ซือหม่าโยวเย่ว์ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “จะต้องให้พวกเขาสารภาพออกมาเองจึงจะใช้ได้ ข้าจำได้ว่าที่วิทยาลัยมีกฎห้ามทำร้ายนักเรียนคนอื่นอยู่ ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้ว่าพวกเขาลอบทำร้ายข้า เช่นนั้นก็ต้องถูกขับออกจากวิทยาลัย ขอเพียงแค่พวกนางมิใช่นักเรียนของวิทยาลัยเราแล้ว อยากจะจัดการพวกนางอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้าเองแล้ว”
“อยากจะให้พวกนางยอมรับ เกรงว่าเรื่องนี้จะมิใช่เรื่องง่ายน่ะสิ ต่อให้พวกนางยอมรับต่อหน้าเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” เจ้าอ้วนชวีพูด
“อ้อ แค่มีเครื่องบันทึกเสียงก็ใช้ได้แล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเครื่องบันทึกเสียงในชาติก่อนขึ้นมา ถ้าหากมีของสิ่งนั้นก็คงจะสะดวกไม่น้อยเลย
“เครื่องบันทึกเสียงหรือ มันคืออะไรกัน”
“ก็คือ… เอ่อ… เครื่องมือที่เอาไว้ใช้บันทึกเสียงน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอธิบาย “เพียงแค่บันทึกเสียงเอาไว้ข้างใน แล้วหลังจากนั้นก็จะฟังซ้ำได้น่ะ”
“เจ้าลองใช้หินเสียงดูสิ” เสียงของโอวหยางเฟยดังมาจากประตูที่เปิดออก
“โอวหยางเฟย เจ้าก็มาแล้วเหมือนกัน เข้ามานั่งสิ” เจ้าอ้วนชวียิ้มพลางส่งเสียงเรียก
โอวหยางเฟยมองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่งโดยไม่ได้เข้าไปแล้วพูดว่า “ผ่านทางมาแล้วได้ยินเข้าพอดีน่ะ เรื่องนี้เจ้าใช้หินเสียงได้นะ”
พูดจบแล้วเขาก็เดินจากไป
“ใช่แล้ว ข้าลืมหินเสียงไปได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีเคาะหน้าผากตนเองครั้งหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น
“หินเสียงคือสิ่งใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“หินเสียงก็คล้ายๆ กันกับเครื่องบันทึกเสียงที่เจ้าว่านั่นแหละ เพียงแค่บันทึกเสียงลงไป หลังจากที่ส่งปราณวิญญาณเข้าไปแล้วก็จะปล่อยเสียงที่บันทึกไว้ออกมาได้” เว่ยจือฉีพูดอธิบาย
“จริงหรือ เช่นนั้นพวกเจ้ามีหินเสียงหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“หินเสียงนั้นล้ำค่าหายากยิ่ง พวกเราจะไปมีกันได้อย่างไร” เว่ยจือฉีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง เจ้าอ้วนชวีก็ส่ายหน้าเช่นกัน “แต่เจ้าจะลองไปดูที่หอเซวียนหยวนก็ได้นะ ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจจะมีก็เป็นได้”
“ใช่แล้ว ข้าลองไปหาดูก่อนดีกว่า ถ้าหากไม่มีก็คงได้แต่คิดหาวิธีอื่นแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกไป
“พวกเราไปพร้อมกันเลยดีกว่า ข้าเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี” เจ้าอ้วนชวีพูด
“อืม ข้าก็ทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย” เว่ยจือฉีพูด
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม
จากนั้นทั้งสามคนก็ออกไปด้วยกัน
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วเป่ยกงถังก็เปิดประตูพลางมองไปทางประตูใหญ่ ก่อนจะลูบแหวนเก็บวัตถุบนนิ้วมือ
หอเซวียนหยวนเป็นร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ภายในนั้นมียาวิเศษ อาวุธวิญญาณ และสัตว์อสูรวิเศษนานาชนิด ถ้าหากบอกว่าเป็นสิ่งของที่แม้กระทั่งหอเซวียนหยวนยยังไม่มี ที่อื่นๆ ก็ยิ่งไม่มีทางมีอย่างแน่นอน
