เล่ม 1 ตอนที่ 57 เริ่มต้นแผนการ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายตัวไป ทุกคนก็ไม่เคยได้กินอาหารอร่อยเหมือนที่เธอทำอีกเลย ดังนั้นคราวนี้เธอจึงทำอาหารโต๊ะใหญ่ นอกจากส่วนที่เก็บเอาไว้ให้โอวหยางเฟยแล้ว ที่เหลือก็ถูกทุกคนจัดการจนเรียบ

หลังจากกินหมดแล้วเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉอยู่เก็บล้างถ้วยชามอย่างรู้หน้าที่ หลังจากเก็บล้างเรียบร้อยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับข่าวที่เจ้าคำรามน้อยส่งมาบอกว่าเหอชิวจือออกมาแล้ว

ขณะนี้เป็นเวลาใกล้ฟ้าสาง เหอชิวจือออกจากที่พักในเวลานี้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่านางจะทำอะไร

“ข้าจะออกไปแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับพวกเจ้าอ้วนชวี

“เหอชิวจือออกมาแล้วใช่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

“เช่นนั้นพวกเราออกไปกันเถิด” เว่ยจือฉีพูดพลางถอดผ้ากันเปื้อนที่ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมไว้ให้ออก

ครั้งแรกที่สวมใส่สิ่งนี้ ชายทั้งสองออกจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เพราะไม่อยากให้เสื้อผ้าสกปรก คิดๆ ดูแล้ว ถึงอย่างไรก็อยู่ในบ้านตัวเอง จึงไม่คิดมาก

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้พูดอะไรแล้วนำคนทั้งสองออกไป ทั้งหมดไปที่ริมทะเลสาบเล็กของวิทยาลัยอย่างงุ่มง่าม โดยอ้างอิงจากทางที่เจ้าคำรามน้อยบอก

“โยวเย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าพวกนางอยู่ที่นี่” เจ้าอ้วนชวีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มุ่งตรงมาที่นี่จึงเอ่ยถามขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันได้ตอบ เจ้าคำรามน้อยก็เหาะเข้ามาแล้ว

เมื่อเห็นเจ้าคำรามน้อย คนทั้งสองพลันเข้าใจกระจ่าง ที่แท้ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ส่งเจ้าคำรามน้อยออกมาสังเกตการณ์เหอชิวจือตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว

“เย่ว์เย่ว์ ตอนนี้หญิงเลวผู้นั้นออกมาแล้ว แต่ยังไม่มีคนอื่นมาเลย!” เจ้าคำรามน้อยบอกสถานการณ์

เมื่อได้ฟังเจ้าคำรามน้อยพูด อีกสองคนต่างเบิกตาโต

พวกเขาคิดมาตลอดว่าเจ้าคำรามน้อยเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงที่ซือหม่าโยวเย่ว์เลี้ยงเอาไว้  เมื่อนึกถึงว่ามันพูดจาได้ เช่นนั้นอย่างน้อยมันต้องเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับสัตว์อสูรทิพย์เลยน่ะสิ!

ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยเอาไว้พลางพูดกับเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีว่า “พวกเราไปหาที่ซ่อนตัวกันสักที่หนึ่งก่อนดีกว่า ไม่แน่ว่าอีกครู่หนึ่งคนเบื้องหลังเหอชิวจืออาจจะมาแล้วก็ได้”

“ได้สิ”

ทั้งสามคนเห็นว่าที่ศาลาพักร้อนริมทะเลสาบมีภูเขาจำลองอยู่อันหนึ่ง จึงค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอยู่หลังภูเขาจำลอง รอการมาถึงของคนผู้นั้นพร้อมกันกับเหอชิวจือที่อยู่ในศาลาพักร้อน

เหอชิวจือมองออกไปนอกศาลาพักร้อนอยู่ตลอดพลางเดินไปเดินมาอย่างร้อนรน ผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งจึงค่อยๆ เดินเข้ามา

“คุณหนูน่าหลาน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!” เมื่อเหอชิวจือเห็นผู้ที่นางรอมาถึงแล้วจึงเข้าไปต้อนรับ

น่าหลานหลานเหลือบตามองเหอชิวจือที่สีหน้าร้อนรนนัก ก่อนจะเดินตรงไปยังศาลาพักร้อนแล้วนั่งลง หลังจากนั้นจึงถามว่า “พูดมาสิว่าเรียกข้าออกมาดึกดื่นเช่นนี้ทำไม”

