บทที่ 30

แคลอฮันกับเครย์ลีบันนั่งเผชิญหน้ากัน

จุดที่ผิดคาดก็คือ เครย์ลีบันสละเก้าอี้นั่งตำแหน่งที่สูงกว่าให้แก่แคลอฮัน

ถึงแม้จะกระอักกระอ่วนไปหน่อย แต่แคลอฮันก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนุ่มที่เครย์ลีบันชี้เขาเลียริมฝีปากแห้งผาก ก่อนจะพูดขึ้น

“ที่มาหาแบบนี้ทั้งๆ ที่ทราบว่ากำลังยุ่ง ก็เพื่อขอคำแนะนำครับ”

“ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาหาให้ลำบากแบบนี้เลย แค่เรียกตัวข้าไปหาที่กลุ่มการค้าดิวรักก็ได้แล้วนี่ครับ”

“ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับกิจการผ้าฝ้ายโคโรอีหรอกครับ อยากจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวของข้าน่ะครับ”

ธุรกิจส่วนตัวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดียอย่างนั้นหรือ

เครย์ลีบันเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมามากพอตัว

แคลอฮันที่มักจะใช้ชีวิตอยู่กับการขังตัวเองอยู่ในห้องสมุดของคฤหาสน์ หรือไม่ก็ห้องหนังสือของตัวเองคนนั้น กับคำว่าธุรกิจนี่มันช่างไม่เข้ากันเสียเลย

เห็นได้ชัดว่า กิจการผ้าฝ้ายโคโรอีเมื่อคราวก่อน แคลอฮันก็ถูกบังคับให้ฝืนรับหน้าที่แต่ตอนนี้กลับบอกว่าจะสร้างกิจการส่วนตัวเนี่ยนะ

เครย์ลีบันคิดว่าบางทีเขาอาจจะต้องประเมินแคลอฮันใหม่อีกครั้งก็เป็นได้

“ถึงแม้จะไม่ทราบว่าข้าจะช่วยอะไรได้มากแค่ไหน แต่ก็ลองเล่ามาดูสิครับ”

เครย์ลีบันเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงใจดีที่ไม่สมกับเป็นตัวเขาเลยแม้แต่น้อย

ว่ากันตามตรง หากเป็นคนอื่น เขาอาจจะไล่ออกไปนอกห้อง บอกว่าไม่มีเวลาว่างมาทำอะไรไร้สาระก็ได้

แต่น่าแปลกที่เครย์ลีบันกลับแสดงด้านใจอ่อนออกมาให้สองพ่อลูกแคลอฮันกับฟีเรนเทียได้เห็น

แคลอฮันเองก็ดูเหมือนจะไม่คิดว่าเครย์ลีบันจะยอมรับฟังเรื่องของเขาอย่างง่ายดายขนาดนี้ นัยน์ตาจึงเบิกกว้างด้วยความตกใจ

เครย์ลีบันมองสภาพอีกฝ่ายที่ตกใจเสียจนลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยความเย็นชา

“ไม่ได้ตอบรับว่าจะยอมรับฟังเพราะมีเวลาเหลือเฟือนะครับ ท่านแคลอฮัน”

“อ๊ะ! ขะ…ขอโทษครับ คือว่าแผนงานที่ข้าคิดไว้ก็คือ…”

แคลอฮันกระแอมไอเคลียร์ลำคอ เริ่มอธิบายด้วยเสียงระมัดระวัง

มันเป็นคำอธิบายที่เรียบเรียงเป็นลำดับขั้นได้ดีกว่าที่อธิบายอย่างสะเปะสะปะให้ฟีเรนเทียฟังเมื่อเช้า

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ยังคงน้ำท่วมทุ่งเหมือนเคย แคลอฮันจึงต้องเล่าอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนไม่ได้หยุดพักหายใจ

เมื่อการอธิบายอันแสนยาวนานจบลง แคลอฮันก็เจ็บคอไปหมด แต่เขาไม่ได้ตระหนักถึงสภาพของตัวเองเลยด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการสำรวจปฏิกิริยาของเครย์ลีบันด้วยความตึงเครียด

เครย์ลีบันไม่พูดอะไรเลยสักคำ

เห็นแบบนั้นแล้วแคลอฮันก็ยิ่งกลัว

มันเป็นแผนงานที่เลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ

ถึงขนาดพูดอะไรไม่ออก?

