ตอนที่ 79 ความเคลื่อนไหวที่เจดีย์จิ่วโยว
หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ มาทั้งวัน ในที่สุดก็สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตัวจริงได้สำเร็จแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฝนที่ตกข้างนอกก็ค่อยๆ หยุดตกไปในที่สุด
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่ประตูที่นางทำพังไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และเริ่มคิดว่าจำเป็นต้องนอนที่นี่ต่อไปหรือไม่
ทันใดนั้นสีหน้าของหรงซิวพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้ามองไปทางประตู
ราตรีอันแสนมืดมิด อำพรางกระแสน้ำจนมืดสนิท
สักพักเขาจึงเอ่ยว่า
“ในเมื่อฝนหยุดตกแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ฉู่หลิวเยว่แปลกใจอย่างยิ่ง
“ไหนพระองค์บอกว่าจะค้างที่นี่หนึ่งคืนมิใช่หรือ แม้ฝนจะหยุดตกแล้ว แต่พอพระองค์เสด็จออกไปก็เกรงว่าอาจต้องลมได้โดยง่าย”
เมื่อได้ยินนางแอบกระแนะกระแหนเขา หรงซิวก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
“ห้องหนังสือนี่ให้คนนอนไม่ได้แล้ว หรือว่าเยว่เอ๋อร์อยากนอนร่วมห้องกับข้า”
ฉู่หลิวเยว่สบถเสียงต่ำ
นางทำเป็นแสร้งไม่ได้ยินคำพูดหยอกล้อของหรงซิว
“เป็นองค์ชายไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระอยู่แล้ว เชิญตามสบาย!”
“ไว้วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมเจ้าอีก”
หรงซิวพูดพลางยกขาก้าวออกไป
เสวียเสวี่ยมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ จากนั้นจึงรีบตามไป
“องค์ชาย ข้างนอกมีน้ำท่วม พระองค์…”
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะเตือนเขา แต่ทันใดนั้นรูม่านตากลับหดตัวลง
เท้าของหรงซิวที่เหยียบบนผืนน้ำช่างเบาราวกับขนนก โดยที่เท้าเขาไม่เปื้อนเปียกน้ำเลยสักนิดเดียว
หากสังเกตดีๆ จะเห็นได้ชัดว่ามีช่องว่างแคบๆ ระหว่างฝ่าเท้ากับผืนน้ำ
…เขาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้จริงๆ ด้วย!
มีเพียงผู้ที่บรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ห้าแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้
ฉู่หลิวเยว่มองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง
ดูเหมือนตอนนี้หรงซิวจะมีอายุเพียงสิบหกหรือสิบเจ็ดเท่านั้น พลังความสามารถของเขามาถึงระดับที่น่าอัศจรรย์ขนาดนี้ได้จริงๆ!
อ่อนแอที่ไหนกัน
เกรงว่าทุกคนน่าจะประเมินหลีอ๋องผู้ลึกลับผู้นี้ต่ำไป!
ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยประเมินเขาต่ำเกินไป แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ห้า!
พรสวรรค์เช่นนี้ แม้แต่ในราชวงศ์เทียนลิ่งก็ถือว่าโดดเด่นอยู่แล้ว
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังตกตะลึงและพูดไม่ออกอยู่นั้น ร่างของคนหนึ่งคนและสัตว์อสูรหนึ่งตัวก็หายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด
…
กลางดึกสงัด ฉู่หลิวเยว่ก็กลับไปนอนที่ห้องนอนของตนเอง
ทว่าเมื่อเห็นเสื้อคลุมสีดำข้างเตียง นางก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาทันที หรงซิ่วลืมเอาสิ่งนี้ไปจริงๆ ด้วย!