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของเหอชิวจือผู้นี้จะเป็นน่าหลานหลาน หญิงสาวผู้ที่ยืนดูร่างเดิมนี้ถูกทุบตีปางตายอยู่กับมู่หรงอานจริงๆ

เห็นได้ชัดเจนว่าการปรากฏตัวของน่าหลานหลานผู้นี้ทำให้เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีสะดุ้งคราหนึ่งเช่นกัน ต่างคิดไม่ถึงว่าผู้ที่คิดทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์จะเป็นน่าหลานหลานผู้ไร้ซึ่งความเชื่อมโยงใดๆ

“คุณหนูน่าหลาน ที่ข้าเรียกท่านออกมาเพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเจ้าค่ะ” เหอชิวจือพูดแล้วก็หมอบลงไปบนพื้นพลางมองน่าหลานหลานแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูน่าหลาน ได้โปรดช่วยชีวิตด้วยเถิด!”

คำพูดของเหอชิวจือดึงความคิดของคนที่อยู่ด้านหลังภูเขาจำลองทั้งสามคนกลับมา ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาหินเสียงออกมาแล้วส่งพลังวิญญาณเข้าไปข้างใน

เมื่อลวดลายสีม่วงบนหินเสียงก้อนนั้นสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ ก็โคจรบนก้อนหินราวกับมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจจนเกือบจะโยนมันออกไปเสียแล้ว

ในตอนนี้เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีจึงค่อยค้นพบว่าซือหม่าโยวเย่ว์ใช้แหวนเก็บวัตถุ ได้เห็นเธอใช้พลังวิญญาณขับเคลื่อนหินเสียง ทำให้คนทั้งคู่ตกใจยิ่งกว่าตอนที่เห็นน่าหลานหลานเมื่อครู่เสียอีก

“นี่…” เจ้าอ้วนชวีคิดจะเอ่ยคำพูด แต่กลับถูกคนปิดปากเอาไว้

เว่ยจือฉีส่ายหน้าให้เจ้าอ้วนชวีเป็นสัญญาณว่าไม่ให้เอ่ยคำพูด ถึงแม้ว่าในใจของเขาเองจะพรั่นพรึงอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ถ้าหากส่งเสียงออกไปในตอนนี้เท่ากับทำลายแผนของซือหม่าโยวเย่ว์อย่างทันที

เจ้าอ้วนชวีกะพริบตาเป็นสัญญาณว่าตนเข้าใจแล้ว เว่ยจือฉีจึงค่อยปล่อยมือลง

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเว่ยจือฉีอย่างซาบซึ้ง หลังจากนั้นก็หมุนตัวมองไปทางคนทั้งสองในศาลาพักร้อนผ่านรอยแยกของหิน

“ช่วยชีวิตหรือ” น่าหลานหลานมองเหอชิวจือที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างดูแคลน คนพรรค์นี้ในสายตาของนางมิได้มีค่าแต่อย่างใดเลย แต่เพราะว่านางช่วยตนกำจัดซือหม่าโยวเย่ว์ทิ้ง ตนจึงฝืนทนให้นางติดตามตนอยู่ “ว่ามาสิ คราวนี้เจ้าไปยั่วยุใครเข้าอย่างนั้นหรือ”

“เป็นซือหม่าโยวเย่ว์น่ะ เขากลับมาแล้ว” เหอชิวจือพูด

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ” เมื่อได้ยินชื่อซือหม่าโยวเย่ว์ น่าหลานหลานสะดุ้งคราหนึ่งก่อนจะพูดว่า “เจ้าบอกว่าเขากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว วันนี้ข้าเห็นเขาที่อาคารเรียนตัวเป็นๆ เลย ยังมีชีวิตแน่นอน!” เหอชิวจือนึกถึงแววตาที่ซือหม่าโยวเย่ว์มองตนแล้วร่างกายสั่นสะท้าน

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นเขา” เมื่อเห็นว่าเหอชิวจือดูเหมือนจะไม่ได้โกหกก็อดที่จะตกใจมิได้

“เป็นเขาจริงๆ นะ!” เหอชิวจือพูดอย่างมั่นใจ “คุณหนูน่าหลาน ท่านเคยบอกว่าเมื่อเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่แล้วจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ข้าจึงได้เชื่อคำพูดท่านแล้วผลักเขาเข้าไป แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้ว และเขายังจะมาแก้แค้นข้าด้วย ทั้งแววตาของเขายังชวนให้คนขนพองสยองเกล้า บอกว่าเขาจะมาเอาชีวิตข้า! คุณหนูน่าหลาน ท่านต้องช่วยข้านะ ตอนนั้นเป็นท่านนั่นแหละที่ให้ข้าทำเช่นนี้!”

