ตอนที่ 70 : เดินทาง

จ้าวเมิ่งซีอ้าปากค้างด้วยความตะลึงกับคำตอบของหวังเย่า

“มีมิติภายนอกมากมายที่เมืองหัวเซี่ย มันอาจจะมีมิติถึง 30 แห่งที่ถูกยึดไปแล้ว ไม่เหมือนกับเมืองอรุณของเราที่มีไม่ถึง 10 ที่ด้วยซ้ำ”  หวังเย่าถอนหายใจออกมา

“นายสนใจมิติภายนอกหรือ ? ”  จ้าวเมิ่งซีถามขึ้นมา

“มิติภายนอกน่ะมีค่า ความฝันของฉันคือการเป็นเจ้าของมิติขนาดใหญ่”  หวังเย่าบอกความคิดของตัวเองออกมา

“งั้นก็พยายามหน่อยนะ เพราะที่ผ่านมายังไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถยึดมิติขนาดใหญ่ได้”  จ้าวเมิ่งซีบอกความจริงออกมา

“ช่างเถอะ”  หวังเย่าพูดขึ้น  “ตอนที่ฉันได้ที่นั่นมา ฉันจะให้เธอเป็นนายหญิงของที่นั่น”  หวังเย่าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“นี่…นายคิดจะปั่นหัวคนเล่นรึไง ? ”  ในใจจ้าวเมิ่งซีพอใจเป็นอย่างมาก แต่ปากของเธอก็ยังแข็ง

“ฉันไม่ได้ปั่นหัวเธอเล่น ฉันพูดจริง ๆ ”  หวังเย่าพูดขึ้น

ไม่นานก็มีคนเข้ามาในห้องมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ฉันไม่คิดว่าจะมีร้านอาหารอยู่ในสนามบินด้วย ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ”  ตอนที่จ้าวเมิ่งซีจะพูดต่อ โจวอวิ๋นก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา

“ฉันก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย ไปกันเถอะ”  หวังเย่าลุกขึ้นทันที  “คุณเพื่อนร่วมชั้นจ้าวเมิ่งซี เธอจะไปด้วยกันมั้ย ? ”

คำว่าเพื่อนร่วมชั้น ทำให้จ้าวเมิ่งซีรู้สึกโมโหขึ้นมา เธอตอบเสียงห้วนไปว่า  “ไม่ ฉันกินมาแล้ว”

….

ตอน 9.40 น. หวังเย่าและโจวอวิ๋นก็ได้เข้าตรวจสัมภาระก่อนจะขึ้นเครื่อง

ที่นั่งของทั้งสองคนอยู่ติดกัน

“ทำไมถึงไม่เห็นจ้าวเมิ่งซี ? ”  โจวอวิ๋นถามขึ้นมา

หวังเย่าดึงโจวอวิ๋นกลับมายังที่นั่งและพูดขึ้น  “ไม่ต้องมองหาหรอก เธออยู่ชั้นเฟิร์สคลาส”

“โอ้ เข้าใจแล้ว” โจวอวิ๋นหยุดพูดไปทันที

ตอน 10 โมงเครื่องบินก็เริ่มออกบิน หวังเย่าไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน ดังนั้นเขาจึงสงสัย เพราะที่นั่งของเขาอยู่ติดหน้าต่าง จึงมองไปที่ด้านนอกอยู่ตลอด

พื้นดินด้านล่างเริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ เมืองเริ่มเล็กลง ๆ จนกระทั่งถูกบดบังด้วยเมฆ

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

หวังเย่าราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆขาวที่รายล้อม

หลังจากที่บินมาได้ 20 นาทีก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากด้านนอก

คนในเครื่องต่างก็พากันแสดงสีหน้าสงสัยออกมาและมองออกไปด้านนอก ก่อนจะพบว่าที่เมฆไกลออกไปนั้นมีนกกว่าสิบตัวกำลังพุ่งเข้ามา แม้ว่าจะอยู่ห่างกับพวกนั้นมาก แต่ก็เห็นได้ว่านกพวกนั้นมีขนาดที่ใหญ่แค่ไหน

หวังเย่าใช้ระบบเพื่อตรวจสอบสถานะของพวกมัน แต่เพราะระยะห่างที่ไกลเกินไปจึงไม่อาจจะอ่านข้อมูลทั้งหมดได้ เขารู้แค่ว่ามันมีเลเวลมากกว่า 50 ส่วนหัวหน้าฝูงเลเวลถึง 60  มันคือสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิในตำนาน

“ไม่ต้องลนลานไป นี่เป็นเส้นทางที่ปลอดภัย”  ตอนนั้นคนดูแลก็ได้พูดขึ้นมา

“ไม่มีอันตรายอะไร ผู้โดยสารทุกคนโปรดใจเย็น ๆ กันก่อน”

เดินทางออกมาได้ไม่ไกลนัก หวังเย่าก็ได้พบกับฝูงนกอีกกลุ่ม เลเวลของมันเฉลี่ยแล้วมากกว่า 50

“ฉันก็สงสัยอยู่แล้วว่าทำไมถึงไม่มีนกบนท้องฟ้า ที่แท้มันก็ขึ้นมาอยู่ที่ชั้นสตราโทสเฟียร์นี้เอง”  โจวอวิ๋นพึมพำออกมา

หวังเย่าเองก็ใจสั่นไปตาม  “ดูเหมือนที่นายพูดมาก็มีเหตุผล ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”