ฉู่หลิวเยว่เบะปากคว่ำด้วยความหงุดหงิด กระนั้นสุดท้ายก็ยังเก็บเสื้อคลุมตัวใหญ่ผืนนั้นเอาไว้แล้วคิดว่าค่อยหาเวลาส่งกลับคืน
อาจเป็นเพราะวันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น นางผล็อยหลับไปหลังจากล้มตัวนอนลงได้ไม่นาน
…
หรงซิวออกจากบ้านของนาง เดินตรงไปบนถนนพื้นหินที่เข้มแล้วเลี้ยวตรงหัวมุม
มีคนหนึ่งเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
“คารวะนายท่าน”
คนผู้นั้นคือเยี่ยนชิง
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
หรงซิวถามเสียงเรียบนิ่ง
“นายท่าน มีข่าวจากชวนฉยงเมื่อสักครู่ว่ามีความเคลื่อนไหวในเจดีย์จิ่วโยวแล้วขอรับ!”
เยี่ยนชิงปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา แล้วพูดกระหืดกระหอบ
หากไม่ใช่เรื่องด่วน เขาจะกล้ามาติดต่อหานายท่านในเวลานี้ได้เยี่ยงไรกัน
ทว่าเรื่องนี้รอช้าไม่ได้แล้วจริงๆ!
ชวนฉยงเป็นอาจารย์ที่สำนักเทียนลู่ แม้ว่าเขาจะมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อม แต่ปกติเขามักจะถ่อมตัวไม่สุงสิงกับใคร
ไม่มีใครรู้ว่าอันที่จริงแล้วเขาเป็นคนของหรงซิว
สถานะของสำนักเทียนลู่นั้นอยู่เหนือผู้ใดทั้งปวง แม้แต่ราชวงศ์ก็ยังไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่มีใครคิดว่าหรงซิวผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่นอกวังมาหลายปีจะฝากฝังจุดไต้ตำตอในสำนักเทียนลู่ตั้งนานแล้ว!
ชวนฉยงแฝงอยู่ในสำนักเทียนลู่มาหลายปีแล้วและไม่เคยติดต่อพวกเขาเลย นี่ถือว่าเป็นครั้งแรก!
เยี่ยนชิงจะกล้าดีเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้อย่างไร เขาจึงรีบวิ่งมาอย่างกระวนกระวายใจ
ตอนนี้เขาได้แต่แอบภาวนาว่าจะไม่มารบกวนเจ้านายของตน…
“อืม”
หรงซิวพยักหน้าโดยไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก
“ให้เขาจับตาดูต่อไป”
เยี่ยนชิงตกใจ
“นายท่าน ท่าน…ท่านเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ”
เจดีย์จิ่วโยวเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อสำนักเทียนลู่ ถ้านายท่านคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้มันจะเกิดความเคลื่อนไหว แล้ว….เหตุใดถึงจัดการให้ชวนฉยงเฝ้าสังเกตการณ์ตั้งแต่ต้น
เสวียเสวี่ยหาววอดๆ ราวกับว่ามันชักทนไม่ไหวแล้ว
หรงซิวเหลือบมองมันแล้วเอ่ยถามชิงเยี่ยน
“ช่วงนี้องค์หญิงสี่กำลังทำอะไรอยู่บ้าง”
ชิงเยี่ยนรีบกราบทูล
“ช่วงนี้องค์หญิงสี่ทรงโวยวายอยากออกไปลานล่าสัตว์ตลอด ยอมจ่ายเงินจำนวนมากอย่างไม่ลังเล ได้ยินข่าวว่าพระนางทรงนัดหมายลูกหลานขุนนางให้ไปที่นั่นด้วย บอกว่าจะล่าสัตว์อสูรระดับสูง เวลานัดก็คือพรุ่งนี้ขอรับ”
หรงซิวตอบ “อืม” เบาๆ และชำเลืองมองเสวียเสวี่ย
“อย่าลืมปล่อยให้องค์หญิงสี่เล่นให้สนุกไปก่อนล่ะ”
เสวียเสวี่ยเลียอุ้งเท้าของมันและจากนั้นก็มีแสงประกายในดวงตาสีฟ้าอันเยือกเย็นของมัน!
