บทที่ 69 ช่วงเวลาเป็นตาย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 69 ช่วงเวลาเป็นตาย

วานรเขี้ยววายุได้กัดฟันตัวเองจนแน่นก่อนที่จะตัดสินใจเผาผลาญแก่นสายเลือดของตนอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ความเร็วของมันนั้นประหนึ่งดังได้โบยบินอยู่ก็ไม่ปาน

เฉินเฉียงได้เห็นว่าวานรเขี้ยววายุหายไปจากระยะสายตาอีกครั้ง ก็พอจะเดาได้แล้วว่า วานรเขี้ยววายุตัวนี้สมควรจะรู้วิธีเผาผลาญพลังงานชีวิตของตนเองเพื่อแลกกับพลังที่เหลือล้นจึงได้ความเร็วที่เหนือล้ำ

แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้เร่งรีบไล่ตามอีกต่อไป เขาหยุดเท้าลงเสียตรงนั้น

ด้วยทักษะการแกะรอยของเขาแล้ว แต่ให้เจ้าลิงยักษ์ตัวนี้วิ่งหนีไปจนลับขอบฟ้า เขาก็ยังสามารถที่จะตามจับมันได้อยู่ดี

สิบนาทีต่อมา เมื่อพบว่ากัวเหลียงและพวกยังคงไม่ตามมา เฉินเฉียงจึงเลือกที่จะไปต่อในทันที

วานรเขี้ยววายุตนนี้สูญเสียแขนไปแล้วทำให้ตัวมันนั้นมีพลังโจมตีที่ลดลงอย่างมาก อีกทั้งด้วยการที่มันยอมเผาผลาญพลังงานชีวิตอย่างแก่นสายเลือดของตนจนได้รับบาดเจ็บต่อให้เขาไม่ใช่คู่มือมันแต่ก็ไม่น่าจะรักษาชีวิตจากการปะทะได้ยากเย็นสักเท่าไหร่

เมื่อคิดได้ดังนี้เขาก็ได้ไล่ตามวานรเขี้ยววายุโดยใช้ทักษะการแกะรอยด้วยกลิ่นในทันที

หลังจากเขาได้ใช้ก้าวย่างสวรรค์ไปอีกสองสามชุดย่างก้าวกระโจนผ่านต้นไม้และเนินเขาไปสักสองสามลูก ในที่สุดเขาก็ได้มาหยุดอยู่หน้าถ้ำขนาดใหญ่ถ้ำหนึ่งในช่องผา

เมื่อมองเข้าไปในถ้ำที่มืดและลึกเขาก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเข้าไปแต่อย่างใด

ด้วยประสบการณ์ของเขาในครั้งที่ไล่ตามหมาไม้สายฟ้าเข้าไปในถ้ำ ทำให้เขารู้ดีว่ารังสัตว์ประหลาดนั้นล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความอันตราย

หากว่ามีวานรเขี้ยววายุตัวอื่นอยู่ที่นี่ ด้วยความแข็งแกร่งของเขานั้นการเข้าไปในถ้ำไม่ได้ต่างไปจากการรนหาที่ตาย

แต่คำถามก็คือจะเป็นไปได้รึเปล่าว่าทั้งรังนี้มีเจ้าลิงยักษ์ตัวนี้อยู่ตัวเดียว

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เฉินเฉียงจึงตัดสินใจที่จะใช้การรมควันอีกครั้ง

เฉินเฉียงได้ลองค้นหาบริเวณรอบๆ ในที่สุดก็ได้พบกิ่งไม้ที่ไม่แห้งดีอยู่จำนวนหนึ่ง

เขาย้ายกิ่งไม้พวกนี้มาไว้ที่หน้าถ้ำ ก่อนที่จะก้มตัวไปจุดไฟ และด้วยการที่ตัวเขานั้นเป็นคนที่ระวังตัวตลอดเวลา เป็นตอนนี้ที่เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แรงกล้า

แต่จิตสังหารนี้มาจากด้านหลังของเขา

หลังจากหันหลังกลับไปเขาก็ต้องงงงวยในทันที

นั่นก็เพราะเขาเห็นชายหกคนที่ใส่หน้ากากมายืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าด้วยเช่นกัน

“ไอ้ขยะอย่างแกนี่รวดเร็วดีจริงๆ

“แกทำให้ระดับนายพลวิญญาณอย่างพวกเรานั้นต้องตามแกมากว่าสองวันกว่าจะหาจังหวะที่แกแยกออกมาจากกัวเหลียงและคนอื่นๆได้”

“เหอะ ไม่วิ่งต่อแล้วเหรอ หมดแรงแล้วสินะไอ้เวรตะไล”

ชายทั้งหกคนเมื่อออกมาก็กล่าวสาปแช่งเฉินเฉียงอย่างไม่หยุดปากพลางรายล้อมเฉินเฉียงในตอนนี้

