เล่มที่ 3 บทที่ 67 ข้าโกรธเจ้าต่างหาก

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ตลอดทางที่พาซ่างกวนฉิงไปยังประตูหลังของจวน ใบหน้าของหลินเมิ้งหวู่แฝงไว้ซึ่งความโกรธเกรี้ยวและอาฆาตแค้น

    ทุกครั้งที่นางไปยังตำหนักของหลินเมิ้งหยา สาวใช้ทั้งสามมักจะมองนางเป็นศัตรูและคอยตั้งท่าป้องกันตลอดเวลา

    วันนี้นังสาวใช้ที่ชื่อป๋ายซ่าวถึงขั้นแสดงกิริยาบ้าคลั่งล้มลงไปนอนกองกับพื้น พลางร้องไห้ก่นด่าเสียงดังจนทำให้นางและแม่ต้องอับอายขายหน้า ไม่ช้าก็เร็วนางจะจัดการนังสารเลวคนนี้ให้พ้นทางอย่างแน่นอน

    “ท่านแม่ไม่โกรธหรือ?”

    ต่างจากหลินเมิ้งหวู่ที่กำลังโกรธเกรี้ยว ซ่างกวนฉิงในเวลานี้กลับเคร่งขรึม

    หวู่เอ๋อร์ยังเด็ก อีกทั้งยังเติบโตขึ้นมาภายใต้ปีกของตนเอง ดังนั้นนางจึงเสียสติอย่างง่ายดาย

    แต่หลินเมิ้งหยาไปเรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาจากที่ใด แม้แต่นางเองยังอดที่จะตกใจไม่ได้

    “หวู่เอ๋อร์ จงจำเอาไว้ว่าคนที่คิดทำการใหญ่จะต้องไม่หวั่นไหวกับเรื่องเล็ก แม่รู้ว่านังแพศยาหลินเมิ้งหยาคือผู้บงการเรื่องนี้อยู่ข้างหลัง แต่เพราะที่นี่คือจวนอวี้ พวกเรายังต้องเจอหน้านางอีกหลายครั้ง ดังนั้นหากอดทนได้ก็ต้องอดทน”

    หลินเมิ้งหวู่ที่รู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดของผู้เป็นแม่เริ่มกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

    ท่านแม่พูดถูก ขาดทุนเพียงชั่วคราว แต่มิได้หมายความว่าจะไม่ได้กำไรในอนาคต

    สามารถครอบครองหลงเทียนอวี้ สุดท้ายได้เป็นนายหญิงแห่งจวนแห่งนี้ต่างหากที่เป็นจุดมุ่งหมายหลักของนาง

    เมื่อเทียบกันแล้ว วิธีการที่น่ารังเกียจของหลินเมิ้งหยาเป็นเพียงก้อนกรวดที่ทำให้นางสะดุดเท่านั้น

    “ท่านไม่รู้หรอกว่านังแพศยานั่นหยิ่งจองหองขนาดไหนเวลาอยู่ที่จวนแห่งนี้ ในเมื่อท่านแม่มาแล้ว ท่านจะต้องปูทางให้หวู่เอ๋อร์เดินนะเจ้าคะ”

    หลินเมิ้งหวู่ไม่เหมือนกับเจียงหรูฉินที่มีพระสนมเต๋อเฟยคอยให้ท้าย อีกทั้งนางยังไม่ใช่นายหญิงของจวน ดังนั้นนางจึงมักถูกผู้คนในจวนดูถูก

    ตอนนี้แม่ของนางมาคอยวางแผนเบิกทางให้กับตนเองแล้ว ดังนั้นนางจึงรู้สึกเหมือนมองเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด

    “นายหญิง ท่านมาพวกเรามาที่นี่ทำไมหรือเจ้าคะ?”