“นายท่าน เสื้อคลุมของท่าน…”
นายท่ายของเขามักสวมผ้าคลุมเวลาออกไปข้างนอก ทำไมตอนนี้มันถึงหายไปได้
หรงซิวเบนสายตากลับมา ชายคาสีเข้มค่อยๆ เลือนรางไปในความมืดมิด
“พรุ่งนี้ค่อยมารับคืน”
ตอนที่ 80 รอ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้น นางพบว่าฉู่หนิงได้กลับมาแล้ว และเขาก็กำลังรอนางอยู่ที่ห้องโถงพร้อมอาหารเช้าพอดี
นางเคยคุยกับฉู่หนิงเรื่องย้ายบ้านมาก่อน ดังนั้นฉู่หนิงจึงรู้จักคุ้นเคยกับที่นี่มาบ้างแล้ว
“ทำไมท่านพ่อกลับมาเร็วจัง ฝ่าบาทไม่ได้บอกให้ท่านอยู่ปรึกษาหาหรือตอนดึกหรือเจ้าคะ”
ฉู่หนิงมองนางด้วยความรักและเอ็นดู
“มากินข้าวเถอะ จริงๆ แล้วพ่อกลับมาตอนกลางดึก แต่ไม่ได้เรียกเจ้า เพราะเห็นว่าเจ้าหลับแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่นั่งลงข้างเขา นางมองดูอาหารเช้าร้อนๆ และพูดติดตลกว่า
“ตอนนี้ท่านพ่อเป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว อาหารมื้อนี้ช่างดูหรูหรายิ่งนัก!”
ฉู่หนิงยกมือขึ้นเหมือนอยากจะลูบหัวนาง กลับหยุดชะงัก เขาก็ชักมือกลับและถอนหายใจ
“สำหรับพ่อ เจ้าสำคัญที่สุด เมื่อวานเป็นวันปักปิ่นของเจ้า ตอนแรกพ่อกะว่าหลังจากคุยกับฝ่าบาทเสร็จแล้วจะรีบกลับมา กลับคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะให้อยู่คุยต่อจนดึกดื่น ทั้งยังมีฝนตกหนักอีก พ่อก็เลยกลับมาซะดึกเลย”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอุ่นวาบในใจ
“เมื่อวานพ่อทำบะหมี่อายุยืนให้เยว่เอ๋อร์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ฉู่หนิงส่ายหน้าเป็นการขอโทษด้วยความรู้สึกเสียใจ
“น่าเสียดายที่พ่อไม่สามารถทำพิธีสำคัญให้กับเยว่เอ๋อร์ได้”
“ท่านพ่อได้เป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว อีกอย่าง ท่านพ่อยังตัดขาดกับตระกูลฉู่ตามที่สัญญากับเยว่เอ๋อร์ แค่นี้เยว่เอ๋อร์ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่หนิงแตกต่างจากนาง เพราะเขามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อตระกูลฉู่มากกว่า
เมื่อเขาได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วยอมตกปากรับคำทันที
“เราเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก่อน และการหันหลังให้กับตระกูลฉู่ก็มีแต่จะทำให้เลวร้ายลง ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่น!”
