ขณะคิดในใจ เล่อเหยาเหยาหยิบช้อนขึ้น แต่กลับไม่ดื่มลงไป ยื่นมือไปหยิบถ้วยเปล่าตรงหน้าเสี่ยวมู่จื่อ จากนั้นตักซุปรังนกในถ้วยครึ่งหนึ่งลงไปในถ้วยของเสี่ยวมู่จื่อ
เสี่ยวมู่จื่อพอเห็น มีใบหน้างงงันและตกใจ
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้า…”
“เฮอ เฮอ ข้าเป็นคนมีน้ำใจ ก่อนนี้ข้าบอกแล้วว่าเจ้าคือคนในครอบครัวของข้า ดังนั้นพวกเราสองคนต้องมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน! ฮ่าๆ”
เล่อเหยาเหยาหัวเราะพลางเอ่ยออกมา เพราะหลังเธอมาถึงที่นี่ เสี่ยวมู่จื่อคือคนที่ดีกับเธอที่สุด
เขาดูแลตนตลอด อีกอย่างครั้งก่อนที่ตนป่วย ก็ร้อนใจอย่างยิ่ง ใช้แรงอันน้อยนิดของตน พยายามช่วยชีวิตของตน น้ำใจในครั้งนี้ เล่อเหยาเหยาจดจำไว้ในใจ!
นอกจากนี้ ร่างกายของเสี่ยวมู่จื่อที่จริงผอมกว่าเธอยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เสี่ยวมู่จื่อฐานะทางบ้านยากจน ไม่มีเงินซื้ออาหาร เมื่อเธอมีซุปรังนกกินทุกวัน เธอไม่เก็บไว้กินคนเดียวแน่! เพราะเธอหวังให้เสี่ยวมู่จื่อมีร่างกายแข็งแรงเช่นกัน!
ดังนั้น ไม่ว่าเสี่ยวมู่จื่อจะปฏิเสธเช่นไร เล่อเหยาเหยานำถ้วยซุปรังนกนั้นวางลงตรงหน้าเสี่ยวมู่จื่อ จากนั้นลงมือกินส่วนของตน
เสี่ยวมู่จื่อเห็นเช่นนั้น รู้ว่าเสี่ยวเหยาจื่อเป็นห่วงเขา ในใจก็มีความสุขขึ้นมา
ดังนั้น ในโรงอาหารท่ามกลางความอิจฉาและริษยาของผู้คนมากมาย มิตรภาพของเล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อ กลับยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
หลังกินเสร็จ ไม่รู้เพราะกินซุปรังนกเข้าไปหรือไม่ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกมีแรงทำงานขึ้นมา และคึกคักอย่างยิ่ง
ไม่นานเช็ดเครื่องเรือนทั้งหมดภายในตำหนักหย่าเฟิงเสร็จ และเวลานี้เธอหยิบไม้กวาดเดินไปกวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นด้านหลังตำหนักหย่าเฟิง
ด้านหลังตำหนักหย่าเฟิงล้อมรอบด้วยกำแพงสูงที่บดบังทิวทัศน์ภายนอกเอาไว้
ทว่า เธอได้ยินเสี่ยวมู่จื่อพูดว่า ดูเหมือนด้านหลังกำแพงของตำหนักหย่าเฟิง เป็นตรอกเล็กห่างไกลสายหนึ่ง ทว่าตรอกนั้นทะลุไปที่ใดนั้น เธอก็ไม่รู้
ส่วนด้านหน้ากำแพงสูงนั้น ปลูกดอกกุ้ยฮวาต้นใหญ่ไว้มากมาย
เวลานี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน ดอกกุ้ยฮวาจังยังไม่ชูช่อ แต่ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ทว่าสายลมที่พัดเอื่อยๆ ผ่านมา กลับทำให้ดูสง่างามอ่อนโยนมากขึ้น
เมื่อมองต้นไม้ที่น่าจะผลิบานตอนฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่ต้องหอมหวนดึงดูดผู้คน งดงามเกินกว่าจะชื่นชมได้หมดแน่นอน!