ตอนที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์สามคนเข้าไป เสี่ยวเอ้อร์ก็เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“โอ้ นี่มิใช่คุณชายห้าหรอกหรือ ไม่พบเห็นท่านมาเนิ่นนานเลยทีเดียว มิทราบว่าคราวนี้ที่คุณชายห้ามาเพราะอยากซื้อหาของสิ่งใดหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายตัวไปที่วิทยาลัยนั้นเป็นที่ล่วงรู้กันไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้พอเห็นซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่นี่ ทุกคนต่างตกอกตกใจกันไม่มากก็น้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เธอก็เคยมาที่นี่อยู่หลายครั้งเพื่อหาสิ่งของที่มู่หรงอานชมชอบ
เธอมองบริเวณที่วางของเบ็ดเตล็ดแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าอยากได้หินเสียงน่ะ”
“หินเสียงหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์สะดุ้งครั้งหนึ่งเพราะคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ถึงกับต้องการสิ่งนี้ จากนั้นก็พูดอย่างขอโทษขอโพยว่า “คุณชายห้า ในร้านของพวกข้าตอนนี้ไม่มีหินเสียงหรอกขอรับ”
“ไม่มีหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด “ร้านนี้ของพวกเจ้าเป็นร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรตงเฉิน แต่พวกเจ้าก็ยังไม่มีเลยหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “มิผิดที่พวกข้าเป็นร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรตงเฉิน แต่ทว่าหินเสียงนี้หาได้ยากเย็นโดยแท้ เวลาหลายร้อยปีก็ยังไม่แน่ว่าจะมีปรากฏขึ้นมาสักก้อนหนึ่ง แม่ศรีเรือนยากจะหุงหาอาหารหากไม่มีข้าวสาร สิ่งของที่ไม่มีอยู่บนโลกเลยด้วยซ้ำ พวกเราก็ย่อมไม่มีอยู่แล้วล่ะขอรับ”
“แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่ามีหินเสียงก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมามิใช่หรือ ดูเหมือนว่าจะเป็นข่าวที่ปล่อยออกมาจากพวกเจ้าที่นี่ด้วยนี่นา” อดพูดไม่ได้ว่าข่าวของเจ้าอ้วนชวีนั้นช่างฉับไวนัก
“สองเดือนก่อนหน้านี้พวกข้ามีอยู่ก็จริง แต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ถูกคนซื้อไปแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูด
“ถูกคนซื้อไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ตระกูลน่าหลานขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ตอบ
ซือหม่าโยวเย่ว์กับเจ้าอ้วนชวีประสานสายตากันแวบหนึ่ง ถ้าหากหินเสียงนี้ถูกผู้อื่นซื้อไปแล้ว ด้วยสถานะและกำลังทรัพย์ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว การจะซื้อกลับมาก็ยังพอมีความเป็นไปได้ แต่หินเสียงก้อนนี้ถูกคนของตระกูลน่าหลานซื้อไป การจะซื้อกลับมาแทบจะมีความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์เลยทีเดียว
ไม่มีหินเสียง คนทั้งสามก็ทำได้แค่กลับไปแล้ว
“โยวเย่ว์ ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีหินเสียง พวกเราก็คิดหาวิธีอื่นกันได้” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยปลอบ
“อืม วิธีอื่นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้หรอกนะ เพียงแต่จะยุ่งยากกว่ามากเท่านั้นเอง ถ้าหากมีหินเสียง พวกเราก็จะขับไล่พวกนางออกไปจากวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ไม่อย่างนั้นให้ข้าส่งจดหมายกลับบ้านสักฉบับหนึ่ง ลองดูว่าจะให้พวกเขาช่วยหาดูได้หรือไม่” เว่ยจือฉีพูด
“ไม่ต้องหรอก ได้หินเสียงมาภายในวันนี้จะเป็นการดีที่สุด หากผ่านวันนี้ไป ถึงจะได้มาก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เหตุใดจึงต้องเป็นวันนี้ด้วยเล่า” เจ้าอ้วนชวีไม่เข้าใจ