    ภายในตำหนัก หลินเมิ้งหยาพาคนสนิทของตนเองก้าวอาดๆ มายังประตูสวนเล็ก

    ที่นั่นเป็นเรือนเล็กที่นางจัดไว้ให้ซ่างกวนฉิง เหตุเพราะยังไม่ทันจะได้ทำความสะอาด ดังนั้นสภาพจึงดูเก่าคร่ำครึและทรุดโทรม

    “ข้าจัดที่นี่ให้เป็นที่พักของฮูหยินหลินและสั่งให้คนเอาผงพิเศษมาโรยเอาไว้ อีกเดี๋ยวพวกเจ้าจะได้เห็นอะไรดีๆ”

    ทั้งห้าแอบซ่อนตัวยืนด้อมๆ มองๆ หลังจากได้เห็นคนกลุ่มนั้นเดินผ่านประตูเข้าไปในบ้านพร้อมทั้งหอบหิ้วของที่ตนเองนำมาเข้าไปด้วย

    แม้หลินเมิ้งหยาจะลงมือแก้เผ็ดซ่างกวนฉิง แต่พระสนมเต๋อเฟยกลับไม่อาจทำตัวไร้มารยาทได้

    ส่งน้าจิ่นเยว่มานำทางฮูหยินหลินเพื่อรักษาหน้าของนาง

    “เหตุเพราะคนในจวนของเรามีไม่มากพอ ดังนั้นจึงยังไม่ได้เก็บกวาด เป็นการเสียมารยาทกับแขกผู้เกียรติจริงๆ เจ้าค่ะ”

    น้าจิ่นเยว่อาศัยอยู่ในรั้วในวังมาอย่างช้านาน ท่าทางของนางจึงสง่างามเกินพรรณนา

    แม้แต่คำกล่าวอ้างเรื่อยเปื่อยยังดูสละสลวยน่าฟัง หลินเมิ้งหยาสั่งสอนสาวใช้ของตัวเองให้ดูน้าจิ่นเยว่เป็นแบบอย่าง

    “ไม่เป็นไร หยาเอ๋อร์เพิ่งจะแต่งงานเข้าจวนนี้มาได้ไม่นานก็ต้องทำหน้าที่ดูแลบ้านเรือน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณจากพระสนมเต๋อเฟยแล้วที่ไม่ลงโทษลูกสาวของข้าคนนั้นที่ทำงานได้ไม่ดีพอ”

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ยังคงมีสถานะเป็นแม่เลี้ยงของหลินเมิ้งหยา

    นางไม่อาจละทิ้งมารยาทในฐานะแขกไปได้ ทว่าใบหน้าท่าทางอ่อนโยนของซ่างกวนฉิงเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันทีหลังจากที่นางได้เห็นเรือนเล็กในสวนทรุดโทรมแล้ว

    นังเด็กอวดดีหลินเมิ้งหยา ขวางประตูใหญ่มิให้เข้ายังพอทน แต่นี่ยังส่งนางมาอยู่ที่นี่!

    “คือว่า…หวู่เอ๋อร์ พาแม่ไปพบพี่สาวเจ้าก่อนดีกว่า”

    ใบหน้าเหี่ยวเฉาเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ โดยเฉพาะตอนนี้ที่จิ่นเยว่ยืนอยู่ข้างกายและเอาแต่จับจ้องมองมาอย่างระแวดระวัง ฟางเส้นสุดท้ายของซ่างกวนฉิงใกล้จะขาดผึงทันที

    แม้นางจะยังไม่อยากฉีกหน้าหลินเมิ้งหยาตอนนี้ แต่ไม่ช้าก็เร็วนางจะจัดการนังตัวดีคนนี้ให้จนได้

    ร่องรอยของความโกรธเผยให้เห็นในดวงตา นางที่เกิดในครอบครัวผู้ดีจะยอมทนถูกกระทำเช่นนี้ได้เช่นไร?

    “ท่านแม่ต้องการพบข้าหรือเจ้าคะ? ข้านี่ช่างน่าตีจริงเชียว งานในจวนมีมากมายเสียจนลืมออกไปรับท่านแม่เสียสนิท”

    หลินเมิ้งหยาเดินนำสาวใช้ของตนเองเข้ามา

    วันนี้นางสวมใส่ชุดที่ฮูหยินธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้

    ใบหน้านวลยิ่งงดงามมีเสน่ห์มากขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้แสงแดด

    ทว่าซ่างกวนฉิงกลับรู้สึกอึดอัดใจราวกับต้องกลืนแมลงวันเป็นๆ เข้าปาก

    เหมือน! เหมือนเหลือเกิน!

