ตอนที่ 71 : แฟน ?
หลังจากภัยพิบัติครั้งนั้นระบบมหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เพื่อที่จะคัดคนที่แข็งแกรงเท่านั้นเข้ามหาวิทยาลัย นักเรียนที่มาสมัครต่างก็ยินดีที่จะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยกันทั้งนั้น แต่จะได้หรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะมหาวิทยาลัยจะสัมภาษณ์ก่อน
แม้ว่าการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีเรื่องไม่คาดฝัน แต่ก็มีหลายคนที่ถูกปฏิเสธโดยทางมหาวิทยาลัย
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไม แน่นอนว่าผลของการสัมภาษณ์นั้นไม่น่าเป็นที่พอใจ มันถึงกับน่าผิดหวังหรือคำตอบที่ทางมหาวิทยาลัยได้รับนั้นไม่เหมาะกับการเรียนต่อ
แต่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเด็ก ๆ เอาไว้ มันจึงมีมาตรฐานว่าจะตัดเด็ก ๆ ออกได้ไม่เกิน 3%
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้ หวังเย่าไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยังไงซะเขาก็ได้อันดับหนึ่งของการแข่งขันมา หากเขาต้องการเข้าร่วมสาขาไหนก็ถือว่าเหมาะสมทั้งนั้น มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
….
“ดูนั่น พวกเด็กใหม่จากเมืองอรุณ”
“เมืองอรุณ เฮ้อ ความแข็งแกร่งของพวกนั้นทั่วไป ฉันไม่เห็นคนมีพรสวรรค์สักคน”
“ช่างเถอะ ยังไงซะความแข็งแกร่งของเมืองเขตนอกก็ไม่ได้มากอยู่แล้ว เราไปคาดหวังกับพวกนี้ไม่ได้หรอก”
ระหว่างทางหวังเย่าได้ยินคำวิจารณ์มากมาย เหลิ่งจื่อมู่, ตงฟางจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ
หวังเย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย พวกรุ่นพี่ของที่นี้หยิ่งทะนงเกินไป ต่อหน้าพวกเขาแล้วยังกล้าวิจารณ์แบบนี้ออกมา พวกนี้ไม่มีมารยาทเอาซะเลย
แต่เขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงเคยถูกวิจารณ์แบบนี้มาก่อน หรือเป็นปมที่ติดตัวมา มันไม่ใช่เรื่องที่จะหลีกเลี่ยงกันได้
“ฉันได้ยินมาว่าปีนี้มีเด็กใหม่หลายคนที่ดูโดดเด่น”
“ใครกัน ? ” มีคนถามขึ้น
“มู่จื๋อฉินจากเมืองลั่วหยาง เธอมีอสูรระดับสวรรค์เลเวล 30 ว่ากันว่าเธอยังสวยอีกด้วย”
“หนิงหย่วนเยียนจากเมืองไคเฟิง อสูรของเขาเป็นนกระดับทอง มันเลเวล 38 แล้ว และสามารถฆ่าสัตว์อสูรเลเวล 41 ได้ด้วย”
“นอกจากนี้ก็ยังมีจางจื้อเฉิงจากเมืองจี่หนาน เขาเองก็โดดเด่น”
เมื่อได้ยินคำพูดของพวกรุ่นพี่ คนของเมืองอรุณก็พากันไม่พอใจขึ้นมา
แต่เมื่อเทียบกับพวกที่รุ่นพี่พูดถึงแล้ว มันมีความต่างชั้นอยู่มากจริง ๆ มันไม่อาจจะเทียบกันได้ แม้แต่หวังเย่าก็ไม่อาจจะเทียบได้
