บทที่ 75 กินแล้วก็รีบไป

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 75 กินแล้วก็รีบไป

ชายหนุ่มมองจางซิ่วเอ๋ออย่างฉงน ส่งสายตาเป็นเชิงถามว่านางกำลังจะทำอะไร

จางซิ่วเอ๋อขมวดคิ้วพูด “เดี๋ยวข้าจะต้มข้าวต้ม เจ้ากินก่อนแล้วค่อยไป ไม่ใช่พอเดินพ้นประตูบ้านข้าไปก็ล้มหมอนนอนเสื่ออีกรอบ ถึงตอนนั้นต้องเหนื่อยข้าอีก”

ชายหนุ่มได้ฟังก็อึ้งอย่างเห็นได้ชัด คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยที่เอาแต่พูดไล่ตน กลับใจดีให้ตัวเองได้กินข้าวอีกมื้อ

ถึงแม้นางจะพูดด้วยน้ำเสียงร้ายกาจ แต่จิตใจไม่เลวเลย

เขาอยากจะบอกจางซิ่วเอ๋อว่าไม่ต้องหรอกไม่จำเป็น แต่พอคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ถ้ายังไม่กินอีกฝืนต่อไม่ไหวแน่ นาทีนี้จึงได้แต่พยักหน้า

เขาหันหลังกลับเข้าห้องเก็บฟืน พยายามทำให้ตัวเองเหมือนไม่อยู่ที่นี่ด้วยการยืนอยู่มุมห้อง

จางซิ่วเอ๋อมองหญ้าแห้งที่ตัวเองเอามาปู บัดนี้ถูกจัดเก็บเรียบร้อย ความโกรธเคืองในใจจึงจางไปบ้าง

ถูกต้อง นางยังนึกโกรธเคืองอยู่

อยู่ดี ๆ คนผู้นี้ก็มาล้มอยู่หน้าบ้านตัวเอง จนนางนอนไม่หลับทั้งคืน มีความคิดไม่ดีมากมายผ่านเข้ามาในใจ

จางซิ่วเอ๋อเปิดหม้อ เริ่มล้างหม้อและปล่อยน้ำ

ตอนนั้นเอง ผู้ชายคนนั้นเข้ามาใกล้จนจางซิ่วเอ๋อตกใจ และกำลังจะยื่นมือไปหยิบปังตอ

แต่นางกลับเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งยอง ๆ หยิบเอาตัวจุดไฟบนฐานเตามา ใส่หญ้าแห้งเข้าไปในเตาเพิ่ม และเอากิ่งไม้กลบอีกนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มจุดไฟ

จางซิ่วเอ๋อเห็นท่าทางชำนาญของผู้ชายคนนี้แล้วเกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อฐานะของคนผู้นี้เป็นอย่างมาก

ครั้งก่อนผู้ชายคนนี้ทิ้งหยกแขวนไว้เลยนะ แค่หยกแขวนนั่นก็แสดงว่าผู้ชายคนนี่ไม่ได้มาจากครอบครัวยากจนแน่ ๆ แถมถึงแม้หน้าตาเขาจะซีดเซียว สีหน้าดูอมโรคก็จริง แต่คนทั้งคนทั้งขาวทั้งผิวดี ผมลื่นดำขลับอย่างกับเส้นไหมย้อมหมึกดำ ดูอย่างไรก็ก็ไม่ใช่ชาวนาชาวไร่

คนแบบนี้กลับทำเรื่องแบบนี้เป็น น่าประหลาดจริง ๆ

แต่อยากรู้ส่วนอยากรู้ จางซิ่วเอ๋อไม่คิดจะถาม โบราณกล่าวไว้ว่าความอยากรู้สามารถฆ่าแมวได้ นางไม่อยากกลายเป็นแมวน้อยโชคร้าย

ดูก็รู้ว่าคน ๆ นี้ไม่ธรรมดา เจอกันทุกครั้งเขาบาดเจ็บมาทุกครั้ง ไม่แน่อาจจะเป็นพวกที่ใช้ชีวิตอยู่กลางพายุเลือดก็ได้ กับคนแบบนี้จางซิ่วเอ๋อจึงคิดว่ายิ่งรู้น้อยยิ่งดี