    นังแพศยาคนนั้นใช้ความงามล่มเมืองทำให้ท่านโหวหลงใหล

    ไฟอิจฉาริษยาที่สั่งสมมานานหลายปีภายในหัวใจพลันปะทุขึ้นอีกครั้ง จากเปลวไฟกลายเป็นเปลวเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาให้มอดไหม้

    “ข้ามิกล้า แต่ถึงกระนั้นวันนี้เจ้าได้เป็นถึงพระชายาอวี้แล้ว ข้าคงมิได้อยู่ในสายตาของเจ้าอีกต่อไป”

    เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา ซ่างกวนฉิงพยายามกักเก็บอาการร้อนรุ่มในหัวใจและทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดีคนหนึ่ง

    ได้เป็นพระชายาอวี้แล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรก็ยังต้องรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ดี มิเช่นนั้นคงถูกผู้คนประณาม

    “ท่านแม่พูดอะไรกัน ข้าเคยมองท่านอยู่ในสายตาด้วยหรือ? ท่านแม่…ข้าวางท่านเอาไว้ในใจต่างหาก ท่านว่าจริงหรือไม่?”

    ประโยคนี้ทำให้ใบหน้าของซ่างกวนฉิงกลายเป็นสีแดงก่ำระคนขาวซีดในเวลาเดียวกัน

    ทั้งที่นางกำลังเอ่ยวาจาเยาะเย้ยตนเอง แต่ตนเองกลับไม่อาจหาทางเอาผิดนางได้

    “พระชายา เรือนแห่งนี้ทั้งเก่าและทรุดโทรม สู้ให้ฮูหยินหลินไปอาศัยอยู่ในเขตพระตำหนักของพระสนมเต๋อเฟยสักสองสามวันดีหรือไม่เจ้าคะ?”

    จิ่นเยว่รีบเอ่ยทำลายความกดดัน แม้นางจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระชายาและแม่เลี้ยงเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้พวกนางยืนอยู่ในที่แจ้ง หากใครผ่านไปผ่านมาแล้วเห็นเข้าจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับฉีกยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาหยุดยืนด้านหน้าฮูหยินหลิน

    “จะทำอย่างนั้นได้เช่นไร ท่านแม่เป็นคนของทางฝั่งข้า ที่มาที่นี่ก็เพื่อดูแลข้าและน้องสาว หากไปอาศัยอยู่ในเขตตำหนักพระสนมเต๋อเฟยก็อาจจะดูแลได้ไม่สะดวกนัก สู้อยู่ที่นี่จะดีกว่า หรือท่านแม่คิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ?”

    นางเอื้อนเอ่ย อีกทั้งยังทำลายความคิดที่ฮูหยินหลินจะไปอยู่ในเขตตำหนักของพระสนมเต๋อเฟยจนหมดสิ้น

    ซ่างกวนฉิงจ้องหน้าหลินเมิ้งหยาเขม็ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้าลง

    ป๋ายซ่าวทำให้นางขายหน้าตั้งแต่ตอนที่มาถึงประตูใหญ่ของจวน หากนางยังก้าวเดินโดยไม่ระมัดระวังให้ดี เกรงว่าจะติดกับเอาได้

    “หยาเอ๋อร์พูดถูกแล้ว พระสนมมีเมตตา ข้ารับรู้ได้ด้วยหัวใจ แต่ถึงอย่างไรข้ามาที่นี่ก็เพื่อดูแลลูกสาวเท่านั้น ดังนั้นจึงรู้สึกสะดวกสบายมากกว่าเมื่อได้อยู่ที่นี่”

    ซ่างกวนฉิงจำยอมทำตามคำพูดของหลินเมิ้งหยา แม้เรือนเล็กแห่งนี้จะเก่าเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นส่วนตัว