“เพราะว่าคืนวันนี้เหอชิวจือจะต้องไปพบคนผู้นั้นน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีต่างก็แสดงท่าทีสิ้นหวังอยู่บ้างจึงยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกน่า ถึงแม้ว่าคืนนี้จะเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หากพลาดไปแล้วก็น่าเสียดายอยู่บ้าง แต่ยังมีวิธีอื่นอยู่อีกมิใช่หรือไร พวกเจ้าก็อย่ามัวหน้านิ่วคิ้วขมวดกันอยู่เลย”
“อืม ถ้าหากเจ้ามีความต้องการสิ่งใดก็บอกพวกเรามาได้เลยนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ได้สิ ข้าจะบอกแน่”
“เอี๊ยด…”
ประตูห้องของเป่ยกงถังถูกเปิดออก เป่ยกงถังปรากฏตัวอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นคนทั้งสามที่อยู่ในลานบ้านแล้วจึงโยนของสิ่งหนึ่งมาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ หลังจากนั้นก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าหิวแล้ว คืนนี้เจ้าจะทำอาหารหรือไม่ หากไม่ทำอาหารข้าก็จะไปกินที่โรงอาหารแล้วนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์รับสิ่งของที่เป่ยกงถังโยนมา ก็พบว่าคือก้อนหินขนาดเล็กก้อนหนึ่ง ลักษณะภายนอกนั้นดูไม่ต่างจากก้อนหินธรรมดาทั่วไปเลย เพียงแต่ด้านบนมีรอยพื้นผิวสีม่วงอยู่บ้างเท่านั้น
“นี่คือสิ่งใดหรือ” เมื่อเธอเห็นว่าก้อนหินนี้หน้าตาดูดีใช้ได้ ความรู้สึกในมือก็ไม่เลวด้วย จึงเอ่ยถามขึ้น
“หินเสียงหรือ!” เว่ยจือฉีมองก้อนหินพลางพูดอย่างตกใจ
“นี่ก็คือหินเสียงอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถัง แล้วนางมีของสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน
ระหว่างทางกลับเจ้าคำรามน้อยก็พูดอย่างดูแคลนว่าโลกใบนี้ไม่มีอะไรเลย สถานที่ที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่กันก่อนหน้านี้ เจ้าหินเสียงนี่ย่อมเป็นสิ่งของที่ถูกโยนเอาไว้บนพื้นโดยไม่มีใครหยิบขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ทั่วทั้งแผ่นดินยังไม่มีสักชิ้น ช่างน่าอนาถเหลือเกิน น่าอนาถเหลือเกิน!
ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะยังไม่รู้ว่าโลกที่เจ้าคำรามน้อยพูดถึงแห่งนั้นคือที่ไหน แต่เธอก็รู้ว่าด้านบนเหนือดินแดนอี้หลินแห่งนี้ยังมีดินแดนแห่งอื่นอยู่ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นล้ำเลิศกว่าที่นี่มากมายนัก
“อืม ก่อนหน้านี้ได้มาโดยบังเอิญน่ะ” เป่ยกงถังอธิบายอย่างง่ายๆ “เจ้ายังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะทำอาหารหรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์คลี่ปากยิ้มพลางพยักหน้าเอ่ยว่า “ทำสิ ตอนนี้ยังเร็วเกินไป พวกเขาก็ไม่มีทางมีความเคลื่อนไหวอันใดหรอก กินข้าวให้อิ่มค่อยลงมือก็แล้วกัน”
พูดจบแล้วเธอก็เก็บหินเสียงเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องครัว เพราะว่าเคยชินตอนอยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วเสียแล้ว เธอจึงชินกับการเก็บข้าวของเอาไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ จึงลืมเรื่องที่ว่าในสายตาของพวกเขานั้นตนเองยังไม่อาจบำเพ็ญได้ไป มิอาจใช้แหวนเก็บวัตถุนี้ได้
เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีได้ยินว่าจะมีของอร่อยกิน จึงได้จากไปพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์โดยไม่ทันสังเกตว่าซือหม่าโยวเย่ว์นั้นบำเพ็ญได้แล้ว
เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างครุ่นคิดปราดหนึ่งแต่กลับมิได้พูดสิ่งใด พลันหมุนกายเข้าไปในห้อง รอซือหม่าโยวเย่ว์มาเรียกไปกินข้าว
……………………