รู้เยอะไป ก็ไม่ดีกับตัวนาง

พอได้ชายคนนี้ช่วย ไม่นานนักจางซิ่วเอ๋อก็ต้มข้าวต้มเสร็จ

ข้าวต้มเศษข้าวโพดทำง่าย น้ำเดือดเพียงครู่เดียวก็สุก

จางซิ่วเอ๋อหยิบถ้วยใหญ่มาถ้วยหนึ่ง ตักข้าวต้มใส่จนเต็มและเอ่ย “เย็นกว่านี้หน่อยแล้วค่อยกินนะ ไม่อิ่มเจ้าก็ตักจากในหม้อเองได้เลย กินเสร็จแล้วรีบไป ข้าไม่อยากเจอเจ้าอีกตอนกลับมา”

จางซิ่วเอ๋อพูดจบ ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะพูดอะไรก็หันหลังเดินออกไป

“เจ้า….” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองจางซิ่วเอ๋อ ราวกับอึ้งกับกิริยาเด็ดขาดของจางซิ่วเอ๋อ

จางซิ่วเอ๋อพูดต่อเป็นชุด “ไม่ต้องถามว่าข้าคือใคร และไม่ต้องบอกข้าว่าเจ้าคือใคร คราวหน้าถ้ามีโอกาสเจอกันอีกก็ทำเป็นไม่เคยเห็นข้ามาก่อน”

นางคิดตกแล้ว ส่วนเรื่องหยกแขวนก็ไม่อยากถามเขาแล้ว อย่างไรเสีย นางก็ไม่เอาหยกแขวนนั่นไปแลกเงินอยู่แล้ว ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรจะดีกว่า

ยิ่งเกี่ยวข้องกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสลัดหลุดจากกันยาก ถ้ากลายเป็นการเรียกภัยมาหาตัวคงไม่ดีแน่

ครั้งนี้จางซิ่วเอ๋อไม่ให้โอกาสเขาได้เรียกตัวเอง ตรงดิ่งไปที่หลังบ้านที่จางชุนเถากำลังยุ่งอยู่

จางซิ่วเอ๋อยิ้มและแย่งจอบมา “เจ้าไปถอนหญ้าเถอะ เราจัดการหลังบ้านให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว” อย่างไรเสียก็ต้องให้เวลาที่เพียงพอกับผู้ชายคนนั้น

ประมาณครึ่งชั่วยามผ่านไป จางซิ่วเอ๋อมองดวงตะวันบนฟ้า บัดนี้ขึ้นสูงเป็นที่เรียบร้อย

นางคิดว่าคน ๆ นั้นน่าจะไปแล้ว จึงเอ่ยขึ้น “ชุนเถา เจ้าถอนหญ้ารกพวกนี้ให้เสร็จ ข้าไปตักข้าวต้ม”

จางชุนเถาพยักหน้า “ได้เลย”

จางซิ่วเอ๋อกลับเข้าไปในบ้าน มองทางห้องเก็บฟืนอย่างพิจารณา ประตูปิดอยู่ มองไม่เห็นว่ามีคนอยู่ข้างในหรือไม่ นางกลัวว่าชุนเถาจะกลับมาจึงรีบเร่งเดินเข้าไป

พอผลักประตูเข้าไป ข้างในสะอาดหมดจด ไม่มีแม้เงาคน

จางซิ่วเอ๋อมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า อดฮัมเพลงไม่ได้

ถ้วยที่เขาใช้ก็ล้างจนสะอาด เอาเถอะ คน ๆ นี้ท่าทางไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่ตัวเองคิด

แต่พอจางซิ่วเอ๋อมองเข้าไปในหม้อ นางก็ยิ้มไม่ออก เขากินข้าวต้มนี่ไปกว่าครึ่ง ไม่เกรงใจกันเลยแฮะ

