ตอนที่ 69 : ออกเดินทาง
ในสนามซ้อมมีชายสองคนถือมีดไว้ในมือกำลังประมือกันอยู่
5 นาทีต่อมาทั้งสองก็ปะทะกันกว่าร้อยครั้ง ทุกครั้งที่มีดเสียดสีกันก็จะมีสะเก็ดไฟกระเด็นออกมา
“หวังเย่า นายก้าวหน้าขึ้นมาอย่างมาก ตอนนี้นายสู้กับอารอนได้แล้ว” อาจารย์เฉินจื้อหรานยิ้มออกมา ก่อนจะเข้ามาหาหวังเย่า เพื่ออธิบายรายละเอียดการต่อสู้ของทั้งคู่ และกล่าวถึงข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ที่ต้องกลับไปพัฒนา
หวังเย่าตั้งใจฟังอย่างมาก ในเดือนนี้ทักษะการใช้มีดและธนูของเขาก้าวหน้าขึ้นมาอย่างมาก นอกจากคอยฝึกฝนด้วยตัวเองแล้ว ก็ยังมีครูคอยชี้แนะต่างหากอีก
“อาจารย์ ผมคิดว่าทักษะของผมดีพอแต่เป็นเพราะผมไม่เด็ดขาดและขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริง” หวังเย่าเอ่ยขึ้นมา
“ใช่ ดูอารอนสิ เขาเคยฆ่าสัตว์อสูรนับครั้งไม่ถ้วนที่นอกเมืองมาแล้ว ระยะเวลาฝึกฝนของนายกินเวลาแค่ครึ่งเดียวของเขา แต่กลับมีพลังอยู่ใน 10 อันดับแรกของชั้นเรียนนี้ได้ก็ถือว่ายอดเยี่ยม”
หวังเย่าพยักหน้า แน่นอนว่ามีแค่คนที่มีประสบการณ์ต่อสู้เฉียดตายจริง ๆ เท่านั้นที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“อาจารย์ ผมรู้ครับว่าต้องทำยังไง” หวังเย่าพูดขึ้น
“ดีแล้ว” อาจารย์เฉินจื้อหรานตบไหล่หวังเย่า “ฉันต้องบอกว่านายคือนักเรียนที่ขยันที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา เมื่อรวมกับพรสวรรค์ด้านผู้ใช้อสูรของนายที่ค่อนข้างดีแล้ว ฉันล่ะคาดหวังในตัวนายจริง ๆ “
“แต่พรุ่งนี้นายต้องไปมหาวิทยาลัยหัวเซี่ย เราไม่น่าจะได้พบกันง่าย ๆ ฉันคงไม่ได้ไปส่งนาย ฉันหวังว่านายจะดูแลตัวเองได้ดีและรักษาความขยันและกล้าหาญนี้เอาไว้”
หวังเย่าพยักหน้าและพูดขึ้น “ขอบคุณอาจารย์มากครับ คืนนี้ผมขอเชิญทุกคนไปทานข้าวเพื่อเลี้ยงขอบคุณ”
“มันยากนะที่เด็กน้อยอย่างนายจะมาเชิญฉัน” อารอนหัวเราะออกมา
“หวังเย่า หวังว่านายจะมีอนาคตที่สดใส” นักเรียนอีกคนพูดขึ้น
….