“ไม่ต้องสนใจหรอก มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ คำพูดของคนนอกน่ะไม่ส่งผลต่อการตัดสินของมหาวิทยาลัย เมื่ออยู่ที่นี่แล้วสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องรู้ใจตัวเอง และหาเส้นทางของตัวเองให้พบ” อาจารย์หลิวอิงเฉินที่เดินนำหน้าพูดขึ้นมา
ทุกคนพากันโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย คำพูดนี้ทำให้พวกเขาไม่คิดลังเลอีกต่อไป
พื้นที่ของมหาวิทยาลัยนั้นใหญ่โตอย่างมาก มันมีตึกของทุกสาขา ทั้งสองข้างทางมีต้นไม้เก่าแก่ปลูกเอาไว้ เพราะเป็นฤดูใบไม้ร่วงและตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองจึงทำให้อากาศหนาวเย็นขึ้นมา
บรรยากาศที่นี่ดูคึกครื้น สังคมของผู้ใช้อสูรที่นี่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างดี บางทีถึงกับเห็นพวกรุ่นพี่พากันใช้อสูรมาสู้กันเพื่อลับฝีมือ
อสูรส่วนใหญ่เลเวลมากกว่า 30 อยู่อย่างน้อยระดับเงิน คลื่นพลังของพวกมันไม่ธรรมดา หวังเย่าถึงกับเห็นอสูรที่คล้ายกับไดโนเสาร์ตัวสูงเท่าตึก 6 ชั้น แค่คอของมันก็สูงเท่ากับตึก 2-3 ชั้นแล้ว เท้าของมันมีขนาดเท่ากับรถ อีกทั้งยังมีมังกรอยู่ด้วย
“มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง” จ้าวเมิ่งซีเดินมาที่ด้านหลังหวังเย่า ก่อนจะกระพริบตาให้
“ดูวิวที่สะพานนั่นสิ คนใต้สะพานต่างก็มองมาที่ฉัน ดวงจันทร์คอยแต่งเติมหน้าต่างห้องฉัน ส่วนฉันคอยแต่งเติมฝันของผู้อื่น” อยู่ ๆ หวังเย่าก็ท่องกลอนออกมา
“กลอนเพราะดีนี่ นายแต่งเองหรือ ? ” จ้าวเมิ่งซียิ้มออกมา
“หือ ดูเหมือนว่าเธอจะจับประเด็นผิดไปนะ” หวังเย่าหมดคำพูด “เธอไม่เห็นรึไงว่ามีหลายคนมองมาที่เธออยู่ ? ”
“เห้อ…ฉันคิดว่านายแต่งกลอนนี้ให้ฉันซะอีก นายเตือนฉันสินะ” จ้าวเมิ่งซีมองไปที่หวังเย่า “แน่นอนว่าฉันเห็นแล้ว แต่ฉันทำอะไรไม่ได้นี่ ใครบอกให้พ่อแม่ฉันทำให้ฉันเกิดมาหน้าตาสวยแบบนี้”
หวังเย่าได้แต่ส่ายหน้า กับความหลงตัวเองของจ้าวเมิ่งซี
“นี่คือฝ่ายศึกษา หลังจากที่ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวแล้ว แต่ละคนจะได้บัตรประจำตัวชั่วคราว บัตรนี้เอาไว้ใช้เข้าออกมหาวิทยาลัยและห้องสมุดได้”
“ก่อนที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ พวกเธอจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าสัมภาษณ์หรือแม้กระทั่งที่พัก ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้จัดไว้ให้ และมีเวลาให้พวกเธอ 3 วันเพื่อไปยังห้องสมุด ไปศึกษาข้อมูลของแต่ละสาขา ตรวจสอบตัวเองและตัดสินใจว่าสาขาไหนเหมาะกับตัวเอง”
แม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจทีแม้แต่แค่สัมภาษณ์ก็ต้องเสียเงิน แต่พวกเขาก็ได้แต่ยอมรับ
