เพียงไม่นาน อาจารย์ท่านหนึ่งก็เดินเข้ามา ตอนที่เห็นซือหม่าโยวเย่ว์พลันตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็คุมสติเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วแล้วเริ่มต้นชั้นเรียน
คาบเรียนนี้เป็นความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ซึ่งพูดถึงเทือกเขาผู่สั่วพอดี หลังจากพูดถึงภูมิประเทศของที่นั่นแล้วก็เริ่มเล่าถึงสัตว์อสูรวิเศษภายในเทือกเขาให้นักเรียนฟัง อธิบายถึงลักษณะของสัตว์อสูรวิเศษต่างๆ ให้นักเรียนฟังตลอดทั้งคาบเรียน
ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังอย่างตั้งใจ คิดจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้ให้ดียิ่งขึ้น ก็ต้องเข้าใจโลกแห่งนี้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เธอก็เคยเห็นสัตว์อสูรวิเศษจำนวนหนึ่งที่อาจารย์พูดถึงที่เทือกเขาผู่สั่วมาแล้ว ยามฟังจึงไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อจนเกินไป
โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่อาจารย์ท่านนี้พูดยังเป็นสิ่งที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงอีกด้วย ถ้าหากเธอได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะไปยังเทือกเขาผู่สั่ว การจัดการกับสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็คงจะมิได้ยากลำบากเหมือนในตอนนั้นแล้ว
ทั้งเธอและเป่ยกงถังต่างก็ฟังกันอย่างตั้งใจ แต่เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีกลับมิได้มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเลย เพียงจับเนื้อหาได้รางๆ
ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียน พออาจารย์เดินจากไป คนทั้งสองก็มองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้ววิ่งออกไปในทันที คนหนึ่งไปพบเฟิงจือสิง ส่วนอีกคนวิ่งไปยังจัตุรัสกลางวิทยาลัย
ก่อนจะจากไป เว่ยจือฉียังตะโกนไปทางห้องเรียนด้วยว่า “ถ้าอยากชมเรื่องสนุกก็ไปที่จัตุรัสกลางวิทยาลัยกันนะ!”
พอได้ยินเว่ยจือฉีตะโกนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ ความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนถูกปลุกขึ้นมา หลังจากนั้นก็พากันไปยังจัตุรัสกลางวิทยาลัย
เหอชิวจือเห็นว่าทุกคนไปกันหมดแล้ว ก็ยังนั่งอยู่บนที่นั่งของตนไม่ขยับเขยื้อน นางมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าเรื่องสนุกในคราวนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับตนแน่นอน
“ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังรออยู่ที่ด้านหลังของห้องเรียน เห็นว่าคนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว แต่เหอชิวจือยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจึงเข้าไปเรียก
“ข้า… ข้าไม่ไปหรอก” เหอชิวจือพูด “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ใช่แล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีก ขอตัวก่อนนะ”
พูดแล้วนางก็ลุกขึ้นหมายจะจากไป
ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นหนึ่งในตัวเอกของวันนี้ ถ้าหากเจ้าไม่ไป เช่นนั้นการแสดงนี้ก็คงไร้ความหมายแล้วสิ! ไปเถิด”
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าปล่อยข้านะ!” เหอชิวจือได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ยอมไป นางบิดตัวหมายจะให้หลุดจากมือของเธอ
แต่ไม่ว่านางจะขยับตัวเช่นไรก็ยังคงถูกคว้าเอาไว้อย่างแน่นหนา
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเหอชิวจืออยู่ไม่สุขเช่นนี้จึงคว้ามือของนางมาออกแรงหักมากยิ่งขึ้น เจ็บจนนางต้องกัดฟันกรอดแล้วตะโกนด่าเสียงดัง “ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคิดจะทำอะไรกัน! เจ้าไม่กลัวจะถูกขับออกจากวิทยาลัยหรืออย่างไร”
