“ได้ยินว่านายอยากเจอฉัน?” เสี่ยวเชี่ยนลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเขา
“ใช่ ผมอยากพูดขอโทษคุณด้วยตัวเอง คำพูดนี้ผมควรบอกคุณตั้งแต่ก่อนที่จะไปอยู่ในเขตภูเขา แต่ตอนนั้นผมไม่กล้า ตอนนี้ผม—”
หลี่เจิ้นมองไปที่ขาที่ไร้ความรู้สึกของตัวเอง แล้วพูดอย่างเศร้าๆ
“ผมได้รับผลกรรมแล้ว ผมคิดว่าผมควรทำตัวอย่างลูกผู้ชาย รับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองทำผิด ผมติดค้างคำขอโทษกับคุณไว้”
“ทำไมล่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“เพราะผมเคยรักคนผิด เขาสร้างความลำบากให้กับคุณเป็นอย่างมาก อีกทั้งผมยังตำหนิคุณ และที่ทำให้ผมละอายใจยิ่งกว่าก็คือ แม่ผมไปทำเรื่องที่ผิดต่อคุณและญาติพี่น้องของผมเพื่อผมตั้งมากมาย ถ้าจะบอกว่ามันผิดมากขึ้นเรื่อยๆ งั้นมันก็คงจะเริ่มผิดตั้งแต่ผม ผมควรจะเป็นคนขอโทษอย่างจริงจัง”
น้ำเสียงของเขาแสดงความจริงใจ
“เฉินเสี่ยวเชี่ยนผมขอโทษ โปรดอภัยที่ผมยืนไม่ได้ ไม่สามารถโค้งคำนับให้คุณอย่างที่ลูกผู้ชายควรทำ เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผม ตอนนี้ผมได้รับผลกรรมแล้ว ผมหวังว่าคุณกับครอบครัวลุงจะประนีประนอมกับแม่ผมได้ เขาทำเรื่องไม่ดีไปมากมาย แต่เขาไม่ใช่คนเลว เขาก็แค่รักผมมากเกินไป แต่ผมทำให้เขาผิดหวัง”
เสี่ยวเชี่ยนแยกแยะได้ คำขอโทษของหลี่เจิ้นมาจากใจจริง เธอรีบทำการวิเคราะห์ จะรับปากเขาทันทีไม่ได้เด็ดขาด
เพราะถ้ารับปาก เขาจะหมดความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
“หลี่เจิ้น ถ้านายอยากจะทำตัวเหมือนลูกผู้ชายล่ะก็ ทำไมไม่กล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อล่ะ? นายคิดว่าแค่นายขอโทษฉันแล้วแม่นายจะดีขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง สมดุลในใจเขาจะยิ่งเสียหนักขึ้น ไม่แน่เขาอาจจะเป็นบ้าก็ได้ โดยเฉพาะถ้านายไม่อยู่แล้ว เขาจะยิ่งหมดทางจะอยู่ต่อ ฉันยอมรับว่าฉันไม่ชอบ — ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ ฉันเกลียดแม่นายมาก แต่เขาก็ไม่ควรถึงขั้นที่จะต้องตายเพื่อเป็นการไถ่โทษ”
อวี๋หมิงหลางเคยพูดไว้ว่าในใจของเสี่ยวเชี่ยนมีตาชั่งอยู่อันหนึ่ง เธอใช้มาตรฐานพิเศษในแบบของตัวเองตัดสินสรรพสิ่งบนโลกนี้ เธอไม่มีทางปล่อยคนที่เคยรังแกเธอ แต่ก็ใช่ว่าจะล้างแค้นคนจนเกินขอบเขต ควรทำถึงขั้นไหนในใจเธอรู้ดี
ต่อให้อาหญิงทำตัวน่าขยะแขยงกว่านี้ก็ไม่ถึงกับต้องไปตาย หลี่เจิ้นลูกชายของเขา เสี่ยวเชี่ยนไม่ถึงกับชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียด คิดเสียว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยิ่งไม่สมควรตาย
“คุณรู้…ว่าผมอยากฆ่าตัวตาย?” หลี่เจิ้นตกใจ เรื่องที่พ่อแม่ของเขาไม่รู้ แต่เฉินเสี่ยวเชี่ยนกลับมองออกในทันที?
