ก๊อกๆๆ!
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะที่ด้านนอกประตู
จ้าวหมิงเดินไปเปิดประตูและเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
“เจ้าเป็นใคร”
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ใต้เท้าองครักษ์นี่เอง”
จ้าวหมิงขมวดคิ้วและรู้สึกว่าคนนี้ไม่ได้มาดี ดังนั้นเขาจึงชักสีหน้าแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“มีอะไรก็พูดมาสิ แล้วรีบออกไปซะ!”
เขาพูดพลางทำท่าจะปิดประตูใส่
“นี่…อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ที่ข้ามาเพราะมีธุระ”
ชายคนนั้นรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วหยุดการเคลื่อนไหวของจ้าวหมิง จากนั้นใช้โอกาสนี้มองเข้าไปในประตู ราวกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“ถ้ายังไม่ไปอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
จ้าวหมิงพูดพลางคว้าข้อมือและผลักคนผู้นั้นออกไปอย่างแรง!
บ่าวรับใช้คนนั้นเดินเซและล้มลงกับพื้น เจ็บจนต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและความโกรธของเขาก็ปะทุขึ้นทันที
“รู้ไหมว่าข้าเป็นใครถึงได้ผลักข้าแบบนี้! ข้าเป็นถึงคนของตระกูลฉู่เชียวนะ!”
เมื่อจ้าวหมิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็หันกลับมาและหัวเราะ
คนตระกูลฉู่ถ่อมาถึงที่นี่เพื่อมาหาเรื่องมิใช่หรือ
“เจ้า…!”
“นี่คือบ้านของฉู่หลิวเยว่เองหรือ ซอมซ่อเล็กอย่างกับรังหนู ถุ๊ย!” บ่าวรับใช้ตระกูลฉู่คนนั้นตะเกียกตะกายลุกขึ้น แล้วยิ่งทำตัวกำเริบมากขึ้น “ไหนบอกว่าวันนี้จะจัดงานดื่มฉลองกันมิใช่รึ ถุ๊ยๆ นี่ก็ครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่มีใครมาอีกหรือ เงียบเป็นป่าช้า”
“ปากหมา ไม่เห็นจะเงียบเป็นป่าช้าสักนิด”
มีน้ำเสียงเย็นชาของหญิงสาวดังขึ้นมา ซึ่งเป็นฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิงที่ออกมาพอดี
จ้าวหมิงรีบเอ่ยขึ้น
“ผู้บัญชาการ คุณหนูใหญ่ คนนี้จงใจมาก่อกวน ข้าน้อยจะรีบไล่เขาไปเองขอรับ!”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นและมองดูบ่าวรับใช้หนุ่มคนนั้นด้วยความสนใจ
“ทำไม เดี๋ยวนี้คนในตระกูลฉู่ไร้ความสามารถแล้วหรือ พวกเขาถึงได้ไม่กล้าแม้แต่จะมาเอง”
บ่าวรับใช้คนนั้นโกรธหน้าดำหน้าแดง
“เจ้าด่าใครเป็นหมาฮะ!”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
“ใครอยากรับก็รับไปสิ!”
บ่าวรับใช้คนนั้นสะอึกอย่างแรง ดวงตาของเขากลอกไปมาและหัวเราะเยาะเย้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หึ ไหนเมื่อวานเจ้าบอกจะจัดงานดื่มฉลองมิใช่หรือ จนป่านนี้แล้วท่านทั้งสองยังอยู่ที่บ้านอีกหรือ คงมิใช่ว่า…ไม่มีแม้กระทั่งสถานที่จัดงานหรอกกระมัง หรือพวกท่านจะทำอาหารเลี้ยงแขกกันในบ้านโกโรโกโสนี่ดีล่ะ ก็ไม่น่าใช่อีก เกรงว่าจะไม่มีใครมาเลยต่างหากใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆ!”
ฉู่หนิงหน้านิ่งขรึม
“สงสัยเจ้าคงไม่อยากมีปากนี่แล้ว!”
บ่าวรับใช้ตระกูลฉู่คนนั้นสะดุ้ง แล้วถอยไปข้างหลังด้วยความหวาดกลัว
ได้ยินมาว่ายามนี้ฉู่หนิงได้ฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ห้าแล้ว และลมปราณก็แตกต่างออกไปจริงๆ!