“เก็บความคิดพวกนั้นของเจ้าไปเสีย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกแรงที่มือมากยิ่งขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าจะจัดการเจ้าเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ ข้าไม่มีทางให้น่าหลานหลานหาข้ออ้างมาขับไล่ข้าออกจากวิทยาลัยอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ ในเมื่อบอกแล้วว่าเจ้าต้องไป เช่นนั้นเจ้าอย่าขัดขืนเลยจะดีที่สุด เป่ยกงถังน่ะไม่ได้พูดง่ายเหมือนข้าหรอกนะ”
เหอชิวจือมองเป่ยกงถังที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเลิกขัดขืน
หลายเดือนมานี้พวกนางได้ทดสอบการต่อสู้กันจริงๆ อยู่บ้าง พลังการต่อสู้ของเป่ยกงถังผู้นี้ หากบอกว่านางเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าตนเป็นที่หนึ่ง
“ในเมื่อตอนนั้นเลือกที่จะทำร้ายข้า เจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือเรื่องที่จะเกิดในวันนี้เอาไว้แล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น
เมื่อถึงตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังพาตัวเหอชิวจือมายังจัตุรัสกลางวิทยาลัย ก็มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสแล้ว นอกจากนักเรียนใหม่แล้วก็ยังมีนักเรียนสายชั้นอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วย
จัตุรัสกลางวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ตรงกลางของวิทยาลัยพอดิบพอดี เป็นเส้นทางที่นักเรียนจำเป็นต้องผ่านหลังเลิกเรียนอยู่แล้ว พอได้ยินว่ามีเรื่องสนุกให้ชม ทุกคนจึงพากันมารอดู
คนที่มาชมเรื่องสนุกพากันยืนจับเป็นกลุ่มสองสามคน ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นว่าความสนุกในวันนี้จะเป็นเรื่องใด
น่าหลานหลานและมู่หรงอานออกมาจากชั้นเรียนด้วยกัน ทั้งยังมีเพื่อนร่วมชั้นสามสี่คนออกมาพร้อมกันด้วย ตอนที่พวกเขาเดินผ่านจัตุรัสกลางวิทยาลัยก็ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ขวางทางเอาไว้
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ คนทั้งสองที่เดินนำหน้าก็ก้มหน้าลง แล้วมู่หรงอานพูดด้วยสีหน้าเยียบเย็นว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน!”
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เหตุใดเจ้าถึงไร้ยางอายเช่นนี้ เพิ่งได้ยินมาว่าเจ้ากลับมาแล้ว ก็วิ่งแจ้นมาเกาะแกะคุณชายมู่หรงเลยหรือ” คนด้านหลังเปิดปากด่า
“เขาเคยมียางอายเสียที่ไหนกัน มิใช่ว่าเห็นคุณชายมู่หรงครั้งใดก็เข้ามาเกาะติดราวกับสุนัขหรอกหรือ”
ซือหม่าโยวเล่อได้ข่าวของซือหม่าโยวเย่ว์ในตอนเช้า บอกว่าหลังจากเลิกเรียนแล้วให้มาที่จัตุรัสกลางวิทยาลัยด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงแล้วจะได้ยินคนเหล่านั้นด่าว่าน้องชายของตน จึงพุ่งเข้ามาแล้วต่อยคนที่พูดประโยคนั้นไปหมัดหนึ่ง
“กล้าด่าน้องชายข้า รนหาที่ตายนัก!”
“อ๊าก…” คนผู้นั้นถูกต่อยจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ซือหม่าโยวเล่อ เจ้าอยากจะสู้กันอย่างนั้นหรือ” คนเหล่านั้นรีบเข้ามาดึงเพื่อนของตนขึ้น
“สู้กันแล้วจะเป็นอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเล่อมองคนที่จ้องตนแล้วยืนตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์พลางเชิดคางขึ้นด้วยท่าทีว่าใครกล้าเข้ามาก็จะต่อยคนผู้นั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงแขนของซือหม่าโยวเล่อแล้วพูดว่า “ท่านพี่สี่ พูดกับคนพวกนี้ไปก็แปดเปื้อนปากเปล่าๆ นี่มิใช่การดึงตัวเองให้ต่ำลงหรอกหรือ”
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าว่าอะไรนะ” มีคนตะคอกขึ้น
“ท่านพี่สี่ ท่านดูสิ แม้กระทั่งภาษาคนก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง หากท่านสนทนากับพวกเขาต่อไปอีกก็คงไม่ได้ใจความอันใดขึ้นมาหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ หลังจากนั้นก็มองมู่หรงอานพลางเอ่ยว่า “มู่หรงอาน เจ้าน่ะน่ารังเกียจยิ่งกว่าคนพวกนั้นเสียอีก เพราะไม่มีสิ่งใดน่ารังเกียจไปกว่าสุนัขที่หลงตัวเอง!”
ความเคลื่อนไหวทางนี้ดึงดูดคนเข้ามาไม่น้อย เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ ทุกคนต่างก็พากันทอดถอนใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้พูดจาเช่นนี้กับมู่หรงอานตั้งแต่เมื่อใดกัน!
