ตอนที่ 75.2 เล่อเหยาเหยาถูกจู่โจมหน้าอก (2)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ขณะคิดในใจ เล่อเหยาเหยาหยิบช้อนขึ้น แต่กลับไม่ดื่มลงไป ยื่นมือไปหยิบถ้วยเปล่าตรงหน้าเสี่ยวมู่จื่อ จากนั้นตักซุปรังนกในถ้วยครึ่งหนึ่งลงไปในถ้วยของเสี่ยวมู่จื่อ

เสี่ยวมู่จื่อพอเห็น มีใบหน้างงงันและตกใจ

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้า…”

“เฮอ เฮอ ข้าเป็นคนมีน้ำใจ ก่อนนี้ข้าบอกแล้วว่าเจ้าคือคนในครอบครัวของข้า ดังนั้นพวกเราสองคนต้องมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน! ฮ่าๆ”

เล่อเหยาเหยาหัวเราะพลางเอ่ยออกมา เพราะหลังเธอมาถึงที่นี่ เสี่ยวมู่จื่อคือคนที่ดีกับเธอที่สุด

เขาดูแลตนตลอด อีกอย่างครั้งก่อนที่ตนป่วย ก็ร้อนใจอย่างยิ่ง ใช้แรงอันน้อยนิดของตน พยายามช่วยชีวิตของตน น้ำใจในครั้งนี้ เล่อเหยาเหยาจดจำไว้ในใจ!

นอกจากนี้ ร่างกายของเสี่ยวมู่จื่อที่จริงผอมกว่าเธอยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เสี่ยวมู่จื่อฐานะทางบ้านยากจน ไม่มีเงินซื้ออาหาร เมื่อเธอมีซุปรังนกกินทุกวัน เธอไม่เก็บไว้กินคนเดียวแน่! เพราะเธอหวังให้เสี่ยวมู่จื่อมีร่างกายแข็งแรงเช่นกัน!

ดังนั้น ไม่ว่าเสี่ยวมู่จื่อจะปฏิเสธเช่นไร เล่อเหยาเหยานำถ้วยซุปรังนกนั้นวางลงตรงหน้าเสี่ยวมู่จื่อ จากนั้นลงมือกินส่วนของตน

เสี่ยวมู่จื่อเห็นเช่นนั้น รู้ว่าเสี่ยวเหยาจื่อเป็นห่วงเขา ในใจก็มีความสุขขึ้นมา

ดังนั้น ในโรงอาหารท่ามกลางความอิจฉาและริษยาของผู้คนมากมาย มิตรภาพของเล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อ กลับยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น

หลังกินเสร็จ ไม่รู้เพราะกินซุปรังนกเข้าไปหรือไม่ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกมีแรงทำงานขึ้นมา และคึกคักอย่างยิ่ง

ไม่นานเช็ดเครื่องเรือนทั้งหมดภายในตำหนักหย่าเฟิงเสร็จ และเวลานี้เธอหยิบไม้กวาดเดินไปกวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นด้านหลังตำหนักหย่าเฟิง

ด้านหลังตำหนักหย่าเฟิงล้อมรอบด้วยกำแพงสูงที่บดบังทิวทัศน์ภายนอกเอาไว้

ทว่า เธอได้ยินเสี่ยวมู่จื่อพูดว่า ดูเหมือนด้านหลังกำแพงของตำหนักหย่าเฟิง เป็นตรอกเล็กห่างไกลสายหนึ่ง ทว่าตรอกนั้นทะลุไปที่ใดนั้น เธอก็ไม่รู้

ส่วนด้านหน้ากำแพงสูงนั้น ปลูกดอกกุ้ยฮวาต้นใหญ่ไว้มากมาย

เวลานี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน ดอกกุ้ยฮวาจังยังไม่ชูช่อ แต่ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ทว่าสายลมที่พัดเอื่อยๆ ผ่านมา กลับทำให้ดูสง่างามอ่อนโยนมากขึ้น

เมื่อมองต้นไม้ที่น่าจะผลิบานตอนฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่ต้องหอมหวนดึงดูดผู้คน งดงามเกินกว่าจะชื่นชมได้หมดแน่นอน!