เมื่อพบเจอฉากนี้ทำให้เฉินเฉียงถึงกับใจหวั่นไหวในทันที

ชายหกคนนี้ถือนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณ

การที่สวมหน้ากากมานี่แสดงว่าต้องการฆ่าเขาอย่างนั้นเหรอ

เมื่อคิดได้ดังนั้น เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาในทันที

“ศิษย์สำนักเต่าดำเหรอ…เป็นจ้าวฮั่นสั่งมาสินะ”

ด้วยการที่คนพวกนี้เผลอเอ่ยชื่อของกัวเหลียงมาแน่นอนว่าต้องเป็นคนร่วมสำนักเต่าดำ และนอกจากจ้าวฮั่นแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าใครที่จะกล้ามามีเรื่องกับเขาจนต้องจ้างฆ่าได้ขนาดนี้

ชายทั้งหกได้มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กก่อนที่จะค่อยๆดึงหน้ากากออกมาทีละคน

และเมื่อเห็นหนึ่งในนั้นเขาก็รู้สึกคุ้นหน้าในทันที

“…โม่…เสี่ยวจวง…เหรอ”

เฉินเฉียงยังพอจำได้บ้างว่าคนคนนี้คือศิษย์แผนกวิญญาณ

ตอนที่เขาเข้ามาในสำนักและขึ้นประลองในลานประลองเป็นตายนั้น โม่เสี่ยวจวงคนนี้ได้ประกาศกร้าวไว้ว่าจะเล่นงานเขาตอนที่เขาชนะหลินคูแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาไป

ต่อมาตอนที่จ้าวฮั่นสู้กับเขาเป็นครั้งแรก ชายคนนี้ยังเอ่ยเตือนจ้าวฮั่นเกี่ยวกับจุดอ่อนของทักษะการสะกดจิตของเขา

แต่เขาไม่เคยคิดว่าโม่เสี่ยวจวงจะมาตามฆ่าเขาแบบนี้

ส่วนคนอื่นๆนั้นถึงแม้เฉินเฉียงจะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่เขาก็พอจะเลาๆได้ว่าเป็นศิษย์แผนกวายุที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของจ้าวฮั่น มีแต่ศิษย์แผนกนี้เท่านั้นที่พอจะติดตามเขาได้ทัน

นักรับสายเลือดระดับนายพลวิญญาณถึงหกคน และหนึ่งในนั้นคือผู้เชี่ยวชาญในการโจมตีทางวิญญาณ

การผสมรวมของคนกลุ่มนี้ทำให้เขาจะหลบหนีก็ยากที่จะหนีพ้น

เมื่อเห็นทั้งหกคนกระชั้นชิดเข้ามา เฉินเฉียงก็ค่อยๆกระเถิบถอยหลังไปและลอบเปิดกำไลสื่อสาร

ตราบใดที่กัวเหลียงและพวกมา เขาจะมีโอกาสรอด

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ทั้งหกคนนี้มีระดับการบ่มเพราะที่สูงกว่าเขาอย่างน้อยก็หนึ่งขั้น แถมยังมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการโจมตีทางวิญญาณของโม่เสี่ยวจวงอีก การกระทำของเฉินเฉียงมีหรือที่จะรอดพ้นสายตา

“เฉินเฉียง นี่แกคิดจริงๆหรือว่ากัวเหลียงและพวกจะตามมาช่วยแกได้”

“ข้าบอกได้เลยว่าแกกำลังฝันกลางวันอยู่”

“ข้าคิดว่าแกคงจะรู้ตัวแล้วว่ากำไลสื่อสารนั่นไม่ทำงานใช่ไหมล่ะ”

“ตอนนี้แกโดนปล่อยเกาะแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“นี่แกคงไม่รู้จริงๆสินะว่าเมื่อออกจากสำนักมาแล้ว หากว่าอยู่ไกลมาก กำไลสื่อสารจะไม่ทำงานได้”

เป็นดังว่า เฉินเฉียงได้มองไปที่กำไลสื่อสารของตนแล้วก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากแสงสีฟ้า

“ศิษย์พี่โม่ พวกเราต่างก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน แถมพวกเราไม่ได้มีความขัดแย้งถึงขั้นเป็นศัตรู แล้วทำไมท่านต้องฆ่าข้าด้วย”

เฉินเฉียงที่ในตอนนี้แทบจะสูญสิ้นความหวังแล้ว เขาได้ค่อยๆกระเถิบถอยหลังไปอยู่ที่หน้าถ้ำพร้อมแกล้งถามออกมาอย่างจนปัญญา

“แกกล้าบอกว่าพวกเราไม่มีความแค้นต่อกันงั้นหรือ”

โม่เซี่ยวจวงพูดออกมาใบหน้าที่แสดงออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวและเกลียดชัง “แกเป็นแค่เด็กใหม่ที่พึ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยแต่กล้าทำให้ข้าต้องรับความอัปยศอดสูต่อหน้าผู้คน ถามยังทำให้ข้าต้องเสียหน้าต่อผู้ที่ติดตามข้าคนนี้”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือคนแผนกของแกยังกล้าที่จะมาท้าทายพวกข้าอย่างไม่หยุดหย่อนจนทั่วทุกตัวคน”