เมื่องานเลี้ยงจบลงทุกคนก็พากันกลับไปด้วยสภาพที่เมาหัวราน้ำ
หวังเย่าพาพวกนั้นไปเปิดห้องที่โรงแรมก่อนที่จะกลับไปที่ห้องพักของตัวเองเพื่อพักผ่อน
วันต่อมาเมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้น หวังเย่าก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกายตามกิจวัตรประจำวันของเขา ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง
เดือนนี้นอกจากฝึกในคลับแล้ว ธุระอื่น ๆ ก็แทบจะเสร็จหมดแล้ว เขาได้เงินจากโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์มาแล้วด้วย
เงิน 100,000 เครดิตนี้เขารับอย่างไม่รู้สึกผิดอะไร เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้พนันกับกลุ่มทหารกระทิง จึงทำให้ทางโรงเรียนได้เงินไปถึง 1 ล้านเครดิต เงินที่เขาได้กลับมาก็แค่ 1 ใน 10 เท่านั้น
นอกจากนี้แล้วบ้านของพ่อแม่เขานั้นก็ถูกขายไปแล้วด้วย
ถ้ายังมีคนรึสิ่งของอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะทำให้เขากังวล
ยังไงซะเขาก็แค่คนนอก พ่อแม่ของหวังเย่าจริง ๆ นั้นได้ตายไปก่อนที่เขาจะมายังโลกนี้เสียอีก
ตามที่ทหารคนอื่น ๆ บอกมา ทั้งสองถูกกลืนเข้าไปในท้องของสัตว์อสูร มันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะรอดมาได้
ส่วนหลี่ว่านเฟิงนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับเขายังไง และพ่อแม่เขาเกี่ยวข้องกับหลี่ว่านเฟิงยังไง ก่อนที่จะเดินทางออกจากเมืองนั้นเขาไม่ได้ไปพบกับหลี่ว่านเฟิงเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังส่งข้อความผ่านเบอร์ที่อยู่บนนามบัตรไปหา ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รับข้อความตอบกลับใด ๆ
หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่ตลาดมืดอีกครั้ง เสี่ยวเว่ยนั้นถือว่าผูกพันกับเขามาก เธอถึงกับทำให้เขาหวั่นไหว
โชคร้ายที่เขามาช้าไปหน่อย เสี่ยวเว่ยได้ลาออกมา 2-3 วันแล้ว ตามที่เย่เหยียนบอกมาแล้ว ญาติเธอมารับไปอยู่เมืองอื่น และเดาว่าเธอคงไม่กลับมาที่นี่อีก
หวังเย่าได้แต่สลด ดูเหมือนว่าชะตาจะพรากพวกเขาจากกัน
“เครื่องบินจากเมืองอรุณไปที่เมืองหัวเซี่ยมี 1 รอบต่อเดือน มันจุคนได้พันคน” โจวอวิ๋นที่นั่งอยู่บนรถโดยสารพูดขึ้นมา “ เมืองอรุณมีแค่ 5 เส้นทาง เส้นทางแรกไปเมืองหัวเซี่ย, อีก 4 เส้นทางไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด แต่ละเส้นทางจะมีรอบบินแค่เดือนละรอบ”
“ฉันจำได้ว่าก่อนเกิดหายนะ มันมีเครื่องบินเยอะมากเครื่องบินออกเดินทางทุกวัน วันละหลายรอบเที่ยวบิน แต่ตอนนี้มีสัตว์อสูรอยู่ด้านนอกเป็นจำนวนมาก และมีพวกนักล่าที่บินได้ รวมถึงมิติภายนอกจำนวนมากที่โผล่ขึ้นมา ซึ่งเป็นการรบกวนสัญญาณ คนทั่วไปคงยากที่จะขึ้นเครื่องบินได้ ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้อาศัยบารมีของนายขึ้นเครื่องบินสักครั้ง”