กระนั้น…แล้วยังไงล่ะ
ในเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ คงไม่มีใครคบค้าสมาคมกับสองคนพ่อลูกนี้ด้วยหรอก!
ไม่มีแม้กระทั่งโรงเตี๊ยมที่ยินดีช่วยเหลือพวกเขา
เขายักไหล่เยาะเย้ย
“โอ้ ตอนนี้ใต้เท้าฉู่หนิงได้เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์แล้วนี่ คงไม่ถือสาผู้น้อยอย่างข้าหรอกกระมัง อีกอย่าง ข้าน้อยมาเพื่อช่วยท่าน ผู้อาวุโสใหญ่ให้ข้าฝากมาบอกท่านว่าหากท่านไม่มีที่จัดงาน ก็มิใช่ว่าจะไม่มีวิธี”
“ตระกูลฉู่มีโรงเตี๊ยมหลายแห่ง หากท่านไม่เกี่ยง ผู้อาวุโสก็ไม่แล้งน้ำใจให้ท่านใช้สถานที่ได้ แล้วยังใจดี…ลดราคาให้ท่านอีกด้วย ท่านว่าดีหรือไม่”
นี่คือจุดสิ้นสุดของความอัปยศอดสู!
“ใต้เท้าฉู่หนิงอย่าเพิ่งอารมณ์เสีย ผู้อาวุโสก็แค่อยากช่วยท่าน! ท่านดูสิ เมื่อวานพวกท่านบอกเอาไว้เสียดิบดีว่าจะจัดงานดื่มฉลอง หากวันนี้ไม่มีสถานที่…”
เขาตบหน้าเบาๆ “หน้าหัวหน้าองครักษ์ของท่านจะเอาไปไว้ที่ไหน”
ไฟแห่งความโกรธโหมกระหน่ำในใจของฉู่หนิง เขารวมพลังที่ฝ่ามือและพร้อมที่จะกำจัดเขาทันที
ในขณะนั้นเอง ก็มีอีกคนเข้ามาใกล้ไม่ไกล
“ขอถามสักหน่อย ที่นี่คือบ้านของคุณหนูฉู่หลิวเยว่หรือไม่”
พวกเขาต่างหันไปมอง
ผู้มาเยือนเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาดียิ้มแย้มแจ่มใส
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ที่นี่เป็นบ้านของข้าเอง ไม่ทราบว่าท่าน…”
ชายคนนั้นประหลาดใจเล็กน้อย แล้วยิ้มอย่างเป็นมิตรมากขึ้น
“เสียมารยาทแล้วๆ ที่แท้ท่านก็คือคุณหนูฉู่หลิวเยว่นี่เอง ข้าน้อยคือเจ้าของโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง นามว่าซูหุย”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา คนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกตะลึง
โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงเป็นโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงที่มีอายุนับร้อยปีและมีชื่อเสียงมาก
มีข่าวลือว่าโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงมี ‘สามเอกลักษณ์’ รสชาติที่เลิศรส ราคาที่แพงหูฉีก และทัศนียภาพที่งดงามไม่มีที่เปรียบ!
บอกเลยว่ารสชาติถูกปากถูกใจทุกคนที่ได้ลิ้มลอง
ซึ่งเหมาะสมกับราคาที่คนธรรมดาเอื้อมไม่ถึง
แม้แต่ลูกหลานของตระกูลขุนนางบางตระกูลก็อาจไม่สามารถมาทานอาหารกันที่นี่ได้
ส่วนทิวทัศน์บรรยากาศตั้งแต่ชั้นบนลงล่าง จากด้านนอกไปจนถึงด้านในมีความหรูหราโอ่อ่าสง่างามเป็นเอกลักษณ์ของเมืองหลวง!