    หากนางคิดจะปรึกษาเรื่องบางเรื่อง อย่างน้อยที่นี่ก็ปลอดภัย

    จิ่นเยว่มิได้เอ่ยโน้มน้าวต่อ ถึงอย่างไรก็เอ่ยตามมารยาทเท่านั้น

    เอ่ยต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะขอตัวออกไปรายงาน

    เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ซ่างกวนฉิงขี้เกียจพูดจาไร้สาระกับหลินเมิ้งหยา นางหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในเรือนเล็กทันที

    ในเขตสวนเต็มไปด้วยหญ้ายาวเฟื้อย แต่เพราะที่นี่คือจวนอวี้ ดังนั้นห้องหับจึงยังคงสวยงาม ไร้ซึ่งร่องรอยของการผุพัง

    หลินเมิ้งหยาพาคนทั้งสี่กลับไปยังตำหนักของตนเอง ทว่าดวงตากลับเจือไว้ซึ่งรอยยิ้ม

    คนอื่นไม่เข้าใจ ทั้งที่คุณหนูเถียงกลับไปเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่เหตุใดคุณหนูจึงยิ้มกว้างมากขนาดนี้

    “นายหญิง เหตุใดท่านจึงยิ้ม…น่ากลัวอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่อถูข้อมือ นับตั้งแต่วันที่คุณหนูกลับมาเป็นเหมือนคนปกติ นางไม่เคยเข้าใจรูปแบบความคิดของคุณหนูเลย

    หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ สู้ปล่อยให้คุณหนูสติเลอะเลือนดังเดิมดีกว่า

    “ข้าเหรอ ก็คงเพราะอารมณ์ดีนั่นแหละ จริงสิ เจียงหรูฉินเป็นอย่างไรบ้าง?”

    ภายในตำหนักหลิวซิน นับตั้งแต่วันที่ชิงหูมิได้มาเยือนตำหนักแห่งนี้อีก ชาบนโต๊ะก็ไม่หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีก

    หลนเมิ้งหยาเด็ดลูกเชอร์รีเข้าปาก หรี่ตาเล็กลงเพื่อรับรสชาติหวานละมุน

    “คุณหนูเจียงถูกขังตามคำสั่งของพระสนมเต๋อเฟย หนู่ปี้ได้ยินคนจากตำหนักหยาเสวียนเล่าว่าภายในห้องมีแต่ข้าวของแตกกระจายเจ้าค่ะ”

    คิก! เจียงหรูฉินบังอาจเหลือเกิน ทั้งที่อยู่บ้านคนอื่น แต่กลับไร้ซึ่งความเกรงใจ

    หลินเมิ้งหยาปัดมือเล็กน้อยเพื่อทำความสะอาด ออกคำสั่งกับป๋ายจีด้วยท่าทางอารมณ์ดี

    “หากคุณหนูเจียงต้องการทำลายข้าวของ พวกเจ้าก็ควรปล่อยให้นางทำอย่างเต็มที่ จากนั้นเขียนรายการของที่แตกเอาไปให้พ่อบ้านเติ้ง สั่งให้เขานำรายการสิ่งของเหล่านั้นไปส่งมอบให้สกุลเจียง”

    “เจ้าค่ะ นายหญิง”

    สาวใช้ทั้งสามหัวเราะสบตากัน นายหญิงของนางไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นกลับดูน่ารักน่าชังเหลือเกิน

    “ต่อจากนี้ไปเสี่ยวอวี้และป๋ายจื่ออย่าได้ห่างจากข้า เมื่อการแสดงครั้งใหญ่เริ่มขึ้นก็จะต้องมีคนชมใช่หรือไม่ ข้าจะไปที่ตำหนักหยาเสวียนสักรอบเพื่อร้องขอความเมตตาให้กับคุณหนูเจียง”

    หลินเมิ้งหยาใจดีขนาดนั้นเสียที่ไหน ที่ซ่างกวนฉิงมาที่นี่ก็เพื่อวางแผนร้ายเพื่อให้ลูกสาวของตัวเองได้ตำแหน่งพระชายาไปครอบครอง

