ห้องผู้ป่วยที่หลี่เจิ้นอยู่ดีมาก ตระกูลหลี่พยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาเขา ถึงขนาดเชิญผู้เชี่ยวชาญจากที่อื่นมา แต่ผู้เชี่ยวชาญพอเห็นอาการกลับไม่รู้จะทำอย่างไร ต่อให้ห้องพักจะดีเลิศแค่ไหนก็เอาสุขภาพที่แข็งแรงกลับคืนมาไม่ได้
เสี่ยวเชี่ยนมาถึงโรงพยาบาลโดยการนำของพ่ออวี๋ แม่อวี๋พอได้ข่าวก็มาด้วย เฝ้าอยู่หน้าประตู พอเห็นพ่ออวี๋ทั้งสองก็มองหน้ากัน ในสายตากันและกันต่างเห็นอารมณ์โมโหของอีกฝ่าย
“การผ่าตัดสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่รู้สึกตัวล่ะ?” แม่อวี๋ถามพ่ออวี๋ เมื่อคืนเธอได้รับแจ้งว่าการผ่าตัดของหลี่เจิ้นลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่นึกว่าวันนี้จะมีข่าวว่าอาการน่าเป็นห่วง หลังผ่าตัดเสร็จยังไม่มีอาการที่เป็นปกติ
นี่ก็แสดงว่าอาจจะเป็นอัมพาต
“เดี๋ยวผมไปถามหมอว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รักษาได้หรือเปล่า ไม่ได้ก็เปลี่ยนหมอ” พ่ออวี๋โมโห
ที่ด้านนอกห้องผู้ป่วย พ่อของหลี่เจิ้นอยู่ริมหน้าต่าง ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาก็รู้สึกตกใจ
ดูเหมือนห่างจากที่เจอกันเมื่อคราวก่อนไม่นานมาก ตอนนั้นเธอกับอวี๋หมิงหลางเพิ่งจะรู้จักกัน อวี๋หมิงหลางพาเธอไปเอาเรื่องถึงบ้านครอบครัวหลี่
ตอนนั้นพ่อหลี่ยังมีสีหน้าสดใส แต่ตอนนี้ดูซูบซีด สภาพอิดโรย เหมือนแก่ลงไปสิบปี เรื่องที่ภรรยาไปทำไม่ดีไว้กับลูกชายเกิดเรื่องได้สร้างความสะเทือนใจให้กับเขา
พอเห็นพ่ออวี๋ เขาก็ยื่นมือมาจับมือพ่ออวี๋แล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด
“ผมสอนลูกไม่ดี เอาเมียตัวเองไม่อยู่ทำให้บ้านพี่ต้องเดือดร้อนผมละอายใจจริงๆครับ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้หลี่เจิ้นป่วยหนักผมคงไปหาที่บ้านแล้วขอโทษด้วยตัวเองแล้ว”
“พูดอะไรแบบนั้น ฉันเองที่ไม่สอนน้องสาวให้ดี ฉันผิดเอง”
“อย่าพูดแบบนั้นครับ ความผิดของผมเอง”
ทั้งสองคนต่างแย่งกันโทษตัวเอง บุคคลระดับสูงที่ปกติพูดจามีมาด เวลานี้ต่างพูดคำขอโทษออกมาจากใจ อาหญิงอยู่อย่างสบาย กลับไม่รู้เลยว่าได้สร้างความลำบากให้กับสามีและพี่ชายมากขนาดนี้
พ่อหลี่เคยเป็นเพื่อนทหารร่วมรบกับพ่ออวี๋มาก่อน ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ถึงแม้ต่อมาพ่อหลี่ได้ดีแล้วก็ยังรักษาความสนิทเอาไว้อยู่ แต่ตอนนี้พ่ออวี๋รู้สึกอายที่จะมาเจอเพื่อนคนนี้ เขาไม่ควรให้น้องสาวไปแต่งงานด้วยเลย
ทางด้านพ่อหลี่ก็รู้สึกผิดต่อพ่ออวี๋ เรื่องทุกอย่างล้วนมีสาเหตุมาจากภรรยาของเขา เขางานยุ่งมากเลยไม่มีเวลาสนใจภรรยาตัวเอง สถานการณ์ในตอนนี้ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งเถียงกัน อาการหลานเป็นยังไงบ้างคะ?” แม่อวี๋ถาม
พ่อหลี่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
เสี่ยวเชี่ยนยืนอยู่ข้างๆพวกเขา ฟังพวกเขาคุยกันอย่างเงียบๆแล้วคิดว่าขั้นต่อไปตัวเองควรทำอย่างไร หลี่เจิ้นเรียกหาเธอเพราะอะไรกันแน่?