เวลาค่อยๆ คืบคลานผ่านไปอย่างเชื่องช้าและสุดท้ายในตอนที่แคลอฮันไหล่ลู่ตกด้วยความผิดหวัง จู่ๆ เครย์ลีบันก็เปิดปากพูด

“เยี่ยมมากเลยนะครับ”

“…ครับ?”

“แน่นอนว่ายังมีจุดที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมอยู่ครับ”

“วะ…ว่าแล้วเชียวครับ จุดไหนบ้างหรือครับ”

แคลอฮันรีบเอ่ยถามอย่างร้อนรน

แต่เครย์ลีบันไม่ได้บอกคำตอบที่ถูกต้องออกไปในทันที

“มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งครับ”

“อะไรหรือครับ”

“ธุรกิจของท่านแคลอฮัน ให้ข้าร่วมมือด้วยเถอะนะครับ”

แคลอฮันกะพริบตาทั้งสองข้างปริบๆ สงสัยว่านี่ตอนนี้เขาฟังถูกหรือเปล่า

“จะบอกให้ฟังอีกครั้งนะครับ แผนธุรกิจของท่านแคลอฮันเยี่ยมมากครับ”

“ถ้าอย่างนั้น หมายความว่ามันดีหรือครับ”

“ครับ เอาจริงๆ ก็ดีจนน่าตกใจเลยละครับ”

เครย์ลีบันยอมรับว่าเขาประเมินคนที่ชื่อแคลอฮัน ลอมบาร์เดียคนนี้ผิดไป

“แต่ถ้าหากกิจการประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามด้วยคำแนะนำของข้า แต่ตัวข้าไม่อาจเข้าร่วมได้ มันก็คงจะรู้สึกน่าหัวเราะจนปวดท้องไปหมดเป็นแน่ ดังนั้นถ้าหากยอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะช่วยแนะนำจุดที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมให้ครับ”

แคลอฮันยิ้มกว้าง แต่แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง

“แต่คุณเครย์ลีบันมีสัญญาว่าจ้างกับลอมบาร์เดียไม่ใช่หรือครับ ธุรกิจคราวนี้ไม่ใช่ตระกูลลอมบาร์เดีย แต่เป็นกิจการส่วนตัวของข้า…”

แคลอฮันต้องการทรัพย์สินส่วนตัวที่ไม่ผูกติดกับชื่อลอมบาร์เดีย

เขาต้องการอำนาจที่จะปกป้องฟีเรนเทียจากพายุรุนแรงที่จะโหมกระหน่ำในการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าตระกูลรุ่นถัดไป

ต่อให้เขาจะอยากได้ความช่วยเหลือของเครย์ลีบันแค่ไหน แต่เขาไม่สามารถขอยืมอิทธิพลของลอมบาร์เดียอีกครั้งได้

จู่ๆ บนใบหน้าของเครย์ลีบันก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

รอยยิ้มที่ดูจะพึงพอใจมากทีเดียว

“ระมัดระวังแบบนี้ ยิ่งดีเลยครับ”

และพูดราวกับจะบอกว่าไม่ต้องกังวล

“สัญญาระหว่างข้ากับลอมบาร์เดียไม่ใช่สัญญาผูกขาดตลอดชีพ แต่เป็นสัญญาจ้างชั่วคราวครับ อีกอย่างก็มีแจ้งไว้อย่างชัดเจนว่าสามารถรับงานนอกได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอกครับ”

มันเป็นสัญญาที่ร่างขึ้นใหม่ในตอนที่ย้ายตำแหน่งไปทำงานด้านสอนหนังสือตามคำขอของเจ้าตระกูล

“ถ้าอย่างนั้นทางฝั่งข้าคงต้องขอรบกวนด้วยนะครับ! มาร่วมมือกันเถอะครับ คุณเครย์ลีบัน!”

