พอกลับไปถึงห้องของซือหม่าโยวเย่ว์ พวกเขาก็ดูผลงานของหินเสียงกันก่อนเป็นอย่างแรก
เธอหยิบเอาหินเสียงออกมาแล้วส่งพลังวิญญาณจำนวนหนึ่งเข้าไป หลังจากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะ ลวดลายสีม่วงบนหินเสียงเคลื่อนตัว เพียงไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงสนทนาระหว่างเหอชิวจือและน่าหลานหลานที่ริมทะเลสาบดังออกมา พอคำพูดสิ้นสุดลง หินเสียงก็เงียบเสียงลงไป
“ผลลัพธ์นี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ฟังจบแล้วสองตาก็เปล่งประกาย คิดไม่ถึงว่าก้อนหินนี้จะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ แต่ในใจของเธอก็เกิดอีกคำถามหนึ่งขึ้นมาว่าหินเสียงก้อนนี้หาได้ยากเย็นยิ่ง แม้กระทั่งหอเซวียนหยวนยังไม่มี แล้วเป่ยกงถังมีมันได้อย่างไรกัน
“โยวเย่ว์ ตอนนี้เจ้าควรจะกลับมาที่ปัญหาของพวกเราได้แล้วกระมัง”
เสียงของเจ้าอ้วนชวีดึงสติของซือหม่าโยวเย่ว์กลับมา เธอมองพวกเขาอย่างสงสัยพลางถามว่า “ปัญหาอะไรหรือ”
“ก็คือเรื่องที่เจ้าฝึกยุทธ์ได้แล้วไง” เจ้าอ้วนชวีเหลือบมองแหวนเก็บวัตถุบนนิ้วของเธอแวบหนึ่ง แหวนวงนั้นไม่สะดุดตาเลยจริงๆ ถ้าหากมิใช่เพราะรู้ว่านั่นคือแหวนเก็บวัตถุแล้วล่ะก็ ถ้าหากผู้อื่นเห็นก็คงไม่คิดอะไร “เจ้าใช้งานแหวนเก็บวัตถุได้ ทั้งยังส่งพลังวิญญาณเข้าไปในหินเสียงได้อีกด้วย นี่ก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เจ้าเป็นปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งแล้ว”
“ถูกต้อง ตอนนี้ข้าเป็นปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ยอมรับ
“แต่มิใช่ว่าเจ้าบำเพ็ญไม่ได้หรอกหรือ” พวกเว่ยจือฉีอาจจะไม่รู้ แต่เจ้าอ้วนชวีผู้มีพื้นฐานเป็นชาวเมืองหลวงแท้ๆ ย่อมรู้ที่มาที่ไปของซือหม่าโยวเย่ว์ดีอยู่แล้ว
“อืม ก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจบำเพ็ญได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ตอนที่หายตัวไปในคราวนี้มีการผจญภัยเล็กน้อย จึงช่วยทะลวงเส้นลมปราณที่อุดกั้นของข้าได้ หลังจากนั้นก็เลยสฝึกยุทธ์ได้แล้ว”
“จริงหรือ” เจ้าอ้วนชวีเบิกตาโพลง คิดไม่ถึงว่าการหายตัวไปของเขาจะกลับร้ายกลายเป็นดี ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดกลับมาเท่านั้น แต่ยังบำเพ็ญได้อีกด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพลางพูดว่า “แต่กระบวนการของเรื่องนี้ ข้าไม่อาจบอกได้แน่ชัดนัก แต่ก็ได้ผลลัพธ์อย่างที่บอกไป เวลานี้เรื่องนี้มีเพียงแค่คนในครอบครัวของข้ากับพวกเจ้าสองคนเท่านั้นที่รู้ พวกเจ้าต้องช่วยข้ารักษาความลับด้วยล่ะ!”