เล่อเหยาเหยาคิดพลางกวาดใบไม้ที่หล่นอยู่บนพื้น โดยวางแผนหลังทำเรื่องพวกนี้เสร็จ จะแอบไปพักที่พื้นหญ้าข้างทะเลสาบ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ทุกวันหลังเธอและเสี่ยวมู่จื่อทำงานเสร็จ มักจะไปแอบอู้นอนพูดคุยกัน
เพราะที่นั่นไม่มีผู้คนเดินผ่าน ทิวทัศน์ดุจในบทกวี เป็นสถานที่ที่เหมาะจะชมวิวพลางพูดคุยมากที่สุด
ทว่า ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจอยู่ พลันได้ยินเสียงผิดปกติด้านหน้าต้นกุ้ยฮวา
บนกิ่งไม้บนต้นดอกกุ้ยฮวาพลันเกิดเสียง ‘โครม’ดังขึ้นมาราวมกับมีของหนักบางสิ่งตกลงมาจากด้านบน
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาตกใจ ก่อนพลันจับไม้กวาดในมือไว้แน่น หลบอยู่ในพงหญ้า แอบมองไปยังต้นกุ้ยฮวาที่มีเสียงผิดปกติดังขึ้นนั้น
เห็นเพียง บนต้นกุ้ยฮวาสูงใหญ่นั้น พลันปรากฏชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าสีขาวคนหนึ่ง เพราะชายหนุ่มนั้นหันหลังให้เธอ เล่อเหยาเหยาจึงมองไม่เห็นหน้าตาของเขา
และเมื่อเล่อเหยาเหยาเห็นชัดว่าบนต้นไม้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ ในใจพลันตกตะลึง สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองคือ…
มีขโมย!
จะโทษที่เธอคิดเช่นนี้ไม่ได้ เพราะที่นี่คือด้านหลังตำหนักหย่าเฟิง ที่นี่ตั้งอยู่ลับตาผู้คน และหลังกำแพงสูงเป็นตรอกเล็กที่ไร้ผู้คน หากคนผู้นี้ไม่ใช่ขโมย จะกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาล่ะ!?
ทว่า ขโมยผู้นี้ช่างกล้าหาญเสียจริง กลับกล้ามาขโมยสิ่งของในวังรุ่ยอ๋อง หรือเขาไม่รู้ว่าพญายมน่าหวาดกลัวระดับใด!?
ทว่าเธอไม่คิดเรื่องพวกนี้แล้ว โดยเฉพาะหลังเห็นขโมยกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา ก็ชะโงกหัวมองด้านหลังกำแพงไปมา ราวตรวจดูว่าด้านหลังมีคนเห็นเขากระโดดเข้ามาหรือไม่
เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาฉีกยิ้มอย่างโหดเหี้ยมขึ้นมา
เฮอ เฮอ ขโมยผู้นี้ช่างกล้าหายเสียจริง อย่าโทษที่เธอต้องลงมืออย่างไร้ปราณีแล้วกัน
ปกติเล่อเหยาเหยาเกลียดชังที่สุดคือคนที่ชอบทำเรื่องไม่ดี ตนเองมีมือมีเท้า กลับคิดชุบมือเปิบ เป็นขโมยแอบทำเรื่องลักเล็กขโมยพวกนั้น ดังนั้นตอนนี้ เล่อเหยาเหยาจึงไม่ปล่อยขโมยสมควรตายผู้นี้ไปแน่นอน
ขณะกำลังคิดในใจ เล่อเหยาเหยากุมไม้กวาดในมือแน่น อีกทั้งร่างกายพลันตั้งท่าเตรียมเข้าโจมตี คิดหลังขโมยนั้นกระโดดลงจากต้นไม้ลงมา จะแกว่งไม้กวาดไปที่ศีรษะตีให้เขาล้มลง
และขโมยผู้นั้น ไม่ทำให้เล่อเหยาเหยาผิดหวัง หลังแอบสำรวจตรอกเล็กด้านนอกครู่หนึ่ง พบว่าไม่มีผู้ใดเจอตัวเขา เห็นชัดถึงท่าทางถอนหายใจอย่างโล่งออก ก่อนพลันกระโดดลงจากต้นไม้
หากไม่ตีตอนนี้ ต้องรอให้ถึงเมื่อใดกัน!?