เมื่อได้ยินโจวอวิ๋นพูดแบบนั้น หวังเย่าก็ส่ายหน้า ชายคนนี้พูดมากจริง ๆ
“ไม่ต้องดีใจไป” หวังเย่าพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “เราจะไปเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยหัวเซี่ย ค่าตั๋วลด 20% ประหยัดไป 10,000 เครดิต คนอื่นจ่ายถึง 50,000 เครดิต ฉันบอกแล้วว่าจะดูแลนาย ฉันไม่มีทางปล่อยให้นายลำบากแน่”
โจวอวิ๋นพูดขึ้นทันที “อาเย่า นายนี่ดีกับฉันจริง ๆ ฉันจะตอบแทนนายให้ได้”
ทั้งสองพูดคุยกันระหว่างทาง ไม่นานก็มาถึงอีกฝั่งของเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบิน เครื่องบินทั้งหมดขึ้นบินและลงจอดที่นี่
สำหรับพวกทหารรับจ้างแล้ว พวกเขาจะมีลานจอดของตัวเองไว้เป็นการส่วนตัว
อันที่จริงแล้วมีเครื่องบินอยู่ไม่มากนัก นอกจากเครื่องบินขนส่งแล้ว เครื่องบินอื่น ๆ คือเครื่องบินรบ รวมถึงเครื่องบินสอดแนมด้วย
“หวังเย่า ในที่สุดนายก็มาถึงสักที” ไกลออกไป จ้าวเมิ่งซีคอยโบกมือให้กับทั้งสองคน
หวังเย่าเดินเข้าไปหาและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ทำไมเธอถึงมาเร็วแบบนี้ ? เธอไม่น่าจะต้องรอคิวขึ้นเครื่องนี่”
“ฉันอยากเจอนายเร็ว ๆ “ จ้าวเมิ่งซีพูดหยอกขึ้นมา “ที่บ้านน่าเบื่อจะตาย ฉันเลยอยากรีบออกมา”
โจวอวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น “ฉันก็เหมือนกัน ฉันเองก็คาดหวังกับอนาคต อยากจะออกเดินทางเร็ว ๆ เหมือนกัน”
หวังเย่ามองไปที่โจวอวิ๋นและตอบกลับ “นายพูดถูก แต่เครื่องบินจะออกตอน 10 โมง…ตอนนี้พึ่งจะ 9 โมงเอง”
จ้าวเมิ่งซีมองไปที่โทรศัพท์และพึมพำออกมา “จริง ๆ แล้วมันก็ไม่เข้ากับนิสัยของฉันจริง ๆ ที่มาก่อนเวลาตั้งชั่วโมงกว่า”
“เหลือเวลาตั้งเยอะ เธอออกไปเดินเล่นกับเขาก่อนก็ได้” โจวอวิ๋นเสนอขึ้นมา
“เลิกพูดเลย” หวังเย่าเตะก้นอีกฝ่าย ก่อนจะบอกกับจ้าวเมิ่งซีว่า “เหลือเวลาอีกเยอะ ไปหาที่นั่งกันก่อนจะดีกว่า”
จ้าวเมิ่งซีตาเป็นประกายและพูดขึ้นมา “ไปกันเถอะ”
จากนั้นหวังเย่าก็หาที่นั่ง หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เขาก็ดึงโทรศัพท์ออกมาดู
จ้าวเมิ่งซีมองตาม นี่….ฉันก็นึกว่าเขาจะมีอะไรทำให้ฉันแปลกใจซะอีก แต่สุดท้ายเขาก็แค่ผู้ชายไม่มีหัวคิด
“นายดูอะไรอยู่ ? ” จ้าวเมิ่งซีถามขึ้น
“ฉันหาข้อมูลบางอย่างอยู่” หวังเย่าไม่ปิดบัง “ชายฝั่งตะวันออกของเมืองหัวเซี่ย ทางเหนือเป็นพื้นที่หิมะ ทางใต้เป็นแม่น้ำ ทางตะวันตกเป็นภูเขา ภูมิประเทศที่นั่นซับซ้อน มันถูกล้อมไปด้วยสภาพอากาศที่แตกต่างกัน”
“แล้วยังไง ? ” จ้าวเมิ่งซีสับสน
“ไม่มีอะไร ฉันแค่ดูเฉย ๆ เพื่อว่าถ้าได้ไปที่นั่นจะได้ไม่ลนลาน เวลาน่ะมีค่า ฉันไม่อาจจะเสียเวลาทิ้งไปเฉย ๆ ได้ แค่ได้เรียนรู้อะไรบ้างก็ถือว่าดี” หวังเย่าพูดขึ้น