ตอนที่ 67 : มื้ออาหารที่กระอักกระอ่วน
“เอาล่ะ” หวังเย่าส่ายหน้า “ฉันมีบางอย่างที่ต้องไปทำ คงอยู่คุยกับนายต่อไม่ได้นาน นายกลับไปเตรียมตัวก่อน แล้วฉันจะติดต่อไป”
“ได้ งั้นฉันขอตัวก่อน” โจวอวิ๋นยิ้มและมองไปยังทั้งสองคนก่อนจะพึมพำออกมา “พวกนายเหมาะสมกันจริง ๆ ”
จากนั้นโจวอวิ๋นก็หันกลับและเดินออกไป ทิ้งคำพูดนี้ไว้
“โจวอวิ๋นน่ะปากไม่มีหูรูด เขาพูดอะไรไม่คิด เธอไม่ต้องใส่ใจนักหรอก” หวังเย่าเห็นจ้าวเมิ่งซีก้มหน้าจนหัวแทบจะชิดกับอก จึงได้แต่พูดปลอบใจออกมา “ไม่ต้องคิดมาก”
“ฉันรู้แล้ว” จ้าวเมิ่งซีมองไปที่หวังเย่าก่อนจะพูดขึ้น “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินไปอีกด้านของถนนเพื่อไปยังรถที่จอดรอเอาไว้ เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นก่อนจะมารับพวกเขาแล้วขับออกไป
10 นาทีต่อมา รถก็ได้หยุดตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทั้งสองลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้านภายใต้การนำทางของบริกร เพื่อไปยังห้องอาหารอันหรูหราที่จัดเตรียมเอาไว้
“ถ้าพ่อแม่ฉันเห็นที่นี่เข้าคงตาลุกวาวแน่ ๆ ” แต่หวังเย่าเคยเห็นโลกมามากมายแล้ว แม้จะแปลกใจกับที่นี่แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก
“พ่อฉันจะตามมาอีกประมาณ 30 นาที เราไปนั่งรอกันก่อน”
ประตูในห้องถูกปิดลง ทั้งสองอยู่เพียงลำพังในห้องอาหาร จึงทำให้บรรยากาศนั้นน่าอึดอัดนิด ๆ
“หวังเย่า นายตัดสินใจรึยังว่าจะเข้าสาขาอะไรของมหาวิทยาลัยหัวเซี่ย ? ” จ้าวเมิ่งซีถามขึ้นมา
“อืม….น่าจะสาขาผู้ตรวจสอบ” หวังเย่าคิดและตอบกลับ
“ผู้ตรวจสอบหรือ ? นั่นเป็นสาขาอันดับหนึ่ง นายคิดจะเข้าสาขานั้นจริง ๆ หรือ ? ” จ้าวเมิ่งซีอุทานออกมา
“ฉันมั่นใจ” หวังเย่าตอบกลับ “ฉันไม่คิดว่าจะมีอาชีพไหนที่เหมาะกับฉันไปกว่าผู้ตรวจสอบอีกแล้ว ดังนั้นฉันจึงเลือกสาขานี้”
“อันตรายหรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ หรือว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายแล้ว พวกเราต้องหดหัวอยู่แต่ในกระดอง ? ความขี้ขลาดน่ะไม่ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายควรจะมี”
“นายดูต่างจากเดิมไปมากเลยนะ” จ้าวเมิ่งซีปรบมือชื่นชมและพูดขึ้น “นายมีความฝันไหม ? ฉันอยากรู้ความฝันของนาย”
หวังเย่ารู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเขาดูแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ดังนั้นเขาจึงตอบตามความจริงว่า “ความฝันของฉันคือกำจัดสัตว์อสูรและกอบกู้หัวเซี่ย”
“ฮ่าฮ่า…” จ้าวเมิ่งซีหัวเราะออกมาเบาๆ “ความฝันนายนี่น่ารักจริงๆ ฉันหวังว่านายจะทำได้สำเร็จ”
หวังเย่าเห็นรอยยิ้มของเธอที่ราวกับดอกไม้บาน เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่ารอยยิ้มนี้ช่างสวยสดใส มันคงดีหากได้รอยยิ้มนี้มาครอบครอง
ตอนที่ความคิดนี้โผล่มา หวังเย่าก็รีบสลัดความคิดนี้ออกจากหัวทันที
เหตุผลก็ง่าย ๆ อีกฝ่ายเป็นถึงลูกสาวผบ. ส่วนเขาเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีฐานะอะไร ช่องว่างมันต่างกันเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกัน
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้นึกถึงหลี่ว่านเฟิงเลย แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมคนที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างหลี่ว่านเฟิง ถึงได้มาเป็นผู้ปกครองของเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดจะพึ่งคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ทั้งสองคนคุยกันต่อไปสักพัก