“อย่าลืมนะว่าฉันทำงานอะไร? ฉันเป็นจิตแพทย์ ถึงแม้ว่าคนทำอาชีพอย่างฉันจะมีเครื่องมือ แต่ก็สู้เครื่องมือในโรงพยาบาลที่รักษาทางกายภาพไม่ได้หรอก ส่วนใหญ่พวกเราจะใช้การวิเคราะห์โดยอาศัยตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้”
เสี่ยวเชี่ยนชี้ไปที่ดวงตา สมอง และหัวใจ
“ก็ได้ จิตแพทย์ คุณถูก ผมมีความคิดแบบนั้นจริงๆ อย่าบอกพ่อแม่ผมนะ คุณเป็นจิตแพทย์ งั้นคุณก็ต้องเข้าใจว่าเวลานี้ผมเป็นทุกข์มากแค่ไหน ถ้าชีวิตที่เหลือของผมแม้แต่การดูแลพื้นฐานทางร่างกายยังต้องให้พยาบาลช่วย งั้นผมอยู่ต่อก็มีแต่จะหมดหวังไปเรื่อยๆ ศักดิ์ศรีของผมก็จะหมดไป นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของผมแล้ว”
ตอนนี้หลี่เจิ้นต้องการความตาย
บ้านเขาฐานะดี สามารถจ้างพยาบาลมาดูแลเขาทั้งชีวิตได้ และก็มีคนอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ แต่ก็ทำได้แค่มีชีวิตเท่านั้น ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี สมองปกติแต่ร่างกายขยับไม่ได้ ทำได้แต่ลืมตามองตัวเองที่เหมือนเด็กทารก ขี้เยี่ยวบนที่นอน ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
เขาต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต บางทีพ่อเขาอาจจะซื้อรถเข็นอย่างดีให้ มีคนคอยช่วยเข็นเขาออกไปข้างนอก จากนั้นสายตาของผู้คนก็จะพุ่งมาที่เขา พอเขาถูกเข็นไปไกลแล้วก็จะมีคนซุบซิบนินทา
ลูกตาหลี่พิการแล้วนะรู้ยัง ได้ยินว่าขี้เยี่ยวบนเตียงด้วย โตป่านนี้แล้ว…
ก่อนหน้านี้เขาเคยโดนดูถูกมากมายจากการเป็นรักร่วมเพศ เขาทนคนนินทาลับหลังมาพอแล้ว พ่อที่น่าภาคภูมิใจและใสสะอาดถูกคนหมิ่นเกียรติก็เพราะเขา แล้วเขาจะปล่อยให้พ่อแม่โดนคนข้างนอกนินทาเรื่องที่เขาเป็นคนพิการอีกได้ยังไง?
เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจความรู้สึกของหลี่เจิ้น เพราะเมื่อชาติที่แล้วเธอเคยรักษาคนไข้แบบนี้มาหลายคน บางคนมาให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาหลังจากที่ประสบเคราะห์พิการทางร่างกาย เธอต้องช่วยให้พวกเขายอมรับความจริงให้ได้ ยอมรับที่ตัวเองไม่สมบูรณ์
แต่ก็มีหลายคนที่สถานการณ์กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น
หลี่เจิ้นคือแบบหลัง
เธอมองสีหน้าหลี่เจิ้นที่หมดความหวัง เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการปลอบใจ แต่กลับช่วยเสริมความคิดเขา
“ถึงบ้านเราจะยังไม่มีการุณยฆาต แต่ฉันวางตัวเป็นกลางกับการตายด้วยวิธีนี้นะ ไม่ได้เห็นด้วยและก็ไม่ได้คัดค้าน เรื่องราวอย่างละเอียด การวิเคราะห์อย่างละเอียด ถ้าไม่ถึงจุดนั้นก็ไม่มีใครตัดสินแทนคนอื่นได้หรอกว่ามันถูกหรือผิด ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง การที่นายพิการมันเป็นเรื่องที่หนักหนามากจริงๆ นายมีความคิดอยากฆ่าตัวตายนั่นก็เป็นอาการปกติ ฉันมีเจอเคสแบบนี้อยู่บ้าง แค่ตอนที่ฉันทำการรักษาให้พวกเขา ในใจของฉันเจ็บปวดมาก”
“ทำไมล่ะ?” หลี่เจิ้นเกิดความรู้สึกสนใจในคำพูดของเสี่ยวเชี่ยน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสนใจในคำพูดของคนอื่นนับตั้งแต่เกิดเรื่อง บนตัวเสี่ยวเชี่ยนเหมือนมีเวทมนตร์วิเศษ ไม่มีใครเดาความคิดเธอได้ แต่เธอกลับรู้ว่าต้องทำอย่างไรคนอื่นถึงจะฟังคำพูดเธอ
หลี่เจิ้นยังไม่รู้ตัวว่าเขาได้กลายเป็นคนไข้ของเสี่ยวเชี่ยนไปแล้ว
“เพราะว่าการมีชีวิตอยู่ต่อทุกข์ยิ่งกว่าการตาย จริงๆนะ ฉันเคยรักษาให้นักกีฬาที่เป็นอัมพาตทั้งตัว เขาอยากให้คนในครอบครัวสบายใจจึงพยายามให้ความร่วมมือในการรักษากับฉัน ต่อสู้กับอาการซึมเศร้าครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันรักษาให้เขาครั้งหนึ่ง กลับไปต้องกินเหล้าขาวครึ่งขวด”
“คุณดื่มเหล้าด้วยเหรอ?” ดูไม่ออกเลยจริงๆ เสี่ยวเชี่ยนดูเป็นเด็กดี
“เรื่องนี้ห้ามบอกอวี๋หมิงหลางนะ นี่เป็นความลับระหว่างเรา ฉันไม่ใช่พวกขี้เมา แต่ทุกคนล้วนต้องมีที่ระบายอารมณ์ ถ้าตอนนั้นฉันอยู่กับอวี๋หมิงหลางก็คงไม่ต้องใช้เหล้าแก้ปัญหา จิตแพทย์อย่างพวกเราวันๆเจอแต่เรื่องด้านลบ ถึงเราจะทำงานที่ปลอบใจคนอื่น แต่บางครั้งพวกเราต้องเจอกับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ได้แต่เก็บความอึดอัดไว้ ดื่มเหล้าปลอบใจตัวเอง”
ถ้าชาติที่แล้วเธออยู่กับอวี๋หมิงหลาง จะดื่มเหล้าแก้เซ็งทำไม จับเสี่ยวเฉียงแก้ผ้าแล้วลากขึ้นเตียงซะ กลิ้งไปกลิ้งมาให้เหงื่อออก อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าจิตใจจะสดชื่นไปทั้งอาทิตย์
นี่เป็นวิธีที่เสี่ยวเชี่ยนคิดได้หลังจากที่สูญเสียพรหมจรรย์ รู้สึกว่าเสี่ยวเฉียงมีประโยชน์มากเหลือเกิน
“ถ้าผมไม่เกิดเรื่อง บางทีพวกเราอาจมีโอกาสได้เป็นเพื่อนกัน น่าเสียดาย…” เวลานี้หลี่เจิ้นเพิ่งจะค้นพบว่า เสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่คนที่ทำตัวเย่อหยิ่งเจ้าเล่ห์แผนสูงอย่างที่เขาคิด เวลาเธอทำงานเธอมีจิตใจที่บริสุทธิ์
แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป เขาไม่อาจมีเพื่อนได้อีกต่อไปแล้ว เขากำลังจะจากโลกอันโหดร้ายนี้ไป