“หวังเย่า ไปหาที่พักกันเถอะ” จ้าวเมิ่งซีพูดขึ้น
“ได้” หวังเย่าตอบกลับ “เฮ้อ นึกว่าจะได้นอนสบาย ๆ การต้อนรับของที่นี่ไม่ดีเท่าไหร่นัก สุดท้ายเราต้องจัดการที่อยู่ด้วยตัวเอง”
“ในมุมมองของฉัน นายไม่ใช่คนเรื่องมากนี่ เราต่างก็เป็นเด็กใหม่ อย่าไปคิดอะไรมากเลย” ในทางกลับกันแล้ว จ้าวเมิ่งซีกลับมองเห็นโอกาสที่จะได้เป็นอิสระ
ทั้งสองได้ออกไปนอกมหาวิทยาลัย พวกเขาพบว่ามันมีโรงแรมที่หรูหราอยู่มากที่น่าตื่นตาตื่นใจ
“ลองไปถามกันเถอะ”
หลังจากเดินถามมาได้ 1 ชั่วโมงสุดท้ายทั้งสองคนก็เหนื่อย แต่ก็ยังหาที่พักไม่ได้
เหตุผลเพราะโรงแรมนั้นเต็มรึถูกจองเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว
“เราจะทำยังไงกันดี ? ” จ้าวเมิ่งซีแสดงสีหน้าขมขื่นออกมา แต่ใบหน้านั้นก็ยังดูงดงามอยู่ดี
“ไม่ใช่ว่ามันยังมีโรงแรมเลิฟระดับ 5 ดาวอยู่รึไง ? ” หวังเย่าเองก็เริ่มเหนื่อยเช่นกัน
“ไม่ ชื่อมันไม่เพราะ” จ้าวเมิ่งซีปฏิเสธ
“แย่ตรงไหนกัน โรงแรมเลิฟ ชื่อดีจะตาย” หวังเย่าพยายามหว่านล้อม
“นายไม่มีสมองรึไง” จ้าวเมิ่งซีหน้าแดงและพูดออกมาเบา ๆ
เธออธิบายกับเขาด้วยความเขินอาย “ที่นั่นเป็นโรงแรมของคู่รัก”
“ฉันว่า….มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้” สีหน้าของหวังเย่าเปลี่ยนไปทันที เขาอยากเอาหน้ามุดดินหนี
“เลิกสนใจชื่อนั่นแล้วไปถามกันก่อน” หวังเย่าเสนอขึ้นมา
จ้าวเมิ่งซีแสดงท่าทีไม่เต็มใจแต่ก็ยังเดินตามหวังเย่าไป
“มีห้องว่างรึเปล่า ? ” เมื่อเขามาถึงเคาน์เตอร์ เขาก็ได้ถามขึ้นมาทันที
มีคนอยู่หน้าเคาน์เตอร์เป็นสาวสวย 2 คน พวกเธอยังดูเด็กกันอยู่
ตอนที่เห็นหวังเย่าและจ้าวเมิ่งซี พวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันก่อนจะเผยรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา
รอยยิ้มนี้หวังเย่าเคยเห็นมาก่อน มันเหมือนรอยยิ้มที่หมายความว่าอีกฝ่ายก็คิดเหมือนกัน
“เหลือแค่ห้องเดียว” หญิงสาวทางขวาพูดขึ้นมา
“นี่….ไม่มีห้องว่างอีกแล้วหรือ ? ” หวังเย่าสีหน้าหม่นไป เขาหันไปหาจ้าวเมิ่งซีและให้เธอตัดสินใจ
“นี่…แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องทำยังไง ? งั้นฉันจะนอนบนเตียงแล้วนายก็นอนที่พื้นละกัน” จ้าวเมิ่งซีพูดออกมาด้วยท่าทีลังเล
“ก็ได้ เธอนอนบนเตียง ไม่ต้องกังวล ฉันน่ะลูกผู้ชายพอ” หวังเย่าพูดออกไปพร้อมกับตบอกเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับจ้าวเมิ่งซี
“ฉันเชื่อนาย” จ้าวเมิ่งซีพยักหน้าตอบรับ
“ขออภัย” ผู้หญิงทางซ้ายกลับยิ้มและพูดขึ้นมา “ฉันต้องยืนยันก่อนว่าพวกคุณเป็นแฟนกันจริง ๆ ถึงจะยกห้องนี้ให้ได้”