เล่อเหยาเหยาคิดพลางกวาดใบไม้ที่หล่นอยู่บนพื้น โดยวางแผนหลังทำเรื่องพวกนี้เสร็จ จะแอบไปพักที่พื้นหญ้าข้างทะเลสาบ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ทุกวันหลังเธอและเสี่ยวมู่จื่อทำงานเสร็จ มักจะไปแอบอู้นอนพูดคุยกัน

เพราะที่นั่นไม่มีผู้คนเดินผ่าน ทิวทัศน์ดุจในบทกวี เป็นสถานที่ที่เหมาะจะชมวิวพลางพูดคุยมากที่สุด

ทว่า ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจอยู่ พลันได้ยินเสียงผิดปกติด้านหน้าต้นกุ้ยฮวา

บนกิ่งไม้บนต้นดอกกุ้ยฮวาพลันเกิดเสียง ‘โครม’ดังขึ้นมาราวมกับมีของหนักบางสิ่งตกลงมาจากด้านบน

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาตกใจ ก่อนพลันจับไม้กวาดในมือไว้แน่น หลบอยู่ในพงหญ้า แอบมองไปยังต้นกุ้ยฮวาที่มีเสียงผิดปกติดังขึ้นนั้น

เห็นเพียง บนต้นกุ้ยฮวาสูงใหญ่นั้น พลันปรากฏชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าสีขาวคนหนึ่ง เพราะชายหนุ่มนั้นหันหลังให้เธอ เล่อเหยาเหยาจึงมองไม่เห็นหน้าตาของเขา

และเมื่อเล่อเหยาเหยาเห็นชัดว่าบนต้นไม้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ ในใจพลันตกตะลึง สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองคือ…

มีขโมย!

จะโทษที่เธอคิดเช่นนี้ไม่ได้ เพราะที่นี่คือด้านหลังตำหนักหย่าเฟิง ที่นี่ตั้งอยู่ลับตาผู้คน และหลังกำแพงสูงเป็นตรอกเล็กที่ไร้ผู้คน หากคนผู้นี้ไม่ใช่ขโมย จะกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาล่ะ!?

ทว่า ขโมยผู้นี้ช่างกล้าหาญเสียจริง กลับกล้ามาขโมยสิ่งของในวังรุ่ยอ๋อง หรือเขาไม่รู้ว่าพญายมน่าหวาดกลัวระดับใด!?

ทว่าเธอไม่คิดเรื่องพวกนี้แล้ว โดยเฉพาะหลังเห็นขโมยกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา ก็ชะโงกหัวมองด้านหลังกำแพงไปมา ราวตรวจดูว่าด้านหลังมีคนเห็นเขากระโดดเข้ามาหรือไม่

เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาฉีกยิ้มอย่างโหดเหี้ยมขึ้นมา

เฮอ เฮอ ขโมยผู้นี้ช่างกล้าหายเสียจริง อย่าโทษที่เธอต้องลงมืออย่างไร้ปราณีแล้วกัน

ปกติเล่อเหยาเหยาเกลียดชังที่สุดคือคนที่ชอบทำเรื่องไม่ดี ตนเองมีมือมีเท้า กลับคิดชุบมือเปิบ เป็นขโมยแอบทำเรื่องลักเล็กขโมยพวกนั้น ดังนั้นตอนนี้ เล่อเหยาเหยาจึงไม่ปล่อยขโมยสมควรตายผู้นี้ไปแน่นอน

ขณะกำลังคิดในใจ เล่อเหยาเหยากุมไม้กวาดในมือแน่น อีกทั้งร่างกายพลันตั้งท่าเตรียมเข้าโจมตี คิดหลังขโมยนั้นกระโดดลงจากต้นไม้ลงมา จะแกว่งไม้กวาดไปที่ศีรษะตีให้เขาล้มลง

และขโมยผู้นั้น ไม่ทำให้เล่อเหยาเหยาผิดหวัง หลังแอบสำรวจตรอกเล็กด้านนอกครู่หนึ่ง พบว่าไม่มีผู้ใดเจอตัวเขา เห็นชัดถึงท่าทางถอนหายใจอย่างโล่งออก ก่อนพลันกระโดดลงจากต้นไม้

หากไม่ตีตอนนี้ ต้องรอให้ถึงเมื่อใดกัน!?

