“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ!”
“เป็นเจ้าจริงๆ หรือ”
นักเรียนห้องหนึ่งจำนวนไม่น้อยต่างยืนกันอยู่นอกประตู เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ในประตูใหญ่ต่างพากันตกอกตกใจไม่น้อย
“เจ้ามีชีวิตรอดกลับมาแล้วจริงๆ เสียด้วย! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางตายหรอก” เมิ่งถิงเหลือบตามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะไม่ได้น่าฟังแต่อย่างใด ทว่าซือหม่าโยวเย่ว์ยังได้ยินความเป็นห่วงสายหนึ่งแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ
โอ้ แม่คนนี้กำลังเป็นห่วงตนอยู่อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นตอนนั้นก็น่าจะไม่ใช่นางที่บงการให้เหอชิวจือทำร้ายตนสินะ
เธอเหลือบตามองเหอชิวจือที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง เหอชิวจือถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว คิดว่าเธอจะมาเปิดโปงตน
แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างมิได้มีความหมายลึกซึ้งอะไรให้นางแล้วมิได้สนใจนางอีก ก่อนจะถามคนอื่นๆ ว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่กันหมดเลยเล่า”
“พวกเรามาจับฉลากกันน่ะ” เมิ่งถิงตอบ
“จับฉลากอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นแววตาสงสัยของซือหม่าโยวเย่ว์ เฉินอานผู้เป็นหัวหน้าห้องก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “หลังจากเรียนไประยะหนึ่งแล้วพวกเราจะเริ่มต้นรับภารกิจของวิทยาลัยกัน ตอนนี้ไปจับฉลาก เลือกภารกิจที่แต่ละกลุ่มจะได้รับน่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อก็ดูเหมือนจะออกไปทำภารกิจกันอยู่เป็นประจำจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วถามว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องไปจับฉลากกับพวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่”
เฉินอานส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า “เจ้าไม่ต้องจับฉลากแล้วล่ะ กลุ่มของพวกเจ้าถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้ไปทำภารกิจใด”
“หืม”
“เรื่องนี้เจ้ากลับไปถามพวกเว่ยจือฉีก็รู้แล้ว” เฉินอานพูด
“อ้อ ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ เธอกลับไปถามดูก็รู้เรื่องแล้ว “เช่นนั้นข้ากลับก่อนละ พวกเจ้าไปจับฉลากกันเถิด”
พูดจบแล้วเธอมองเหอชิวจือที่ยืนไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดปราดหนึ่งพร้อมยิ้มอย่างร้ายกาจให้ แล้วจึงก้าวเท้าเดินจากไป
“ไปกันเถิด พวกเราไปพบอาจารย์เฟิงกัน” เฉินอานนำทางทุกคนเดินไปยังห้องทำงานของเฟิงจือสิง หลังจากที่ทุกคนไปกันแล้ว เหอชิวจือก็มองเงาหลังของซือหม่าโยวเย่ว์ที่เคลื่อนจากไป เมื่อนึกถึงแววตาที่เขามองตนเองก่อนจากไปหัวใจก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในค่ายกลนั้นจะต้องแน่ใจว่าตนเป็นคนผลักนางอย่างแน่นอน ตอนนี้พอเห็นตนแล้วมิได้เปิดโปง ก็จะต้องคิดวางแผนร้ายอะไรอยู่เป็นแน่
เมื่อนึกถึงจวนแม่ทัพที่หนุนหลังซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ เธอตกใจกลัวเสียจนเหงื่อเยียบเย็นแตกพลั่ก ถ้าหากนางมาหาตนเพื่อแก้แค้น จัดการแค่นางคนเดียวก็คงไม่หนำใจหรอก
ไม่ได้การ จะต้องไปให้คนพวกนั้นปกป้องตนเสียแล้ว!