“เพราะเหตุใดกันเล่า” เจ้าอ้วนชวีไม่เข้าใจ “การที่เจ้าฝึกยุทธ์ได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะเหตุใดจึงมิอยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ ถ้าหากคนพวกนั้นรู้ว่าเจ้าฝึกยุทธ์ได้ ก็จะได้ไม่มาด่าทอว่าเจ้าเป็นคนไร้ค่าอีก”
“ผู้อื่นอยากจะพูดอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้อื่น ข้าไม่สนใจหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ถ้าผู้อื่นรู้ว่าข้าฝึกยุทธ์ได้แล้ว เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นขึ้นมาน่ะสิ”
เจ้าอ้วนชวีรู้ว่าที่ซือหม่าโยวเย่ว์หมายถึงก็คือคนของตระกูลน่าหลาน คราวก่อนตอนกลับบ้านเขาก็ได้ยินมาแล้วว่าการต่อสู้ระหว่างจวนแม่ทัพและตระกูลน่าหลานทวีความรุนแรงขึ้นมาแล้ว เพราะรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นคนไร้ค่า ดังนั้นจึงมิได้นับรวมเป็นเป้าหมายที่ต้องทำลายเป็นการชั่วคราว ถ้าหากรู้ว่าเขาฝึกยุทธ์ได้แล้วละก็ เกรงว่าคงจะลงมือกับเขาอย่างแน่นอน
“ได้ พวกเราจะไม่พูดเรื่องนี้ของเจ้าออกไปอย่างแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีพยักหน้ารับอย่างจริงจัง
เว่ยจือฉีก็แสดงท่าพยักพเยิดเช่นเดียวกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางพูดว่า “ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมาก”
“ขอบอกขอบใจอันใดกันเล่า!” เว่ยจือฉีพูด “พวกเราเป็นสหายกัน ก็ต้องช่วยเจ้ารักษาความลับอยู่แล้วสิ! เดิมทีคิดกันเอาไว้ว่าจะไม่ให้เจ้าไปเข้าร่วมภารกิจคราวนี้เพราะค่อนข้างอันตราย ตอนนี้ถึงแม้ว่าเจ้าจะฝึกยุทธ์ได้แล้ว แต่ระดับขั้นก็ยังไม่น่าจะสูงนัก ถ้าหากไปแล้วอาจเกิดอันตรายกับเจ้าได้ แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วนี่ก็เป็นโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริงอันหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นเจ้าก็ไปไตร่ตรองดูเถิดว่าจะไปหรือไม่ไป”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเว่ยจือฉีบอกว่าระดับของเธอยังไม่สูงนัก เธอก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ปฏิเสธ ในคำพูดของเขามิได้มีเจตนาเย้ยหยันเธอเลย คนทั่วไปย่อมไม่มีทางคิดว่าเธอจะฝึกยุทธ์ได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ อยู่แล้ว
นอกจากนี้เขายังคิดเผื่อเธออีกด้วย
“ในเมื่อเป็นภารกิจกลุ่ม ข้าก็ต้องไปด้วยอยู่แล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงพวกเจ้าแน่นอน”
“พวกเรามิได้กลัวว่าเจ้าจะเป็นตัวถ่วงพวกเราหรอกนะ แต่เรื่องนี้มันเสี่ยงอันตรายมาก ถ้าหากตอนที่เกิดอันตรายขึ้นแล้วพวกเราดูแลเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะจบชีวิตน่ะสิ!” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ารักชีวิตจะตายไป พวกเจ้าวางใจได้เลย”
“เช่นนั้นเจ้าตัดสินใจได้แล้วก็ดี” เว่ยจือฉีก็มิได้ว่าอะไรอีก เขามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “แล้วเจ้าวางแผนจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของสองคนนี้เมื่อไรหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองหินเสียงบนโต๊ะแล้วแย้มยิ้มร้ายกาจก่อนจะพูดว่า “เรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี เห็นพวกนางแล้วช่างบาดตาข้าเสียเหลือเกิน”
“ตระกูลน่าหลานนั่นก็วางตัวแสนจะเย่อหยิ่งโอหังในวิทยาลัย ถ้าหากเจ้าทำให้คุณหนูผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลพวกเขาถูกขับออกไปจากวิทยาลัย คิดว่าตระกูลพวกเขาจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางยิ้มตาหยี
โกรธเป็นฟืนเป็นไฟหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้ม โกรธเป็นฟืนเป็นไฟสิถึงจะดี!
วันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ไปเข้าเรียนตามปกติ คนเหล่านั้นที่พบเจอเธอระหว่างทางต่างพากันเบิกตาโพลง
“คนไร้ค่าผู้นี้มิได้ตายไปแล้วหรือ เขากลับมาอีกได้อย่างไรกัน”
“นั่นน่ะสิ มิได้ว่ากันว่าคนที่เข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ ที่ไม่มีใครเคยรอดชีวิตกลับมาเลยหรือไร”
“เล่าลือกันว่าเป็นเช่นนี้นี่นา”
“เช่นนั้นคนไร้ค่าผู้นี้กลับมาได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ดูสภาพเขาสิ ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว”
“หรือว่าค่ายกลนำส่งนั่นไม่มีผลต่อคนไร้ค่า”
“โอ้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เจ้าคนไร้ค่านั่นก็ไม่ได้โชคดีเกินไปแล้วหรอกหรือ! กลับกลายเป็นว่าการเป็นคนไร้ค่าช่วยชีวิตเขาเอาไว้เสียอย่างนั้น!”
“เจ้าเบาเสียงหน่อยสิ ถ้าหากเขาได้ยินเข้า เดี๋ยวก็ให้คนจวนแม่ทัพมาจัดการเจ้าหรอก!”
“เชอะ ก็ได้แต่อาศัยที่มีท่านแม่ทัพคอยหนุนหลังนั่นแหละ”
“เอาละ ไปกันเถิดๆ มองเจ้าคนไร้ค่าผู้นี้แล้วเสียอารมณ์นัก”
หลายคนพูดแล้วก็จากไป ซือหม่าโยวเย่ว์เดินผ่านตรงหน้าพวกเขาก็ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันอย่างถนัดชัดเจน เจ้าคนพวกนี้ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความอิจฉาริษยา เพราะไม่ได้มีชาติกำเนิดที่สูงส่งจึงรู้สึกว่าผู้ที่เป็นคนไร้ค่าอย่างเธอแต่กลับมีสถานะในครอบครัวเช่นนี้เป็นความอยุติธรรมของโลก
เมื่อบรรดานักเรียนใหม่ห้องเรียนที่หนึ่งเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาในห้องเรียนก็มิได้ตกตะลึงเท่ากับคนอื่นๆ ถึงอย่างไรเมื่อวานนี้หลายๆ คนก็ได้เห็นเธอแล้ว
พอซือหม่าโยวเย่ว์เข้าประตูห้องเรียนมาก็พบเหอชิวจือ และเห็นว่านางเองก็มองมาเช่นกัน จึงยิ้มอย่างแฝงนัยลึกซึ้งให้กับนาง ทำให้นางตกใจจนก้มหน้าลงในทันที
เธอเดินไปนั่งที่แถวหลังสุดกับเป่ยกงถัง บนที่นั่งของเธอยังคงสะอาดเอี่ยม ไม่มีฝุ่นละอองเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ชอบให้ข้างๆ ตัวสกปรกน่ะ” เป่ยกงถังอธิบายอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็เปิดตำราเรียนอ่าน
“ขอบใจนะ” ไม่ว่าจะพูดอย่างไร การมีคนคอยเช็ดโต๊ะให้ ก็ยังต้องขอบคุณสักหน่อยอยู่ดี
“เมื่อคืนที่พวกเจ้าออกไปกัน จัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วหรือ” สายตาของเป่ยกงถังยังคงจับจ้องหนังสือ แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่ซือหม่าโยวเย่ว์มองเหอชิวจือเมื่อครู่นี้แล้วก็แน่ใจว่าหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องสนุกให้ชมแน่นอน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วนางจึงเกิดความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยขึ้นมา เกิดความใส่ใจกับเรื่องของเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของนางมาก่อนเลย
ก่อนหน้านี้ในใจของนางมีเพียงเรื่องของการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นแล้วกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นเพื่อแก้แค้นคนเหล่านั้นเพียงอย่างเดียว
แต่ตอนนี้ถึงกับใส่ใจเรื่องของผู้อื่น พอมาคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
“อืม เตรียมการเสร็จเรียบร้อย รอเวลาเลิกเรียนเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบพร้อมรอยยิ้ม
……………………