จางซิ่วเอ๋อมุมปากกระตุก โชคดีที่วันนี้ตัวเองต้มไว้เยอะ ไม่อย่างนั้นคงไม่พอกิน

จนชุนเถากลับมากินข้าวแล้วพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ทำไมวันนี้พี่ทำข้าวต้มไว้แค่นี้ล่ะ?” อืม ถึงจะบอกว่าสองพี่น้องกินกันพอ แต่ก็แตกต่างจากปกติ

จางชุนเถาไม่ได้พูดแค่ครั้งสองครั้งว่าจางซิ่วเอ๋อทำอาหารเช้าเยอะไป กินหมดก็จริง แต่กินข้าวเช้าเยอะไปก็เปล่าประโยชน์

แต่จางซิ่วเอ๋อเอาแต่ย้ำว่าข้าวเช้าต้องกินให้อิ่ม ไม่ฟังนางเลยสักนิด ตอนนี้จางชุนเถาจึงได้ถามด้วยความแปลกใจ

จางซิ่วเอ๋อมองข้าวต้มในถ้วยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “วันนี้ข้าอยากกินอะไรอ่อน ๆ เลยทำไว้ไม่น้อย แต่ตอนที่เราสองคนทำงานอยู่หลังบ้าน น้ำในหม้อระเหยน่ะ”

จางชุนเถาได้คำตอบแล้วก็ไม่ถามอะไรอีก นางกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าว่าประมาณนี้กำลังดี วันหลังมื้อเช้าเรากินกันเท่านี้ก็พอ”

กับพฤติกรรมเอาแต่จะประหยัดของกินของจางชุนเถา จางซิ่วเอ๋อก็ได้แต่เมินเฉย

ตอนนี้จะประหยัดเรื่องเสื้อผ้าหรือเรื่องอื่น ๆ ก็ได้ แต่แค่เรื่องกินที่ไม่ได้

ตอนนี้เป้าหมายหลักของนางคือขุนพวกนางสามพี่น้องและแม่ผู้รันทดให้มีเนื้อมีหนังขึ้น

คนเกะกะไปแล้ว จางซิ่วเอ๋อรู้สึกโล่งใจสุด ๆ อย่าบอกใคร

ถึงขนาดมีแรงทำงานตอนเช้าด้วย

หลังทำงานเสร็จแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็ถือตะกร้าไผ่อันเล็กและหาเห็ดในป่ารอบ ๆ บ้าน

ในป่าแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นต้นหยางและต้นสน มีต้นหลิวบ้างประปราย เป็นพรรณไม้ที่เห็ดขึ้นง่าย

เมื่อคืนฝนตก วันนี้แดดออก ใต้ต้นไม้ต้องมีเห็ดไม่น้อยแน่ ๆ

จางซิ่วเอ๋อเลือกเก็บเห็ดเฉพาะที่ตัวเองรู้จัก ส่วนที่ตัวเองไม่รู้จักไม่เก็บเด็ดขาด

และในตอนนั้นเอง จางซิ่วเอ๋อเห็นท่านหมอเมิ่งแบกตะกร้ายาเดินเข้ามาทางป่า ปกติคนอื่น ๆ ไม่เข้ามาในป่านี้ง่าย ๆ โดยไม่มีเรื่องอะไร ต่อให้มีเรื่องก็ไม่มาง่าย ๆ อยู่ดี

ที่ท่านหมอเมิ่งมาตอนนี้ ต้องมาหาตัวเองแน่ ๆ

พอคิดได้แบบนี้จางซิ่วเอ๋อก็เดินเข้าไป “ท่านอาเมิ่ง มาแล้วเหรอเจ้าคะ?”

ท่านหมอเมิ่งได้ยินก็หันมามองด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ครั้งนี้ข้ามีคนไข้ฉุกเฉิน อยู่ดูแลคนไข้ที่นู่นไปสองวัน เลยไม่มีเวลามา”

ว่าแล้วท่านหมอเมิ่งก็หยิบถุงเงินออกจากกระเป๋าตัวเองอย่างรีบร้อน และยื่นให้จางซิ่วเอ๋อ “นี่เป็นเงินค่างูที่ซื้อเจ้าเมื่อคราวก่อน ข้าไม่ทันหยิบให้เจ้า เจ้าอย่าโกรธกันนะ”

…………………………………………………