แคลอฮันยื่นมือข้างหนึ่งออกไปด้วยความยินดี

เครย์ลีบันหลุบสายตามองมือข้างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปเช่นกัน

หลังจากการจับมืออันแสนสั้น เครย์ลีบันก็เอ่ยพูดเสียงผ่อนคลายยิ่งขึ้น

“เรื่องส่วนแบ่งผลกำไรโดยละเอียด เอาไว้ค่อยมาตกลงกันทีหลัง ข้าจะให้คำแนะนำจุดที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมก่อนนะครับ”

แคลอฮันพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นตอบรับคำพูดของเครย์ลีบัน

เครย์ลีบันลอบยิ้มในใจ ภาพนั้นให้ความรู้สึกเหมือนได้เห็นฟีเรนเทียในคลาสเรียนไม่มีผิดเพี้ยน

“ตลาดเป้าหมายของธุรกิจนี้ จะต้องเป็นสามัญชนไม่ใช่ชนชั้นสูงครับ”

“สามัญชนเหรอครับ”

มันตรงกันข้ามกับทิศทางของแผนงานที่เขาวางไว้อย่างสิ้นเชิง

“ครับ ดังนั้นตำแหน่งร้านค้าเองก็จะต้องเป็นตลาดเฮลสล็อต แทนที่จะเป็นเซดาคิวนาร์ไปด้วยครับ”

ตลาดเฮลสล็อตซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามย่านการค้าเซดาคิวนาร์ เป็นเขตพื้นที่การค้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตใต้การปกครองทางตอนกลางของจักรพรรดิโดยตรง

แตกต่างจากเซดาคิวนาร์ที่เทียบกันแล้วถือว่าเงียบเหงากว่ามาก ตลาดนี้เป็นตลาดขนาดใหญ่ทั้งยังมีจำนวนประชากรมากเนื่องจากเป็นเขตพื้นที่ที่เป็นแหล่งรวมตัวของผู้คนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศของอาณาจักร และมักจะเสียงดังโหวกเหวกอยู่เสมอ

“และ…”

หลังจากนั้น การประชุมของทั้งสองคนก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่

หากไม่ใช่เพราะถึงเวลาที่เครย์ลีบันจะต้องไปประชุมแล้วละก็ บางทีมันอาจจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินเลยก็เป็นได้

เครย์ลีบันมองแคลอฮันที่ลุกขึ้นด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากการถกเถียงกันด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะเอ่ยถาม

“ท่านเจ้าตระกูลหรือครับ”

“พูดเรื่องอะไรหรือครับ”

“คนที่บอกให้มาลองขอคำแนะนำจากข้าน่ะครับ”

เครย์ลีบันมั่นใจไปแล้วกว่าครึ่งว่ารูลลักเป็นคนผลักหลังของบุตรชายคนเล็กมาให้เขา เพื่อให้ตนช่วยเป็นกำลังเสริมให้

แต่แคลอฮันกลับส่ายหน้ายิ้มๆ

“เปล่าครับ ฟีเรนเทียน่ะครับ”

“ครับ?”

“ที่จริงแล้วยังไม่ได้ลองเอ่ยพูดกับท่านพ่อเลยครับกลัวว่าจะโดนตำหนิว่าเพ้อฝันด้วยอีกอย่าง ธุรกิจนี้ก็เป็นกิจการส่วนตัวนี่ครับ เพราะฉะนั้นก็เลยครุ่นคิดอยู่คนเดียว แต่ฟีเรนเทียบอกน่ะครับว่าให้มาลองถามอาจารย์เครย์ลีบัน”

แคลอฮันขอบคุณเครย์ลีบันจากใจจริง ถึงแม้จะรู้สึกเขินอายไปบ้างก็ตาม

“เป็นหลักฐานที่ทำให้เห็นเลยนะครับ ว่าปกติแล้วคุณเครย์ลีบันช่วยอบรมสั่งสอนฟีเรนเทียของพวกเราอย่างดี ขอบพระคุณครับ”

ที่ผ่านมาเขาได้รับการขอบคุณจากผู้ปกครองของเด็กๆ มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เครย์ลีบันกลับหัวเราะไม่ออก

ฟังผิวเผินมันอาจจะดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ พูดเฉยๆ ว่าอาจารย์เป็นคนที่รู้เรื่องทุกอย่าง

แคลอฮันเองก็ดูเหมือนว่าจะคิดแค่นั้นแต่ไม่รู้ทำไม เครย์ลีบันถึงได้นึกถึงนัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้นของฟีเรนเทียขึ้นมาอยู่เรื่อย

และเขาก็เอาแต่รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างรุนแรง ว่าการที่แคลอฮันมาหาตนจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว