คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้พ่ออวี๋ประทับใจ
อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนสงสารพ่อแม่ของอาหญิงมากกว่า ซึ่งก็คือปู่กับย่าของอวี๋หมิงหลาง
คนชราสองท่านนี้ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตก็อาจยังคงไม่ได้เห็นลูกสาวของตัวเองมีวุฒิภาวะขึ้นมา
คนที่ไม่รู้จักโตแบบนี้อยู่มาจนแก่ก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง คอยทำเรื่องเห็นแก่ตัวใส่คนอื่นไปทั่ว ทางจิตวิทยาเรียกว่าจิตใจทารก ซึ่งก็คือเด็กที่ไม่รู้จักโต พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่าเมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งควรทำอะไรเพื่อครอบครัวหรือเพื่อสังคม 90%ของครอบครัวโชคร้ายทั้งหลายในบ้านเราล้วนเกี่ยวข้องกับจิตใจทารกนี้
อาหญิงอายุขนาดนี้แล้วไม่ได้ใช้สติและวุฒิภาวะอย่างที่ผู้ใหญ่ควรมีเห็นใจคนในครอบครัว
คิดแต่ทำให้ตัวเองพอใจ กลับไม่เคยคิดว่าพฤติกรรมแบบนั้นของตัวเองได้ทำร้ายจิตใจของพ่ออวี๋แม่อวี๋จนพรุนไปหมด พูดตรงๆก็คือ เอาหัวใจของคนทั้งโลกมารวมกัน ในสายตาของอาหญิงก็ยังไม่สำคัญเท่ากับตัวเธอเอง เธอรักตัวเองมากเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยอยู่เสมอ
เสี่ยวเชี่ยนเองก็เป็นคนที่รักตัวเองมาก แต่ต่างจากอาหญิงตรงที่ ในใจของเสี่ยวเชี่ยนมีคนที่สำคัญอยู่หลายคน ก่อนทำอะไรเธอจะนึกถึงความรู้สึกของคนเหล่านั้น อย่างเช่น เรื่องที่อาหญิงทำในครั้งนี้ เสี่ยวเชี่ยนสามารถเล่นงานอาหญิงให้ลุกขึ้นมาอีกไม่ได้ แต่เธอกลับเลือกใช้วิธีให้พ่ออวี๋จัดการเอง
ทั้งหมดนี้เพราะเธอคำนึงถึงความรู้สึกของอวี๋หมิงหลาง นี่คือความแตกต่าง
พ่ออวี๋และผู้ใหญ่คนอื่นๆในตระกูลอวี๋ที่น่าสงสาร ทุ่มเทความรักให้กับอาหญิงมาทั้งชีวิต อาหญิงไม่ได้ตอบแทนเลยสักนิดด้วยซ้ำ อีกทั้งความทุ่มเทเหล่านั้นกลับยิ่งทำให้อาหญิงคิดแต่จะเป็นฝ่ายรับ ซึ่งนิสัยแบบนี้มีทั้งความเห็นแก่ตัวที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วบวกกับสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเอาใจ สรุปก็คือ ผลลัพธ์นี้ไม่มีใครอยากเห็น
พ่ออวี๋มองเสี่ยวเชี่ยน เขากำลังคิดว่าทำไมน้องสาวตัวเองอายุจนป่านนี้แล้วยังคิดไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กๆ แต่สุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้ ทำได้แค่มองต้นพุทราด้วยความคิดถึงอดีต
“เรื่องที่อาหญิงทำทั้งหมดฉันจะให้คำตอบที่เธอพอใจ ไม่ใช่แค่เพื่อเธอ แต่ยังเพื่อครอบครัวของพวกเราด้วย”
เสี่ยวเชี่ยนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพ่ออวี๋เป็นคนที่เด็ดขาด เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วส่วนมากไม่มีทางให้เดินกลับหลัง วันนี้ที่เขามาที่นี่คงได้ตัดสินใจแล้วว่าจะจบสิ้นความอดทนสุดท้ายที่มีต่อน้องสาว
ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็นึกถึงคำพูดของเจี่ยซิ่วฟางที่สั่งสอนเธอกับน้องชายเมื่อวาน เจี่ยซิ่วฟางบอกว่า พี่น้องต่อให้รักกันมากแค่ไหน พอแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเองก็จะค่อยๆห่างเหิน เสี่ยวเชี่ยนไม่ปฏิเสธเรื่องนี้
ทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ครอบครัวคือคนที่มาจากหลายๆที่มาอยู่ร่วมกันกลายเป็นกลุ่มใหญ่ จากนั้นก็แยกออกเป็นครอบครัวเล็กๆ คำว่าห่างเหินอาจดูรุนแรงไป แต่ต่างคนต่างมีชีวิตไม่ก้าวก่ายกัน เมื่อเจอปัญหาก็ช่วยกันแก้ไข นี่คือสิ่งที่คนแก่ๆปรารถนา
น่าเสียดายที่ความเป็นจริงกับความปรารถนานั้นไม่ตรงกัน อาหญิงก่อเรื่องเก่งจริงๆ
เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางพูดดีๆช่วยศัตรู ดังนั้นพอพ่ออวี๋รับปากแบบนี้เธอจึงแค่ยิ้มให้ไม่แสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เติมน้ำมันให้กองไฟและก็ไม่ได้บอกให้อภัย
พอถูกทำร้ายแล้วก็ปราศจากการให้อภัยอีก นี่คือหลักการ—แต่หลักการนี้บางทีอาจเปลี่ยนแปลงหลังจากพ่ออวี๋ได้รับโทรศัพท์ในตอนนี้
“ท่านผู้บัญชาการมีสายของท่านครับ” ทหารอารักขาวิ่งเข้ามาแล้วยื่นโทรศัพท์ให้พ่ออวี๋
พ่ออวี๋รับโทรศัพท์พลางพูดกับเสี่ยวเชี่ยน
“เดี๋ยวขอรับสายก่อนนะ เดี๋ยวเธอนั่งรถฉันกลับ ฉันจะให้คนขับรถไปส่ง”
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอควรกลับมหาวิทยาลัยแล้ว
“ผมอวี๋เว่ยกั๋วครับ—หลี่เจิ้น?”
พอได้ยินชื่อนี้เสี่ยวเชี่ยนก็เอะใจ
นั่นมันลูกชายของอาหญิงไม่ใช่เหรอ?
อาหญิงก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลี่เจิ้น
หลี่เจิ้นกับหนีเจี้ยนเหรินผู้ชายเฮงซวยที่เสี่ยวเชี่ยนเกือบหมั้นด้วยเป็นคู่รักร่วมเพศกัน เนื่องจากหนีเจี้ยนเหรินอยากมาหลอกเสี่ยวเชี่ยนแต่งงานนี่เรื่องแรก จากนั้นก็มาวางเพลิงบ้านเธอ อวี๋หมิงหลางเลยจัดการขั้นเด็ดขาดกับหลี่เจิ้น บีบบังคับให้อาเขยส่งหลี่เจิ้นย้ายไปทำงานในที่ทุรกันดาร
ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนยังไม่รู้ว่าหลี่เจิ้นเกิดเรื่องแล้ว เพิ่งจะพ้นขีดอันตรายมาได้ ตอนนี้กำลังนอนพักอยู่ในห้องผู้ป่วยโทรหาพ่ออวี๋
พอเธอได้ยินชื่อคุ้นๆ สัญชาตญาณก็บอกว่าคงมีเรื่องเกิดขึ้นแน่
“การผ่าตัดเป็นไงบ้าง สำเร็จไหม? อะไรนะ ก็ยังยืนไม่ได้? หลานลุง ใจเย็นๆนะ เดี๋ยวลุงจะหาหมอที่ดีที่สุดให้ หลานจะต้องหายแน่นอน” ถึงแม้พ่ออวี๋จะเกลียดที่น้องสาวตัวเองทำเรื่องพวกนั้น แต่ก็ไม่ได้โกรธแค้นหลานชายอะไรมากมาย
โดยเฉพาะตอนนี้หลี่เจิ้นกำลังอยู่ในช่วงเสี่ยงจะเป็นอัมพาต พ่ออวี๋ย่อมไม่มีทางพูดจารุนแรงใส่ เรื่องของผู้ใหญ่วางไว้อีกด้าน ลูกไม่ได้ทำผิดควรรักษาก็ต้องให้รักษาตัวไป
“ลุงครับ หมอบอกว่าผมอาจจะยืนไม่ได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ผมอยากถามลุงว่าลุงมีวิธีติดต่อกับเฉินเสี่ยวเชี่ยนไหมครับ ผมอยากคุยกับเขา”
เสียงของหลี่เจิ้นฟังดูอ่อนล้า
“หลานอยากได้เบอร์ของเสี่ยวเชี่ยนเหรอ?” พ่ออวี๋หันไปมองเสี่ยวเชี่ยนโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เขารีบหันหลังให้เสี่ยวเชี่ยนแล้วถามเสียงเบา
“หลานจะเอาเบอร์เขาไปทำอะไร?”
หรือคลื่นที่ยังไม่สงบกำลังจะซัดขึ้นมาอีกแล้ว?
“ตอนที่ผมนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยผมได้ยินพ่อแม่ทะเลาะกัน ผมรู้เรื่องที่แม่ไปทำเรื่องไม่ดีไว้แล้ว ผมเลยอยากขอโทษเสี่ยวเชี่ยนต่อหน้า เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะผม ผมหวังว่าเขาจะเห็นแก่ตอนนี้ที่ผมเป็นคนพิการให้อภัยแม่ผมครับ”
หลี่เจิ้นได้ฝึกฝนอยู่ในที่กันดารมานานพอสมควร นิสัยเปลี่ยนไปมาก
ในอำเภอที่ห่างไกล เขาอยู่ห่างจากความศิวิไลซ์ ไม่มีความแก่งแย่งชิงดีระหว่างคนด้วยกัน แสงสีสิ่งยั่วยุก็น้อย สิ่งที่ได้เจอมีแค่ใบหน้าซื่อๆของผู้คน นิสัยคุณชายของเขาที่มีมาหลายปีจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นหรอก หลานฟังลุงนะ นอนพักรักษาตัวดีๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลาน ลุงรู้ว่าต้องจัดการยังไง ตอนนี้หลานไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ขอแค่รักษาตัวให้หายได้เป็นพอ เข้าใจไหม?”
“ลุงครับ ลุงทำแบบนี้ผมรู้สึกผิดนะครับ ถ้าผมไม่ได้เจอเฉินเสี่ยวเชี่ยนผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะรักษาตัว—อันที่จริงจะรักษาตัวหรือไม่ก็ไม่มีความหมายแล้วครับ ชีวิตที่เหลืออยู่ของผมคงต้องอยู่บนเตียงแล้ว ลุงช่วยทำตามความต้องการของผมได้ไหมครับ?”
พ่ออวี๋ฟังแล้วก็ปวดใจ เด็กดีๆคนหนึ่งออกไปทำงานพัฒนาตัวเองดีๆ แต่กลับต้องนอนบนเตียงกลับมา อีกทั้งเรื่องที่หลี่เจิ้นไปอยู่ที่นั่นเป็นเพราะลูกชายของเขาจัดการ ไม่มีแม้แต่คำพูดที่แสดงความรู้สึกผิด ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
พ่ออวี๋หันตัวไปอย่างลำบากใจ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดกับเสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกโทรศัพท์หายไปจากมือ
ทหารอารักขาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ มีคนกล้าแย่งของจากมือผู้บัญชาการด้วย?
เสี่ยวเชี่ยนแย่งโทรศัพท์มาจากมือพ่ออวี๋
“ฉันคือเฉินเสี่ยวเชี่ยน ไว้เจอหน้าค่อยคุยกัน นายรักษาตัวให้ความร่วมมือกับหมอไป เดี๋ยวพวกเราไปหา”
พูดจบก็ตัดสายแล้วยื่นโทรศัพท์คืนพ่ออวี๋
“คุณลุงคะไปกันเถอะค่ะ”
“เด็กคนนี้นี่จริงๆเลย…”
พ่ออวี๋ทั้งโมโหทั้งขำ แต่รู้สึกชื่นชมมากกว่า
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา รู้จักวางตัว เมื่อเทียบกับให้เขาเอ่ยปากขอไม่สู้ออกตัวก่อน เป็นเด็กฉลาดที่รู้จักแก้ไขปัญหาจริงๆ