ฉู่หนิงหัวเราะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“พ่อคิดไม่ถึงเลยว่า ไม่เพียงแต่ชีพจรเดิมของเยว่เอ๋อร์จะได้รับการฟื้นฟู เรายังมีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์อีกด้วย เจ้าไม่ต้องกังวล พ่อได้ให้ลูกน้องส่งคำเชิญไปแล้ว ตอนเที่ยงจะจัดฉลองให้เยว่เอ๋อร์ที่หออิ๋งปินกัน”
สถานะของเขาตอนนี้แตกต่างไปจากเดิม คนที่เคยมีสัมพันธไมตรีต่อกันเมื่อหลายปีก่อนก็กลับมา เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องง่ายดาย
“เยว่เอ๋อร์คิดว่าควรจัดโต๊ะกี่โต๊ะดี พ่อให้จ้าวหมิงจัดสักสิบโต๊ะพอหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่ยกชามโจ๊กขึ้นมา
“ให้ท่านพ่อทำตามใจเถิด”
“เช่นนั้นก็จัดสิบโต๊ะไปก่อน ไม่พอค่อยเพิ่มทีหลัง”
ขณะนั้นเอง ชายในชุดเกราะขององครักษ์ก็เดินเข้ามาจากด้านนอกประตู
“คารวะผู้บัญชาการ”
“จ้าวหมิง เจ้าเคยติดต่อกับโรงเตี๊ยมอิ๋งปินหรือไม่” ฉู่หนิงถามด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของจ้าวหมิงมีความลังเลเล็กน้อย
“ผู้บัญชาการ ทางโรงเตี๊ยมอิ๋งปินบอกว่าวันนี้แขกเต็มแล้ว ไม่สามารถจัดงานเลี้ยงให้ได้แล้วขอรับ…”
รอยยิ้มของฉู่หนิงสลดลงเล็กน้อย
“เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นก็ได้ โรงเตี๊ยมชุนซิ่งก็ไม่เลว”
จ้าวหมิงยิ่งก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม
“…ผู้บัญชาการ ข้าน้อยก็ได้ไปถามโรงเตี๊ยมชุนซิ่งมาแล้วเหมือนกัน พวกเขาบอกว่าวันนี้ไม่ว่าง โรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเต็มหมดแล้วขอรับ…”
ฉู่หนิงก็พอจะตระหนักถึงบางอย่างขึ้นมาได้
“แสดงว่าพวกเขาไม่ต้อนรับใช่หรือไม่”
จ้าวหมิงไม่กล้าพูดออกมา
อันที่จริงเขมไม่ได้แค่เข้าไปถามโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แม้กระทั่งร้านเล็กๆ ธรรมดาเขาก็ไปถามมาหมดแล้ว
ตอนแรกที่ได้ยินว่าจะจัดงานเลี้ยง พวกเขาต่างทำตัวสุภาพมาก พอได้ยินว่าคนที่จะจัดงานคือฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่ ก็ปฏิเสธทันทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ทุกคนต่างมีปฏิกิริยาเหมือนกันหมดราวกับว่าได้มีการเจรจากันอย่างดีมาแล้ว
ฉู่หนิงพลันมีสีหน้าเย็นชาแล้วค่อยๆ กำหมัดแน่น
เห็นได้ชัดว่าตระกูลฉู่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
พวกเขาจงใจทำให้พวกเราตกที่นั่งลำบาก!
…
ณ ตระกูลฉู่
“หมินหมิ่นผู้น่าสงสารของข้า! นังฉู่หลิวเยว่โหดเหี้ยมจริงๆ กล้าทำร้ายเจ้าจนถึงขั้นนี้!”
ฉู่เซียนหมิ่นถูกส่งกลับมาที่ตระกูลฉู่เมื่อวานนี้ เมื่อลู่เหยาเห็นโฉมหน้าของบุตรสาวก็แทบจะเป็นลมทันที
แม้เรื่องราวจะผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว แต่เมื่อนางเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกก็ยังคงโกรธจนตัวสั่น
ฉู่เซียนหมิ่นนอนอยู่บนเตียงอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าของนางขาวซีดราวกับผี สภาพนางช่างน่าเวทนายิ่งนัก
ข้างเตียงของนาง มีเศษกระจกที่แตกกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
สายตาของนางเหม่อลอยและทำได้เพียงพูดละเมอไม่หยุด
“หน้าของข้า…หน้าของข้า…”
เมื่อนางพูดก็ร้องไห้อีกครั้ง
“ท่านแม่ หน้าของข้า องค์ชายรัชทายาทไม่ต้องการข้าอีกแล้ว เป็นเพราะนังฉู่หลิวเยว่ผู้เดียว นังสารเลว มันต้องสมควรตาย!”
