
เจ้าคำรามน้อยบิดขี้เกียจแล้วพูดว่า “ข้าเป็นใคร ข้าเป็นถึงคำรามเทพ เป็นสัตว์มงคลเชียวนะ ไวต่อความรู้สึกของมนุษย์เป็นที่สุดเลยละ”
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ เธอเองก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันว่ากลับมาคราวนี้ พวกเขามีความประหลาดใจและความยินดีอยู่ในแววตา ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาล้วนมาจากใจทั้งสิ้น แม้กระทั่งเป่ยกงถังยังมีแววยินดีให้เห็นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ขึ้นไปพักผ่อนข้างบนสักหน่อย หลังจากนั้นค่อยไปหาท่านอาจารย์เฟิงก็แล้วกัน” พูดจบแล้วเธออุ้มตัวเจ้าคำรามน้อยที่อยู่บนโต๊ะขึ้นไปข้างบน
ช่วงบ่ายไม่มีคาบเรียน พวกเจ้าอ้วนชวีจึงฝึกยุทธ์อยู่ในห้องกันหมด ซือหม่าโยวเย่ว์ไปที่ห้องทำงานของเฟิงจือสิงเพียงคนเดียว
“ก๊อกๆ”
เฟิงจือสิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจึงลืมตาทั้งสองขึ้นแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “เข้ามาสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ผลักประตูเข้าไปแล้วทำท่าคารวะเฟิงจือสิงก่อนจะพูดว่า “ท่านอาจารย์เฟิง ข้ามารายงานตัวแล้วขอรับ”
“เตรียมกลับมาเข้าเรียนแล้วหรือ” เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วส่งสัญญาณให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว ข้าจัดการเรื่องที่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงกลับมาเรียน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเก้าอี้ แต่ก็ยังเลือกที่จะยืนอยู่ต่อไป
ตอนที่เธอเผชิญหน้ากับเฟิงจือสิงมักเกิดความรู้สึกมั่นคงราวกับมองภูเขาไท่ซานอยู่ตลอด เธอรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนผู้นี้มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งพลังยุทธ์ของตนยกระดับขึ้น สัมผัสของเธอก็แรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
“เอาละ เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็เริ่มเข้าชั้นเรียนตามปกติก็แล้วกัน” เฟิงจือสิงพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อนนะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“รอเดี๋ยวสิ” เฟิงจือสิงเรียกเธอเอาไว้ “อาจารย์ใหญ่ทราบว่าเจ้ากลับมาแล้ว เขาสนใจใคร่รู้ว่าเจ้าถูกส่งตัวไปที่ไหนมากเหลือเกิน บอกว่าพอเจ้ากลับมาแล้วก็ให้ไปพบเขาด้วย เจ้ามากับข้าสิ”
เฟิงจือสิงพูดจบแล้วพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังห้องทำงานอาจารย์ใหญ่
นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหม่าโยวเย่ว์ได้พบกับอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัย ซือหม่าเลี่ยเคยบอกเธอว่าเขากับอาจารย์ใหญ่เป็นเพื่อนสนิทกัน หากมีเรื่องอะไรก็ไปหาเขาได้ ด้วยเหตุนี้อาจารย์ใหญ่ในจินตนาการของเธอจึงน่าจะเป็นคนที่คล้ายๆ กันกับซือหม่าเลี่ย
แต่พอได้พบกันแล้วเธอจึงค้นพบว่าอาจารย์ใหญ่ท่านนี้ไม่ได้เหมือนกันกับท่านปู่ของตนเลย
ซือหม่าเลี่ยนั้นดูมีจิตวิญญาณของนักรบ ทำให้คนเกิดความกดดันอันมองไม่เห็น แต่อาจารย์ใหญ่ท่านนี้กลับทำให้คนรู้สึกสบายๆ คล้ายกับสายลมอันไร้ซึ่งขีดจำกัดอย่างไรอย่างนั้น
อาจารย์ใหญ่มองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไร้ซึ่งความประหลาดใจ เพียงแค่ถามเธอเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่เธอหายสาบสูญไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างง่ายๆ เพียงแค่ว่าเธอถูกส่งตัวไปยังเทือกเขาผู่สั่ว โดยอยู่เพียงแค่รอบนอกเท่านั้น ตอนที่ประสบอันตรายก็ได้คนกลุ่มหนึ่งช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นจึงร่อนเร่กับพวกเขาอยู่ที่รอบนอกหลายเดือน
เฟิงจือสิงและอาจารย์ใหญ่ต่างก็มิได้ตั้งข้อสงสัยกับคำพูดของเธอ แต่มิได้บอกว่าเชื่อ พวกเขาแค่เห็นเธอกลับมาอย่างปลอดภัยนับใช้ได้แล้ว
พอออกมาจากห้องทำงานอาจารย์ใหญ่แล้วซือหม่าโยวเย่ว์ยังนึกถึงท่าทางที่เฟิงจือสิงลูบหัวตนตอนที่แยกจากกันเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกนั้นคล้ายกับกำลังลูบหัวลูกหลานของตนอย่างไรอย่างนั้น เพราะว่าคิดจนสติล่องลอยจึงมิได้ระวังด้านหน้า ตอนออกมาจากห้องทำงานจึงชนเข้ากับคนที่เข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบร้อน
“โอ๊ย ใครกันที่ไม่รู้จักลืมตามองเสียบ้าง! อยากตายหรืออย่างไร!” คนที่ถูกชนตะคอกใส่เธอ แต่หลังจากที่ได้เห็นชัดเจนว่าเป็นเธอแล้วจึงพูดอย่างตกใจว่า “เป็น… เป็นเจ้าเองหรือ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเหอชิวจือที่กลายเป็นคนเย่อหยิ่งหลังจากไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่เดือนพลันนึกถึงท่าทีระมัดระวังตัวยามที่นางอยู่ข้างหลังเมิ่งถิงในตอนนั้นขึ้นมา ความเปลี่ยนแปลงนี้ช่างใหญ่โตเสียเหลือเกิน
ดูท่าทางคนที่อยู่เบื้องหลังนางจะทำให้นางได้ใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
…………………………