ต้องรู้ก่อนว่าชั้นสตราโทสเฟียร์นั้นอยู่สูงจากพื้นอย่างน้อย 10,000 เมตร ต่อให้เป็นสัตว์อสูร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบินอยู่ชั้นที่สูงแบบนี้ตลอดเวลา เพราะบนท้องฟ้าไม่มีที่ให้พักพิง

เขาอยากเปิดโทรศัพท์เพื่อตรวจสอบข้อมูลแต่ความคิดนี้ก็ถูกสลัดทิ้งไปเพราะมันอาจจะเป็นการรบกวนการทำงานของเครื่องบิน

ตอนนั้นเอง อยู่ ๆ ด้านหน้ากลับมีพายุก่อตัวขึ้นมา ท้องฟ้ามืดลงในทันที กลายเป็นเมฆสีดำมีสายฟ้าแลบออกมาอยู่รอบ ๆ

“ท่าไม่ดีแล้ว เขตสายฟ้า จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทาง”  ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาได้เปิดปากพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล

“ไม่มีทาง การเปลี่ยนเส้นทางจะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ถ้าพบกับมิติภายนอกขวางกั้นไว้ สัญญาณจะถูกรบกวน แม้แต่สำนักงานก็ไม่อาจจะรู้ตำแหน่งของเราได้”

แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเสี่ยง

แน่นอนเครื่องบินได้เปลี่ยนเส้นทางการบินเพื่อหลีกเลี่ยงพายุสายฟ้าโดยมีเครื่องบินรบ 4 ลำบินตามมาติด ๆ

นี่คือเครื่องบินขนาดใหญ่ไว้ขนส่งผู้คน มันไม่ได้มีอาวุธติดตั้งเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของสัตว์อสูรระหว่างทางนั้น จึงต้องมีเครื่องบินรบติดตามมาด้วย

เครื่องบินนี้รวดเร็วจนเกือบเท่าความเร็วเสียง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงปลายของเขตสายฟ้าได้

“มันมีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้านในรึเปล่า ? ”  หน้าต่างฝั่งหวังเย่าใกล้กับเขตสายฟ้า แม้ว่าจะอยู่ห่างออกมา แต่หลายคนก็มองเห็นได้ว่าสายฟ้านั้นกำลังฟาดใส่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่  มันมีปีก, หัวเป็นงูและมีเขาที่ยาวอย่างมาก ดวงตาของมันทำให้ผู้คนต่างก็พากันตัวสั่น

“นั่นมันอะไรกัน ? ”  มีคนอุทานออกมา

โจวอวิ๋นเบิกตากว้างและพูดขึ้น   “สัตว์ประหลาดน่ากลัวนั่นมันอะไรกัน มันสูงอย่างน้อย 200 เมตร ถ้าเกิดมันพุ่งเข้าใส่เรา เราจบเห่แน่”

หวังเย่าเองก็หวั่นใจเช่นกัน  “นายเงียบก่อน”

โจวอวิ๋นรีบปิดปากเงียบ คนอื่น ๆ ก็พากันมองไปที่โจวอวิ๋นด้วยสีหน้าแปลก ๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนร้าย

โชคดีที่สัตว์ประหลาดนั่นเหมือนไม่ได้ใส่ใจเครื่องบินที่บินผ่านไปนัก

อันที่จริงแล้วฉากแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในอดีตนั้นก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกสัตว์ประหลาดนี้แม้ว่าจะดูน่ากลัว แต่ถ้ามนุษย์ไม่คิดไปหาเรื่องมัน มันก็จะไม่ยุ่ง เมื่อรวมกับเครื่องบินรบที่บินตามมาด้วยแล้ว มันก็พอรับมือกับเรื่องนี้ได้บ้าง

หลังจากที่บินผ่านเขตสายฟ้ามาได้ เครื่องบินก็ได้กลับไปใช้เส้นทางเดิมและไม่มีอันตรายใด ๆ อีก

ตอนประมาณบ่าย 3 โมง เครื่องบินก็ได้บินออกจากชั้นสตราโทสเฟียร์ก่อนจะเผยให้เห็นเมืองด้านล่าง

เมืองด้านล่างเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ….

หลังจากที่ลงจอดแล้ว ผู้โดยสารต่างก็พากันลงจากเครื่อง พวกนักเรียนที่สมัครเข้ามหาวิทยาลัยหัวเซี่ยได้แจ้งกับทางพนักงานสนามบิน ก่อนจะขึ้นรถบัสที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเตรียมมารับพวกเขา

“อาอวิ๋น นายหารถไปที่มหาวิทยาลัยด้วย”  หวังเย่าสั่งการ

เมื่อขึ้นรถและมองออกไปนอกหน้าต่าง หวังเย่าก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นไปด้วย  “สมกับเป็นเมืองหลวงของยุคนี้จริง ๆ ”

1 ชั่วโมงต่อมารถบัสก็ได้หยุดอยู่ตรงหน้ามหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง

“สุดท้ายก็ถึงสักที”  หวังเย่าถอนหายใจออกมาด้วยสายตาคาดหวัง

คนที่เหลือต่างก็พากันตื่นเต้นและยินดี  จ้าวเมิ่งซีเองก็ยิ้มและมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย

“ยินดีต้อนรับนักเรียนจากเมืองอรุณที่มารายงานตัว ฉันคืออาจารย์ที่ปรึกษาหลิวอิงเฉิน”  ตอนนั้นก็มีอาจารย์วัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน เขาพูดออกมาเบา ๆ แต่เสียงของเขากลับเหมือนมีแรงดึงดูด

“นักเรียนทุกคนจะต้องมารายงานตัวกับฉัน จากนั้นอีก 3 วันจะมีการสัมภาษณ์และแบ่งสาขาให้กับทุกคน”