พูดแล้วนางก็ยังยื่นมือไปดึงเสื้อผ้าของน่าหลานหลานเพื่อเสาะหาความรู้สึกปลอดภัย

น่าหลานหลานปัดมือของเหอชิวจือทิ้งแล้วพูดว่า “เจ้าตกใจอันใดกัน! ต่อให้คนไร้ค่าผู้นั้นกลับมาแล้วเขาจะทำอะไรพวกเราได้เล่า”

“แต่เขาเห็นข้าผลักเขาเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่น่ะสิ! เขาต้องมาแก้แค้นข้าอย่างแน่นอน!” เหอชิวจือพูด

“วิทยาลัยมีกฎห้ามไม่ให้นักเรียนต่อสู้ฆ่าฟันกัน หากมีการทำร้ายกันเป็นการส่วนตัวแล้วถูกพบเข้าก็จะถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัยในทันที” น่าหลานหลานมิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด “ขอเพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีหลักฐาน ก็ไม่มีทางบอกได้หรอกว่าพวกเราเป็นคนทำ เพียงแค่ตอนที่เขามาสอบสวนเจ้าแล้วเจ้าไม่ยอมรับ ก็ไม่มีทางเกิดอันตราย ค่อยว่ากันเถิดเพียงคนไร้ค่าคนหนึ่งจะก่อความวุ่นวายอะไรให้เจ้าในวิทยาลัยได้ เจ้าคงไม่พ่ายแพ้แม้กระทั่งคนเช่นนั้นกระมัง”

“แต่ข้ากลัวเขาจะเล่นไม่ซื่อน่ะสิ” เหอชิวจือพูดอย่างกังวลใจ

“ข้ามิได้บอกว่าเขาไม่กล้าทำอะไรในวิทยาลัยอยู่แล้วหรอกหรือ นอกเสียจากว่าเขาอยากจะถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัย” น่าหลานหลานพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“แต่ถ้าหากอยู่นอกวิทยาลัยเล่า” เหอชิวจือถาม

“ข้างนอกอย่างนั้นหรือ เจ้าแค่ไม่ออกไปจากวิทยาลัยก็พอแล้วนี่” น่าหลานหลานพูด “ระยะนี้เจ้าก็อยู่แต่ในวิทยาลัยก็ใช้ได้แล้ว มิใช่ว่าพวกเจ้ากำลังจะไปปฏิบัติภารกิจของวิทยาลัยกันหรอกหรือ เขาจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ต่อจากนี้ไปไม่ต้องมาพบข้าด้วยเรื่องพรรค์นี้อีกนะ ช่างเป็นคนไร้ค่าขี้ขลาดนัก ข้าไม่อยากให้คนของข้าเป็นเช่นนี้ไปด้วย เข้าใจหรือไม่”

พูดจบนางลุกขึ้นเดินออกไปจากศาลาพักร้อนโดยไม่รอคำตอบของเหอชิวจือ

เหอชิวจือมองน่าหลานหลานผู้นั้นจากไป เมื่อเห็นนางเดินไปไกลแล้วจึงค่อยสบถออกมาว่า “เชิดอะไรหนักหนา ก็มิใช่แค่เพราะว่าเจ้ามีครอบครัวสูงส่งหรือไร ถ้าหากไม่มีตระกูลน่าหลาน เจ้าก็เหมือนกันกับคนอื่นๆ นั่นแหละ! ถ้าหากเจ้าไม่ปกป้องข้า พอถึงเวลานั้นหากจวนตัวแล้วข้าก็จะสารภาพชื่อเจ้าออกมาด้วย ให้ตายไปพร้อมกันทุกคนเลย เฮอะ!”

พอเหอชิวจือจากไปแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงหยุดส่งพลังวิญญาณเข้าไปภายในหินเสียง ก่อนจะหันไปมองพวกเว่ยจือฉีแล้วพูดว่า “มีของสิ่งนี้แล้ว มาดูกันว่าพอถึงเวลานั้นพวกนางจะเล่นลิ้นกันอย่างไร ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีข้อสงสัยอยู่ในใจ พวกเรากลับไปแล้วค่อยคุยกันเถิดนะ”

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น ทั้งสามคนจึงหลีกเลี่ยงคนอื่นๆ กลับไปยังเรือนพักอย่างเงียบเชียบ

……………………