    อีกทั้งช่วงนี้เจียงหรูฉินยังข่มเหงรังแกหลินเมิ้งหวู่อยู่เสมอ

    พอสู้ไม่ได้ก็ตามผู้ใหญ่มาช่วย ไม่รู้ว่าเด็กน้อยที่มีสติปัญญาเทียบเท่าเด็กอนุบาลเช่นนี้ไปเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากที่ไหน

    ทันทีที่เดินผ่านธรณีประตูของตำหนักหยาเสวียนเข้ามา ใบหน้ายินดีปรีดาของน้าจิ่นเยว่พลันปรากฏให้เห็น

    “ดูซี เมื่อครู่หนู่ปี้เพิ่งจะเล่าเรื่องของพระชายาให้พระสนมเต๋อเฟยฟังแท้ๆ แต่นี่พระชายาเสด็จมาถึงตำหนักแล้ว บังเอิญจริงๆ พูดปุ๊บก็มาปั๊บเลยเจ้าค่ะ”

    จิ่นเยว่สนิทสนมกับหลินเมิ้งหยาแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยแซวอย่างเป็นธรรมชาติ

    นัยน์ตาเปล่งประกายราวกับหยดน้ำของหลินเมิ้งหยาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม จะต้องเป็นเรื่องที่ป๋ายซ่าวแสดงละครอยู่หน้าจวนอย่างแน่นอนที่ทำให้พระสนมเต๋อเฟยอารมณ์ดีถึงเพียงนี้

    เดินตามจิ่นเยว่เข้าไปยังห้องหลักของตำหนักหยาเสวียน

    ผลปรากฏว่าได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของพระสนมเต๋อเฟย ดูเหมือนว่าพระนางจะไม่ได้รู้สึกอารมณ์ดีเช่นนี้นานแล้ว

    “เจ้าเด็กคนนี้นี่หนา เหตุใดจึงเจ้าเล่ห์เช่นนี้! สกุลซ่างกวนเป็นถึงนักรบ ลูกสาวลูกชายที่ถูกเลี้ยงดูล้วนกล้าหาญชาญชัยทั้งสิ้น เจ้าไปเอาความกล้าเช่นนั้นมาจากที่ใดกัน”

    ฮองเฮาเกิดจากตระกูลของนักรบ แต่ตระกูลของพระสนมเต๋อเฟยคือนักปราชญ์

    อันที่จริงหลังจากที่ฮ่องเต้ถูกตาต้องใจพระสนมเต๋อเฟยแล้ว ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสกุลซ่างกวนจึงรีบแต่งตั้งลูกสาวของตนเอง

    บางทีนี่อาจเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ได้

    ทว่าหัวใจของฮองเฮากลับไม่เคยลืมเรื่องราวเหล่านั้น อีกทั้งพระสนมเต๋อเฟยยังได้รับความรักความเมตตาอย่างมากมาย ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นศัตรูกันมาตลอดสิบกว่าปี

    ซ่างกวนฉิงที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของฮองเฮาเองก็เห็นพ้องต้องกันกับพี่สาว

    คราวนี้ถือว่าหลินเมิ้งหยาได้ระบายความอัดอั้นตันใจแทนพระสนมเต๋อเฟยออกมาบ้าง

    “หยาเอ๋อร์มิได้ทำสิ่งใดเลย หมู่เฟยอย่าปรักปรำกันสิเพคะ ป๋ายซ่าวเป็นสาวใช้ของหม่อมฉัน นางมีอุปนิสัยดุเด็ดเข็ดฟัน แม้แต่หยาเอ๋อร์เองก็คุมไม่อยู่”

    หลินเมิ้งหยาส่งยิ้มซุกซน ร่องรอยของความเฉลียวฉลาดเผยให้เห็นในนัยน์ตา

    นางเป็นพระชายาที่มีจิตใจกว้างขวาง แล้วแบบนี้จะให้นางยอมรับว่าตนเองได้จัดการแม่เลี้ยงของตนเองจนอยู่หมัดได้อย่างไร?