“นี่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าโกรธเคืองอีกเหรอ”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือแกไม่รู้รึไงว่าศิษย์น้องจ้าวคือหลานรักของผู้อาวุโสจ้าว”

“ไม่สิ ถึงแกจะรู้แต่แกก็ยังกล้าที่จะทำให้ศิษย์น้องจ้าวนั้นรับความอัปยศอดสูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้ทั่วทั้งสำนักต้องหัวเราะเยาะเขา”

“แกทำถึงขนาดนี้แล้วแกยังคิดว่าเขานั้นจะปล่อยแกไปน่ะ ห้ะ”

เฉินเฉียงไม่เคยคิดมาก่อนว่าโม่เสี่ยวจวงและจ้าวฮั่นจะคิดแค้นกับเพียงแค่การพ่ายแพ้ในสนามประลองเป็นตายมากมายถึงขนาดนี้

“…นี่…จะบอกว่าคิดแค้นเพียงเรื่องเล็กๆแบบนี้อะนะ”

“นี่ศิษย์พี่ไม่กลัวว่าสำนักจะเอาเรื่องนี้รึไงกัน”

“อย่าลืมว่าสำนักไม่อนุญาตให้ศิษย์มีเรื่องกันถึงตาย”

“มีเรื่องกันถึงตายเหรอ”

“เฉินเฉียง แกคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเพราะเรื่องนี้สินะ”

“แกคิดจริงๆเหรอว่าแกจะหนีพ้นหลังจากชนะศิษย์น้องจ้าวหลังจากการประลองสุดท้ายไปได้”

“สำหรับข้าแล้ว ศิษย์น้องจ้าวยังทำเกินไปด้วยซ้ำที่ต้องให้พวกข้ามาเหยียบย่ำเศษกากเดนระดับทหารแบบแกน่ะ”

“พวกเราไม่ว่าใครก็สามารถฆ่าแกได้ทั้งนั้น”

“ตราบใดที่แกตาย ก็ไม่มีใครรับรู้ได้อยู่ดีแหล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“กับไอ้กัวเหลียงและพวกนั้น กว่ามันจะหาร่องรอยเจอว่าแกมาทางไหน ถึงมันจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ได้เร็วมากมาย กว่ามันจะมาถึง แกก็กลายเป็นศพแล้วอยู่ดี”

คำพูดของโม่เสี่ยวจวงที่เย็นชานี้ทำให้เฉินเฉียงรู้ในทันทีว่าตนนั้นหนีไม่พ้น

หนทางที่ดีที่สุดคือการรอกัวเหลียงและพวกให้มาถึง

แน่นอนว่าไอ้พวกนี้ไม่ยอมอยู่แล้ว

“ศิษย์พี่โม่ ข้าว่ารีบตัดหัวไอ้ระยำนี่แล้วรีบกลับสำนักกันดีกว่า หากชักช้าไปเดี๋ยวกัวเหลียงกับพวกจะมาซะก่อน ไม่งั้นพวกเราจะมีปัญหาใหญ่แน่”

โม่เสี่ยวจวงก็พยักหน้ารับก่อนที่จะเผยรอยยิ้มหลอนประสาท

“เฉินเฉียง” เขาพูดก่อนที่จะส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มที่แสยะ “หากอยากจะโทษใครนั้นก็ขอให้แกโทษตัวเองแล้วกันที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

“จำไว้ให้ดียันชาติหน้าเลยนะ” โม่เสี่ยวจวงพูดประดุจดั่งการสอนสั่ง “ว่ามีใครบางคนที่คนอย่างแกไม่ควรจะไปหาเรื่องด้วย”

หลังจากพูดจบ โม่เสี่ยวจวงและคนอื่นๆได้ค่อยๆบีบวงล้อมเข้าไปหาเฉินเฉียง

สิบเมตร

แปดเมตร

หลังจากเห็นคนทั้งหกค่อยๆใกล้เข้ามา ลำคอของเฉินเฉียงนั้นแห้งผากมากขึ้นและมากขึ้น เขารู้สึกได้ในทันทีว่านี่คือช่วงเวลาเป็นตายแห่งชีวิต

เขากำลังโทษตัวเองที่รีบไล่ตามวานรเขี้ยววายุมาตามลำพังจนต้องทำให้ตัวเองมาพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้

กับศัตรูที่เป็นถึงนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณพวกนี้มีพลังพอที่จะฆ่าเขาได้คนละหลายครั้ง ส่วนด้านหลังเขาก็เป็นถ้ำของวานรเขี้ยววายุอีก แถมอย่างน้อยมันก็เป็นอีกหนึ่งที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น

ดูเหมือนในครั้งนี้เขาจะไม่มีทั้งทางไปต่อและถอยหนีเสียแล้ว