ระยะเวลาเพียงชั่วพริบตา หัวใจของเหอชิวจือพลิกกลับไปมาหลายตลบแล้ว
“ชิวจือ เจ้ายังไม่ตามมาอีกหรือ” เมิ่งถิงเห็นเหอชิวจือยังยืนอยู่ที่เดิมจึงตะโกนขึ้น
“มาแล้ว” เหอชิวจือยกชายกระโปรงวิ่งตามไป
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังที่พักแล้วบุกตรงเข้าไปยังห้องของเจ้าอ้วนชวี
“เจ้าอ้วนชวี เจ้าอ้วนชวี!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบประตูห้องของเจ้าอ้วนชวี แต่เว่ยจือฉีที่อยู่ห้องข้างๆ กลับเปิดประตูออกมาก่อน
“มีอะไรหรือ”
“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ออกไปหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเว่ยจือฉีแล้วจึงพูดขึ้น “ถ้างั้นข้าถามเจ้าแทนก็ได้ ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้าหน่อย”
เจ้าอ้วนชวีเปิดประตูพลางขยี้ตามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “โยวเย่ว์ มีอะไรหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเว่ยจือฉีปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็เข้าไปในห้องของเจ้าอ้วนชวี ส่วนเว่ยจือฉีก็ตามเข้ามาเช่นกัน
“ดูจากที่เจ้าเรียกอย่างร้อนใจเช่นนี้ เพราะคิดถึงข้าใช่หรือไม่เล่า” เจ้าอ้วนชวีเห็นท่าทางเช่นนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พูดยิ้มๆ
ตอนนี้เมื่อได้มคลุกคลีกับซือหม่าโยวเย่ว์และรู้ว่าเธอมิได้ชอบไม้ป่าเดียวกันอย่างเช่นที่ร่ำลือ ดังนั้นจึงได้ล้อเล่นกับเธอเช่นนี้ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือมิใช่ว่าข่าวลือผิดไป หากแต่วิญญาณที่อยู่ภายในร่างกายเปลี่ยนไปแล้วต่างหาก
ซือหม่าโยวเย่ว์หาม้านั่งตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลงก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าไปหาอาจารย์เฟิง ก็พบกับพวกเฉินอานเข้าที่หน้าประตูอาคารเรียน พวกเขาบอกว่าจะไปจับฉลากภารกิจ ข้าจึงถามเขาว่าแล้วของข้าเล่า พวกเขาก็ให้ข้ากลับมาถามพวกเจ้านี่แหละ ที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกันหรือ”
“อ้อ เจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดี ถ้าเจ้าไม่พูด พวกเราก็คงลืมกันไปแล้ว” เจ้าอ้วนชวีมาถึงข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะนั่งลงแล้วพูดว่า “ที่วิทยาลัยของพวกเราใช้เวลาครึ่งหนึ่งไปกับการเรียน ส่วนเวลาอีกครึ่งหนึ่งล้วนหมดไปกับการฝึกฝนและฝึกยุทธ์ด้วยตัวเอง เรื่องนี้เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
“ผ่านไปอีกเดือนสองเดือน ก็จะถึงเวลาฝึกฝนของพวกเราแล้ว พอถึงตอนนั้นพวกเราก็ต้องออกไปทำภารกิจอย่างหนึ่งของวิทยาลัยกันก่อน ซึ่งภารกิจนั้นมีทั้งยากและง่าย ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องใช้การจับฉลากในการตัดสินเรื่องนี้” เจ้าอ้วนชวีอธิบายต่อไป
“เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่ต้องจับฉลากเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นคนอื่นไปกันหมดแล้ว หากตนเองไม่ไปก็ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย
“แค่กๆ เพราะว่าการปฏิบัติภารกิจนี้ถูกจัดกลุ่มเอาไว้แล้วน่ะสิ หนึ่งเรือนพักคือหนึ่งกลุ่ม ดังนั้นเจ้าจึงเป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกเรานี่ไง” เจ้าอ้วนชวีมองเว่ยจือฉีปราดหนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์อย่างขอโทษขอโพยอยู่บ้างว่า “เพราะพวกเราไม่รู้ว่าเจ้าจะกลับมา ดังนั้นวันนี้ตอนที่อาจารย์เฟิงบอกว่าจะเลือกภารกิจ พวกเราก็เลยเลือกภารกิจที่มีระดับความยากมากที่สุดมาแล้ว ซึ่งเป็นภารกิจระดับหนึ่งเพียงภารกิจเดียวของชั้นปีที่หนึ่งด้วย”
“ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ต้องไปจับฉลากแล้วสินะ และเป็นเพราะว่าข้าอยู่เรือนพักเดียวกันกับพวกเจ้า ดังนั้นข้าก็เลยต้องปฏิบัติภารกิจนี้ด้วยกันกับพวกเจ้าใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนทั้งสองแล้วถามขึ้น
เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีพยักหน้า
“ภารกิจนี้ออกจะอันตรายอยู่บ้าง เช่นนั้นเจ้าเพิ่งจะกลับมา จะไม่ไปกับพวกเราก็ได้นะ” เว่ยจือฉีคิดว่าซือหม่าโยวเย่ว์ตำหนิที่พวกเขาเลือกภารกิจที่อันตรายอย่างยิ่งมาจึงเอ่ยอย่างประนีประนอม
“เหตุใดจึงจะไม่ไปเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมเรือนพักเดียวกันมิใช่หรือ วางใจเถิด ข้าไม่มีทางเป็นตัวถ่วงของพวกเจ้าแน่”
เมื่อเห็นแววตื่นเต้นในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ เว่ยจือฉีก็ประสานสายตากับเจ้าอ้วนชวีแวบหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้ไม่กลัวเกรงอันตรายเลยหรือไร!