“เจ้าว่าอะไรนะ!” ถูกด่าว่าเป็นสุนัขต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ แล้วอีกฝ่ายยังเป็นแค่คนไร้ค่า จึงทำให้เพลิงโทสะในใจของเขาลุกโชนขึ้นมา
“เดิมทีก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “วันนี้ข้าไม่ได้มาหาเจ้าหรอกนะ เจ้าเปิดปากมาก็ถามข้าเลยว่าข้ามาหาเจ้าทำไม หากนี่ไม่ใช่ความหลงตัวเองแล้วคืออะไรกันเล่า หรือจะบอกว่าเจ้าพ่ายแพ้ให้แก่รูปโฉมอันงดงามของคุณชายเช่นข้า จึงคาดหวังว่าคุณชายเช่นข้าจะมาหาเจ้า มากระเซ้าเย้าแหย่เจ้าอย่างนั้นหรือ”
“พูดจาเหลวไหล!” มู่หรงอานรีบปฏิเสธทันควัน
“พูดจาเหลวไหลหรือไม่ ข้าก็คร้านจะมาถกเถียงกับเจ้า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าอ้วนชวีพาเฟิงจือสิงมาแล้ว พร้อมกันนั้นยังมีผู้อำนวยการผู้เตี้ยตันผู้นั้นมาด้วย เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้วจึงพูดว่า “น่าหลานหลาน วันนี้ข้ามาหาเจ้านั่นแหละ”
“มาหาข้าหรือ” น่าหลานหลานได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้แล้วหัวใจก็หยุดเต้นไปชั่วครู่โดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะถูกจับได้ว่าทำอะไรลงไป ต่อให้เหอชิวจือพูดว่าเป็นการบงการของตน พอถึงตอนนั้นเธอค่อยปฏิเสธก็ใช้ได้แล้ว จากนั้นจึงสงบท่าทีลงแล้วถามว่า “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใดกันหรือ”
“ทุกคนมารวมตัวที่นี่ทำไมกัน ยังมีอีก เจ้าบอกมาสิว่าใครกันที่เรียกพวกเรามา” ผู้อำนวยการเห็นคนมารวมตัวกันที่จัตุรัสมากมายถึงเพียงนั้นจึงขมวดคิ้วถามขึ้น
“ท่านผู้อำนวยการ เป็นข้าเองที่ให้คนไปเชิญท่านมา” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินขึ้นหน้ามาสองก้าวแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องที่อยากให้วิทยาลัยให้ความเป็นธรรมกับข้า”
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ แววตาของผู้อำนวยการก็มีแววดูแคลนและรังเกียจวาบผ่าน แต่ก็ยังถามขึ้นประโยคหนึ่งว่า “เรื่องอันใดกัน”
“คราวก่อนตอนเลือกไข่สัตว์อสูร ข้าถูกคนลอบทำร้าย ผลักเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว ตอนนี้หาตัวคนที่ทำร้ายข้าพบแล้ว เดิมทีคิดจะแก้แค้นพวกนางโดยตรง แต่เมื่อนึกถึงกฎที่ห้ามไม่ให้ทำร้ายกันเป็นการส่วนตัวของวิทยาลัยแล้วจึงมาร้องขอให้ทางวิทยาลัยมาให้ความเป็นธรรมแก่ข้าจะดีกว่าลงมือเอง”
“เป็นใครกันหรือ” ผู้อำนวยการยังไม่ทันเอ่ยคำพูด เฟิงจือสิงก็ชิงถามออกมาก่อนแล้ว
เขาเองก็สงสัยมาตลอดว่าผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงต้องเป็นนางที่เข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ ที่แท้แล้วก็ถูกคนทำร้ายนี่เอง เมื่อนึกถึงว่านางเกือบจะมิได้กลับมาแล้ว ในดวงตาอันเยียบเย็นคู่นั้นสาดประกายหนาวเหน็บวาบผ่าน
ซือหม่าโยวเล่อจ้องผู้คนรอบๆ อย่างดุร้าย ในเมื่อนางมาพูดที่นี่ เช่นนั้นผู้ที่ทำร้ายนางก็ต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงว่ามีคนบังอาจทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์ บนใบหน้าของเขาก็ปรากฏแววเดือดดาลอันมิอาจควบคุม
“น้องห้า ใครกันที่บังอาจทำร้ายเจ้า!”
………………………