ด้วยเหตุนี้โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงจึงเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งในเมืองหลวง
โรงเตี๊ยมอิ๋งปินและที่อื่นๆ ไม่มีทางเปรียบเทียบได้
ทว่าตอนนี้เจ้าของโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงมาทำอะไรที่นี่
“ท่านมาที่นี่มี…”
“ได้ยินมาว่าคุณหนูฉู่หลิวเยว่จะจัดงานดื่มฉลอง ไม่ทราบว่าโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงมีคุณสมบัติพอที่จะรับใช้ท่านหรือไม่”
บรรยากาศบริเวณโดยรอบก็เงียบลงทันที
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“ท่านหมายความว่า…พวกท่านยินดีให้เราจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้หรือ”
ซูหุยโค้งตัวลงเล็กน้อย
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“…”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้คาดคิดจริงๆ ว่าหลังจากที่ถูกปฏิเสธจากโรงเตี๊ยมทั้งหมดในเมืองหลวง แล้วโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงจะเสนอช่วยเหลือพวกเขา!
ในเวลานี้ กระทั่งฉู่หนิงก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“เถ้าแก่ซู ท่านพูดจริงหรือ แต่การจะจัดงานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงได้ต้องของล่วงหน้าเป็นเดือนเลยมิใช่หรือ ตอนนี้พวกเราไป…ก็คงไม่มีที่หรอกกระมัง”
โรงเตี๊ยมอื่นไม่ต้องพูดถึง ทว่าที่โต๊ะที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงคงเต็มตลอดแน่นอน!
ซูหุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้าฉู่หนิงมิต้องเป็นห่วง วันนี้โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงไม่รับแขกอื่น แล้วจัดบริการสำหรับคุณหนูหลิวเยว่เท่านั้น”
“…”
เสียงของซูหุยดั่งฟ้าร้องในหูของพวกเขาสามคน และเป็นเวลานานโดยที่ไม่สามารถสงบอารมณ์ลงได้
ฉู่หลิวเยว่เป็นฝ่ายได้สติกลับมาก่อน
นี่คือ…มีคนช่วยกู้หน้าสถานการณ์ใช่หรือไม่
ที่สำคัญคือใครเป็นยื่นมือช่วย
นางไร้สหายในเมืองหลวง ไร้ผู้สนับสนุน คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ
ใครเต็มใจเสี่ยงที่จะสู้กับความอันตรายของตระกูลฉู่เพื่อช่วยนางแบบนี้
ไม่ถูกต้อง
ทำให้โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงทำเช่นนี้ได้ คนนั้นจะต้องมีเบื้องหลังและอำนาจที่แข็งแกร่ง แล้วจะเกรงกลัวตระกูลฉู่ได้อย่างไร
“เถ้าแก่ซู ท่านแน่ใจว่าจะช่วยเราจริงหรือ ข้าได้ยินมาว่าชาหนึ่งถ้วยของท่านราคาห้าร้อยตำลึง หลังจากงานเลี้ยงนี้ข้าเกรงว่าสองคนนี้จะไม่มีปัญญาจ่ายเงินให้ท่าน ท่านอยากขาดทุนนักหรือ”
บ่าวรับใช้คนนั้นคิดไม่ถึงว่าคนจากโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงจะมาที่นี่ เขาจึงประหลาดใจ กระนั้นฝีปากก็ยังไม่ยอมแพ้แล้วเอ่ยค่อนแขวะอย่างแข็งกร้าว
ซูหุยได้ยิน แต่ไม่แม้แต่จะมองเขา และยิ้มให้ฉู่หลิวเยว่
“คุณหนูหลิวเยว่ไม่ต้องกังวลไป วันนี้มีคนจ่ายเงินทั้งหมดให้ท่านแล้ว”
“ใครหรือ”
“คุณชายรองเหยียน”
คุณชายรองเหยียน?
หรือว่าจะเป็น…เหยียนเก๋อจากเจินเป่าเก๋อ
“ท่านยังไม่ทราบหรือ ที่ดินพื้นที่ล่าสัตว์ที่ท่านขายให้พวกเขาก่อนหน้านี้มีสัตว์อสูรระดับสุงปรากฏตัว เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ คุณชายรองเหยียนจึงเหมาโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงให้ท่านโดยเฉพาะ แล้ววันนี้เขาก็จะมาดื่มฉลองให้ท่านในวันนี้อีกด้วย”
“ใต้เท้าฉู่หนิง คุณหนูหลิวเยว่ เชิญขอรับ…”