“ใช่แล้ว เจ้าได้บอกอาจารย์เฟิงเรื่องที่มีคนทำร้ายเจ้าหรือไม่” เจ้าอ้วนชวีนึกถึงที่ซือหม่าโยวเย่ว์บอกว่าคนที่ทำร้ายเธอเป็นคนในชั้นเรียนเดียวกันกับตนจึงหลุดปากถามออกมา
“เปล่าหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า “แต่ข้าได้พบกับนางแล้วนะ”
“เช่นนั้นเจ้าได้เปิดโปงนางหรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถามอย่างตื่นเต้น
“เปล่าเช่นกัน”
“เหตุใดจึงไม่เปิดโปงนางเสียเลย นางคิดจะทำร้ายเจ้าจนถึงแก่ความตายเลยนะ!” เจ้าอ้วนชวีตะโกนเสียงดังลั่น
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางกรุ่นโกรธถึงขนาดนั้นของเจ้าอ้วนชวีก็รู้ว่าเขารู้สึกไม่เป็นธรรมแทนตน จึงวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ให้เวลานางสักสองวันก่อน”
“ถ้าหากข้าเป็นเจ้า เมื่อเห็นศัตรูของตัวเองก็จะพุ่งเข้าไปจัดการมันให้ตายไปเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ที่แท้แล้วเป็นใครกันหรือที่ผลักเจ้า” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยถาม
“ในช่วงหลายเดือนมานี้ มิใช่ว่าเหอชิวจือผู้นั้นกลายเป็นสูงส่งหนักหนาหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เป็นนางเองหรือที่ผลักเจ้า” เว่ยจือฉีถามกลับ
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้ายอมรับ
“ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง” เจ้าอ้วนชวีพูด “หลายเดือนนี้นางวางตัวสูงส่งเสียเหลือเกิน ว่ากันว่าเป็นเพราะประจบประแจงคนของตระกูลน่าหลาน”
“ตระกูลน่าหลานหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคาง ถ้าหากเป็นตระกูลพวกเขา ย่อมมีแรงจูงใจและเหตุผลในการสังหารตนอยู่แล้ว
“โยวเย่ว์ เมื่อเร็วๆ นี้บรรพชนของตระกูลน่าหลานเพิ่งจะเลื่อนระดับได้สำเร็จ กลายเป็นราชันวิญญาณ ก่อนหน้านี้เย่อหยิ่งเสียจนจมูกแทบจะแตะผืนฟ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ธรรมดาเข้าไปใหญ่ ถ้าหากเป็นพวกเขาที่ทำร้ายเจ้าจริงๆ ต่อให้ท่านปู่ของเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์อาณาจักร ถ้าหากบุ่มบ่ามเข้าไปเอาผิดพวกเขา เกรงว่าก็คงจะไม่เป็นผลแต่อย่างใด” เจ้าอ้วนชวีเป็นคนเมืองหลวง จึงค่อนข้างจะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดี
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นข้าจึงต้องรวบรวมหลักฐานก่อน ให้คนที่ทำร้ายข้าไสหัวออกไปเสียก่อนแล้วค่อยลงมือ”
“เช่นนั้นเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรหรือ” เว่ยจือฉีเห็นแววตาเยียบเย็นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน
……………………