เล่อเหยาเหยาเห็นชายหนุ่มตรงหน้ากระโดดจากต้นไม้ รีบยกไม้กวาดที่เตรียมไว้ กวัดแกว่งออกไปยังหัวขโมยนั้นอย่างสุดแรง

น้ำหนักของไม้กวาด มาจากการออกแรงทั้งหมดของเล่อเหยาเหยา หากเข้าเป้า หัวขโมยนี้ต้องถูกไม้กวาดนี้ของเธอตีจนสลบไปอย่างแน่นอน

และเมื่อเล่อเหยาเหยามั่นใจในจุดนี้ จึงมีความกล้าที่จะเข้าไปสั่งสอนหัวขโมยนี้เพียงคนเดียว

กลับกลายเป็นว่าบางทีชีวิตอาจเกิดเรื่องที่เกิดความคาดหมาย เรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเล่อเหยาเหยาเช่นกัน

ขณะที่เธอกำลังคิดจะฟาดไม้กวาดไปที่บริเวณศีรษะของหัวขโมย สายตาจ้องไปที่บนศีรษะของหัวขโมยผู้นั้น

คิดไม่ถึง หัวขโมยนั้นจะรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว ฝีมือก็ว่องไว หลังรับรู้ถึงการโจมตีของเล่อเหยาเหยา ก็หลบอย่างรวดเร็ว

แม้ไม้กวาดนั้นจะไม่กระทบเข้าที่บริเวณศีรษะของหัวขโมยดังที่เล่อเหยาเหยาคาดการณ์ แต่กลับถูกเข้าที่บริเวณไหล่ของหัวขโมยผู้นั้น

ทันใดนั้น ได้ยินเพียงหัวขโมยร้อง ‘โอ้ย’ออกมาอย่างเจ็บปวดออกมา

แม้เมื่อครู่จะผิดพลาดไปเล็กน้อย แต่กระทบเข้าที่ไหล่ของหัวขโมย เล่อเหยาเหยาดีใจอย่างมาก

ทว่า เมื่อเห็นหัวขโมยนั้นไม่สลบไป เล่อเหยาเหยาจึงคิดจะร้องตะโกนเรียกคน

เพราะเธอรูปร่างเล็กอ้อนแอ้น ขาทั้งสั้น หากคิดหนีคงไม่ใช่เรื่องง่าย

โดยเฉพาะเมื่อครู่เธอเห็นหัวขโมยฝีมือว่องไว คล้ายกับคนฝึกวรยุทธ

หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันอ้าปากกว้าง เตรียมเอ่ยร้องตะโกนเสียงดัง

คิดไม่ถึง หัวขโมยที่ถูกเธอที่เข้าที่หัวไหล่ หลังรับรู้แผนการของเธอ พลันตกใจอย่างยิ่ง และไม่สนหัวไหล่ที่เจ็บปวดของตน ยื่นมือใหญ่ออกมาคิดปิดปากเล็กๆ ของเล่อเหยาเหยาเอาไว้

แต่กลับถูกเล่อเหยาเหยาที่ฉลาดเฉียบแหลมหลบได้ทันเวลา

ฮึฮึ คิดจะปิดปากเธอ!? ฝันไปเถอะ!

เล่อเหยาเหยาหลังหนีจากมือใหญ่ที่ยื่นมานั้นได้ กำลังดีใจอยู่ในใจ ยิ้มที่มุกปากพลางมองยังหัวขโมยนั้นอย่างเย้ยหยัน

แต่เธอยิ้มได้ได้ถึงหนึ่งวินาที พลันถูกเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้ตกตะลึงอย่างหนัก

เพราะมือใหญ่หยุดลงบนหน้าอกของเธอ

…………………………………………………………………..