“พนักงานยังไม่เอาอะไรมาเสิร์ฟอีกหรือ ? ” ตอนนั้นเองบอดี้การ์ดได้เปิดประตูออกพร้อมกับจ้าวจวินจ่างที่เดินเข้ามาในห้อง เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเลิกคิ้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความสูงส่งของเขา
“ก็พ่อบอกให้รอพ่อไม่ใช่รึไง ? ” จ้าวเมิ่งซีพึมพำออกมา
“พ่อไม่ใช่หัวหน้าลูกซะหน่อย ทำไมต้องรอพ่อด้วย ? ” จ้าวจวินจ่างเดินเข้ามาก่อนจะนั่งลง เขาโบกมือเรียกบริกรด้านนอกให้เข้ามา
“หวังเย่า นายนั่งลงก่อน” จ้าวจวินจ่างรับเมนูก่อนจะโบกมือให้หวังเย่านั่งลงแล้วสั่งอาหาร “เอาซุบปลาไหลมาที่หนึ่ง”
จากนั้นเขาก็โยนเมนูไปให้หวังเย่า “หวังเย่า นายสั่งเลย จะสั่งอะไรก็ได้แค่กินให้หมดก็พอ”
หวังเย่าพยักหน้าและรับเมนูไป เมื่ออีกฝ่ายพูดมาชัดเจนแล้ว งั้นเขาก็ต้องแสดงท่าทีเป็นมิตรและไม่ขัดน้ำใจอีกฝ่าย
เขาตาเป็นประกายและชี้ไปที่เมนู “บริกร เอานี่, นี่, นี่ก็ดี, นี่ด้วย”
“ซุบราชามังกรหิมะคืออะไร แต่ชื่อมีคำว่ามังกรอยู่ด้วย มันก็ต้องไม่ธรรมดา แบบนี้สิถึงจะสมกับฐานะของคุณจ้าว เอาของหวานพวกนี้ด้วย ผู้หญิงกินข้าวเสร็จจะไม่กินของหวานได้ยังไง ?”
หวังเย่ามองไปที่เมนูด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเลือกเมนูอาหารไปกว่าครึ่งหน้า จนสองพ่อลูกที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่แสดงสีหน้าสับสนออกมา
นี่เขาอดอยากมาจากไหนถึงได้สั่งอาหารเยอะแบบนี้
แต่จ้าวจวินจ่างได้พูดออกมาแล้ว เขาไม่สามารถถอนคำพูดได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่มองดูหวังเย่าสั่งอาหารทั้งหมดมา
“พอเถอะ แค่นี้ก็กินไม่หมดแล้ว” จ้าวเมิ่งซียิ้มออกมาอย่างขมขื่น
หวังเย่าดูเหมือนจะยังไม่ได้สติ เขาแค่รู้สึกว่ามันอาหารที่นี้มันแปลกดี คนรวยก็ควรจะกินอะไรได้ตามใจแบบนี้ คิด ๆ แล้วการโอ้อวดก็สนุกดีเหมือนกัน
เขาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “เอาที่สั่งเมื่อตะกี้มาอีกชุด”
“เอาอันนี้ด้วย ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสฉันจะกลับมาที่นี่อีก อาหารที่นี่ดูน่าอร่อย แค่ดูรูปก็ทำให้อยากกินได้แล้ว”
หวังเย่าเหมือนกับอดอาหารมาเป็น 7 วัน เขาสั่งทุกอย่างที่เห็น
จ้าวจวินจ่างได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมาพลางคิดในใจว่า “เด็กนี่ไม่ไว้หน้ากันเลย เขาสั่งอาหารมาหลายสิบอย่างรวมกับของหวานอีก 5-6 อย่าง”
นี่ไปอดอยากมาจากไหน ?
หลังจากที่บริกรออกไปแล้ว จ้าวจวินจ่างก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “หวังเย่า ที่ฉันชวนนายมากินข้าวในวันนี้ อันที่จริงแล้วก็เพื่อจะคุยกับนาย นายไม่ต้องประหม่าไป”
หวังเย่าพยักหน้า “ไม่มีปัญหา ผมไม่ได้ประหม่าอะไร ไม่ว่าคุณจะคุยเรื่องไหน ผมก็คุยกับคุณได้ทุกเรื่อง”
คำตอบนี้ทำลายความกระอักกระอ่วนทั้งหมดทิ้งไป ดูเผิน ๆ เหมือนจะดูดี แต่ลึกลงไปแล้วจะเห็นว่ามันค่อนข้างเป็นคำพูดที่เสียมารยาท แต่หวังเย่ากลับแสดงสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจังออกมา จึงทำให้อีกฝ่ายโมโหไม่ลง
จ้าวเมิ่งซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของหวังเย่า
จ้าวจวินจ่างมองไปที่จ้าวเมิ่งซี ก่อนที่อีกฝ่ายจะเงียบไป
“งั้นฉันจะไม่อ้อมค้อม” จ้าวจวินจ่างพูดขึ้นมา “หวังเย่า นายคิดยังไงกับเสี่ยวซี”
หวังเย่าเบิกตากว้างด้วยความสับสน หัวใจของเขาเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะ คำถามนี้ทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน จ้าวเมิ่งซีก็เบิกตากว้างเช่นกัน เธอมองไปที่จ้าวจวินจ่าง ก่อนจะมองไปที่หวังเย่า แล้วรีบก้มหน้าที่แดงก่ำด้วยความเขินอาย