หมอที่ดูแลหลี่เจิ้นมาพอดี พ่อหลี่จึงเรียกมา หมอจึงเริ่มอธิบายอาการของหลี่เจิ้น
“พวกคุณดูที่แผ่นฟิล์มนี้นะครับ ตำแหน่งที่เขาบาดเจ็บอยู่ในไขสันหลัง ถือเป็นอาการบาดเจ็บที่รากประสาทขาที่ค่อนข้างเบา ความสามารถในการป้องกันความเสียหายของรากประสาทขามีมากกว่าไขสันหลัง ดังนั้นจากการประเมินของเรา สถานการณ์เลวร้ายที่สุดของเขาหลังผ่าตัดก็น่าจะไม่เกินระดับE หรืออาจไม่ถึงระดับEด้วยซ้ำ”
“พูดอะไรน่ะ ช่วยพูดที่พวกเราเข้าใจหน่อยได้ไหม” พ่ออวี๋พูดด้วยความร้อนใจ
แม่อวี๋เป็นหมอเข้าใจเรื่องพวกนี้ จึงอธิบายให้ทุกคนฟัง “กระดูกสันหลังทั้งหมดถ้าเกิดการหักล้วนมีโอกาสที่จะเป็นอัมพาต แต่ระดับความรุนแรงนั้นต่างกัน ระดับการฟื้นฟูหลังผ่าตัดก็ไม่เหมือนกัน ทางการแพทย์แบ่งระดับอัมพาตออกเป็นABCDE ห้าระดับ ระดับAหนักสุด ซึ่งก็คือผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ขับถ่ายไม่รู้ตัว ระดับEเบาสุด เพียงแค่อวัยวะบางจุดจะเกิดอาการชา”
“งั้นอาการของเขาตอนนี้เป็นยังไงกันแน่?” พ่ออวี๋ถาม
เสี่ยวเชี่ยนมองแผ่นฟิล์มนั้นอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจอะไรแล้ว
“อธิบายให้คนอย่างคุณฟังไปก็ไม่เข้าใจหรอก เอาง่ายๆแล้วกัน ผลเอ็กซเรย์ของหลี่เจิ้นก็คือ เขาเป็นไม่ถึงระดับE ที่รักษาตัวให้ดีก็หาย แต่ว่า…ตอนนี้อาการของเขาอยู่ในระดับA ไม่รู้สึกตัว ขับถ่ายไม่รู้ตัว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”
สำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้ว นี่คือเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในโลก ไม่มีเกียรติหลงเหลือในตัวเอง แม้แต่เรื่องขับถ่ายยังไม่สามารถจัดการเองได้ ต้องให้คนอื่นคอยช่วยเหลือ เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้เป็นอย่างมาก คนที่สภาพจิตใจอ่อนแออาจถึงกับเป็นโรคซึมเศร้าได้ หรือบางคนอาจฆ่าตัวตาย
คำพูดของแม่อวี๋ทำให้ทุกคนอยู่ในความเงียบ
เสี่ยวเชี่ยนรับแผ่นฟิล์มจากในมือแม่อวี๋มาดูแล้วถามหมอเกี่ยวกับคำถามทางการแพทย์ ซึ่งหมอก็ค่อยๆตอบทีละข้อ แม่อวี๋เห็นแล้วก็ถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยความสงสัย
“หนูเรียนจิตแพทย์ไม่ใช่เหรอจ๊ะ ทำไมรู้เรื่องพวกนี้ด้วย?”
เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ตอบคำถามแม่อวี๋ แต่ถามหมอต่อ
“งั้นก็หมายความว่า จากผลตรวจของพวกคุณอาการหลี่เจิ้นไม่ควรออกมาเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ ฉันหมายถึงในทางกายภาพน่ะค่ะ”
“ใช่ครับ พวกเราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม เรียกประชุมด่วนกันแล้วด้วย ในบ้านเราเคสแบบนี้ไม่มีเลย พวกเราอยากจะหามาดูอ้างอิงก็หาไม่เจอ ไม่งั้นพวกคุณพาไปรักษาที่ต่างประเทศไหมครับ ให้เขาได้รับการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง”
“ประเทศเราออกจะใหญ่ แพทย์แผนจีนประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ทำไมถึงไม่มีใครรักษาได้สักคน? เรื่องอะไรจะต้องไปหาพวกฝรั่งด้วย ตอนที่บรรพบุรุษของพวกเราถือเข็มรักษาคน ประเทศของคนพวกนั้นยังไม่ก่อตั้งเลยด้วยซ้ำ ยาของประเทศเรายังมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าประเทศพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ”
แม่อวี๋ถลึงตาใส่พ่ออวี๋ “เก็บความคิดคับแคบไปเลยนะ ตอนนี้รักษาหลานสำคัญกว่า คุณช่วยอะไรไม่ได้ก็อย่าทำเสียเรื่อง”
พ่ออวี๋ หึ ออกมา ในใจรู้สึกไม่ยอม ในสายตาของเขาพระจันทร์ของประเทศเขายังกลมสวยกว่าของต่างประเทศด้วยซ้ำ
เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว
“ไม่ต้องไปต่างประเทศหรอกค่ะ”
“เสี่ยวเชี่ยนหนูว่าอะไรนะ?” แม่อวี๋ถามอย่างตกใจ
“ตอนนี้ในใจหนูมีวิธีในเบื้องต้นแล้ว แต่รายละเอียดจะเป็นยังไงคงต้องให้หนูเจอหลี่เจิ้นก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้หนูจะไปหาเขา รอหนูออกมาแล้วจะอธิบายรายละเอียดให้ฟังนะคะ”
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้บรรดาผู้ใหญ่ต่างมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเธอจะทำอะไร
เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่อธิบาย หมอพาเธอเข้าไปในห้องผู้ป่วย หลี่เจิ้นตื่นอยู่สายตามองไปยังเพดาน สีหน้าเรียบเฉย ไม่เหมือนกับคนที่ได้รับการสะเทือนใจอย่างรุนแรง
เขานิ่งเฉยคล้ายกับคนที่มองโลกนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว สายตาของเขาที่มองเพดานคล้ายกับกำลังหาทางเข้าของอีกโลกหนึ่ง
เสี่ยวเชี่ยนเห็นสีหน้าของเขาก็แอบตกใจ
ดูท่าหลี่เจิ้นจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
ในฐานะที่เป็นหมอที่เข้าใจจิตใจคน เห็นคนไข้จิตเวชมาจนชิน เสี่ยวเชี่ยนสามารถวินิจฉัยอาการผิดปกติต่างๆที่สะท้อนมาจากจิตใจได้อย่างรวดเร็ว หลี่เจิ้นอยู่ในวัยหนุ่มแต่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าเวลานี้เขาโมโหร้าย อาละวาดใส่คนอื่น ทำพฤติกรรมต่างๆที่เป็นการระบายอารมณ์ ยังดูเป็นอาการที่ปกติ แต่เขานิ่งเฉยแบบนั้นคล้ายกับคนที่ปลงกับโลกนี้แล้ว นี่นับเป็นเรื่องใหญ่
“มาแล้วเหรอ” หลี่เจิ้นเห็นเสี่ยวเชี่ยนแล้ว เขาละสายตากลับมา แล้วทักทายเสี่ยวเชี่ยนด้วยสีหน้าเรียบเฉย