ลู่เหยาก้าวไปข้างหน้าและกอดนางด้วยความเจ็บปวดสงสาร แล้วกัดฟันพูดกรอดๆ
“หมินหมิ่น! ใบหน้าของเจ้าจะต้องหายดี แม่จะช่วยเจ้าแน่นอน แล้วแม่จะไม่ปล่อยนังฉู่หลิวเยว่นั่นไปเด็ดขาด!”
ในที่สุดฉู่เยี่ยนที่มีสีหน้านิ่งขรึมมาตลอดก็ทนไม่ไหวจึงตวาดลั่น
“พอได้แล้ว ร้องให้มันได้อะไร หน้าตาเจ้าจะไปทำอะไรได้ พรสวรรค์ของเจ้าถูกนางบดขยี้ต่างหากที่สำคัญกว่า”
ฉู่เซียนหมิ่นหดถอยตัวไปน้ำตาไหลพราก
แต่ถึงอย่างไรนางก็คือบุตรสาวของตน ฉู่เยี่ยนรู้สึกเห็นอกเห็นใจนาง เขาระงับโทสะแล้วกล่าวว่า
“ไม่ต้องห่วง พ่อจะล้างแค้นให้! ไม่ว่าจะเป็นฉู่หลิวเยว่หรือฉู่หนิงก็ไม่มีทางดี้ไปกว่านี้ เมื่อวานนี้พวกมันสะใจมากมิใช่หรือ แล้วยังจะจัดงานเลี้ยงดื่มฉลองอีก ข้าอยากจะดูสิว่าใครจะกล้าต่อสู้กับตระกูลฉู่ อยากจะมีที่ยืนในเมืองหลวง คงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอก!”
ฉู่เซียนหมิ่นจิกชายกระโปรงอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้ฉู่หนิงได้เป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็กลายเป็นอัจฉริยะ ต่อให้จัดงานเลี้ยงไม่ได้ แต่ต่อไป…”
ลู่เหยายิ้มอย่างเยือกเย็น
“พวกมันจะมีคำว่าต่อไปหรือไม่ มันก็ไม่แน่หรอก”
…
“ท่านพ่อ อย่าถามอีกเลย โรงเตี๊ยมในเมืองหลวงเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าได้รับสินบนบางอย่างมา หรือต่อให้ไม่ได้รับสินบนก็ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับตระกูลฉู่หรอกเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่ดื่มโจ๊กอย่างใจเย็นและเช็ดมุมปาก
ทว่าฉู่หนิงกลับขมวดคิ้ว
ไหนบอกว่าจะดื่มฉลองกัน แต่ตอนนี้เกรงว่าจะจัดงานฉลองไม่ได้แล้ว
หากพูดออกไปก็เกรงว่าคนในเมืองหลวงจะหัวเราะเยาะเอา
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป” ฉู่หนิงไม่ต้องการให้ลูกสาวของเขาได้รับความไม่ยุติธรรมอีกต่อไป “หากไม่ได้จริงๆ ข้าจะไปเอง…”
ที่เขาพูดไปแบบนั้นเพราะเขาคือผู้บัญชาการราชองครักษ์ พวกเขาคงไม่ทำให้เขาเสียหน้าหรอก
ฉู่หลิวเยว่จับแขนเขาไว้แล้วส่ายหน้า
“ท่านพ่อไม่ต้องออกหน้าหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ทุกคนกำลังจับตามองเราอยู่ เราทำเช่นนี้ก็เหมือนกับเราแพ้พวกเขาไปหนึ่งก้าว”
“หรือจะปล่อยไปทั้งเช่นนี้น่ะหรือ”
“ไม่ พวกเราต้องรอ”
“รอ?”
“งานดื่มฉลองไม่สำคัญ ที่สำคัญคือผู้ที่มาร่วมงานต่างหาก”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองสีของท้องฟ้า
“ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยาม จากเวลาที่ท่านนัดเอาไว้ มาดูกันว่าคราวนี้ใครจะมา”