เล่อเหยาเหยาเห็นชายหนุ่มตรงหน้ากระโดดจากต้นไม้ รีบยกไม้กวาดที่เตรียมไว้ กวัดแกว่งออกไปยังหัวขโมยนั้นอย่างสุดแรง
น้ำหนักของไม้กวาด มาจากการออกแรงทั้งหมดของเล่อเหยาเหยา หากเข้าเป้า หัวขโมยนี้ต้องถูกไม้กวาดนี้ของเธอตีจนสลบไปอย่างแน่นอน
และเมื่อเล่อเหยาเหยามั่นใจในจุดนี้ จึงมีความกล้าที่จะเข้าไปสั่งสอนหัวขโมยนี้เพียงคนเดียว
กลับกลายเป็นว่าบางทีชีวิตอาจเกิดเรื่องที่เกิดความคาดหมาย เรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเล่อเหยาเหยาเช่นกัน
ขณะที่เธอกำลังคิดจะฟาดไม้กวาดไปที่บริเวณศีรษะของหัวขโมย สายตาจ้องไปที่บนศีรษะของหัวขโมยผู้นั้น
คิดไม่ถึง หัวขโมยนั้นจะรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว ฝีมือก็ว่องไว หลังรับรู้ถึงการโจมตีของเล่อเหยาเหยา ก็หลบอย่างรวดเร็ว
แม้ไม้กวาดนั้นจะไม่กระทบเข้าที่บริเวณศีรษะของหัวขโมยดังที่เล่อเหยาเหยาคาดการณ์ แต่กลับถูกเข้าที่บริเวณไหล่ของหัวขโมยผู้นั้น
ทันใดนั้น ได้ยินเพียงหัวขโมยร้อง ‘โอ้ย’ออกมาอย่างเจ็บปวดออกมา
แม้เมื่อครู่จะผิดพลาดไปเล็กน้อย แต่กระทบเข้าที่ไหล่ของหัวขโมย เล่อเหยาเหยาดีใจอย่างมาก
ทว่า เมื่อเห็นหัวขโมยนั้นไม่สลบไป เล่อเหยาเหยาจึงคิดจะร้องตะโกนเรียกคน
เพราะเธอรูปร่างเล็กอ้อนแอ้น ขาทั้งสั้น หากคิดหนีคงไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะเมื่อครู่เธอเห็นหัวขโมยฝีมือว่องไว คล้ายกับคนฝึกวรยุทธ
หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันอ้าปากกว้าง เตรียมเอ่ยร้องตะโกนเสียงดัง
คิดไม่ถึง หัวขโมยที่ถูกเธอที่เข้าที่หัวไหล่ หลังรับรู้แผนการของเธอ พลันตกใจอย่างยิ่ง และไม่สนหัวไหล่ที่เจ็บปวดของตน ยื่นมือใหญ่ออกมาคิดปิดปากเล็กๆ ของเล่อเหยาเหยาเอาไว้
แต่กลับถูกเล่อเหยาเหยาที่ฉลาดเฉียบแหลมหลบได้ทันเวลา
ฮึฮึ คิดจะปิดปากเธอ!? ฝันไปเถอะ!
เล่อเหยาเหยาหลังหนีจากมือใหญ่ที่ยื่นมานั้นได้ กำลังดีใจอยู่ในใจ ยิ้มที่มุกปากพลางมองยังหัวขโมยนั้นอย่างเย้ยหยัน
แต่เธอยิ้มได้ได้ถึงหนึ่งวินาที พลันถูกเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้ตกตะลึงอย่างหนัก
เพราะมือใหญ่หยุดลงบนหน้าอกของเธอ
…………………………………………………………………..