“เจ้านี่หนา!” พระสนมเต๋อเฟยเคาะหน้าผากของหลินเมิ้งหยาเบาๆ ด้วยความรักใคร่ แม้แต่น้ำเสียงก็เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
ในสายตาขอนาง หลินเมิ้งหยาเป็นคนฉลาดเฉลียว แต่ถึงกระนั้นก็ทำเพียงเพราะความสนุกสนาน หาได้ทำร้ายใครไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนฉิงยังเห็นดีเห็นงามไปกับพี่สาวของนาง พวกนางสร้างความคับแค้นใจให้กับพระสนมเต๋อเฟยเสมอมา การลงมือของหลินเมิ้งหยาในคราวนี้จึงเผยให้เห็นว่านางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับแม่เลี้ยง
“จริงสิเพคะหมู่เฟย หม่อมฉันอยากให้พระองค์พิจารณาเรื่องโทษทัณฑ์ของน้องหรูฉินใหม่เพคะ ถึงอย่างไรน้องก็ยังเป็นเด็กจึงไม่รู้ความ ทำเพียงว่ากล่าวตักเตือนก็น่าจะเพียงพอแล้ว หากท่านอาคนโตทราบข่าวว่าเราทำกับนางเช่นนี้จะไม่เป็นการดีนะเพคะ”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาขอร้องพระสนมเต๋อเฟย คำพูดของนางล้วนมีเหตุมีผลทั้งสิ้น
ขณะนี้พระสนมเต๋อเฟยรู้สึกว่าหลินเมิ้งหยาเป็นเด็กที่รู้ความมากเหลือเกิน
“ข้าจะลองพิจารณาเรื่องนี้ดู เด็กดี เจ้าไม่เจ็บแค้นหรูฉินอย่างนั้นหรือ หากในอนาคตหรูฉินรังแกเจ้า เจ้ารีบมาบอกข้า ข้าจะออกหน้าแทนเจ้าเอง”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ก่อนจะพูดคุยกับพระสนมเต๋อเฟยเพื่อทำให้นางอารมณ์ดีเล็กน้อยแล้วกลับไปยังตำหนักหลิวซิน
สามวันต่อมา ซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่แอบอยู่ในสวนของตนเองเพื่อพูดคุยความลับ
ตอนแรกคิดอยากไปถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย ทว่าน้าจิ่นเยว่กลับห้ามไว้มิให้เข้าเฝ้า
อ้างว่าพระสนมเต๋อเฟยไม่สบาย ไม่ต้องการให้เข้าพบ
วันสบายๆ เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง หลินเมิ้งหยาสบายเสียจนเบื่อ ดังนั้นนางจึงเข้าไปยืนข้างสระน้ำแล้วให้อาหารปลาคาร์ป
“หลายวันมานี้ฮูหยินหลินได้พบกับคุณหนูเจียงแล้วหรือ?”
สาวใช้ทั้งสาม ป๋ายจีนั่งทอผ้า ป๋ายจื่อกัดกินขนมที่โรงครัวทำมาให้ ส่วนป๋ายซ่าวที่มักจะสดใสร่าเริงอยู่เสมอกลายเป็นผู้ติดตามข่าวและนำมาเล่าให้ฟัง
“แม้คุณหนูเจียงจะถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว แต่นางกลับไม่เข้าไปแม้แต่ตำหนักหยาเสวียน ฮูหยินหลินส่งของขวัญไปให้กับคุณหนูเจียง ดังนั้นทั้งสองฝั่งจึงสงบลงจนน่าประหลาดเจ้าค่ะ”
ป๋ายซ่าวนวดขาเรียวเล็กของหลินเมิ้งหยาเบาๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์เอะอะโวยวายหน้าประตู ตอนนี้ทุกคนในจวนต่างรู้จักนางหมดแล้ว
ตอนนี้นางกลายเป็นคนมีชื่อเสียงของจวนอวี้ มีคนมาทำความรู้จักกับนางมากขึ้น ดังนั้นเรื่องเล็กเรื่องน้อยในจวนจึงเข้าหูนางอย่างรวดเร็ว
“รวมหัวกันอย่างนั้นหรือ คุณหนูเจียงเองก็นิสัยใช่ย่อย หากพวกนางร่วมมือกันโจมตีข้าจะไม่ง่ายกว่าหรือ?”
หลินเมิ้งหยามพลิกตัว มองดูปลาในน้ำที่กำลังแก่งแย่งอาหารกัน ใบหน้านวลเรียวเล็กรูปไข่หยักยิ้มเล็กน้อย ราวกับว่านางมิได้ใส่ใจเรื่องเหล่านั้นเลยสักนิด
หญิงสาวทั้งสี่มิได้สังเกตเห็นเลยว่ากำลังมีสายตาซุกซนคู่หนึ่งพุ่งไปยังหลินเมิ้งหยา
คนผู้สวมใส่ชุดสีม่วงอ่อนปักลายต้นไผ่สีเขียวมรกต ชายเสื้อทั้งสองข้างล้วนปักด้ายขาวเป็นลวดลายสวยงาม
ร่างสูงบางปรากฏขึ้น ใบหน้าคล้ายกับหลงเทียนอวี้แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและสง่างาม ไร้ซึ่งความเย็นชาปรากฏให้เห็น
“พี่สาม พระชายาของท่านช่างมีเอกลักษณ์แตกต่างเสียจริง”
องค์ชายหกหลงชิงหานมีความสัมพันธ์อันดีกับหลงเทียนอวี้ เหตุเพราะแม่ของเขาตายไปตอนคลอดลูก ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงเป็นผู้เลี้ยงดูเสมอมา
เขามีอุปนิสัยซุกซนขี้เล่นมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่นอกเหนือจากการช่วงชิงบัลลังก์แล้ว เขาจึงมักจะออกไปกินไปดื่มกับเหล่ามิตรสหาย
“นางเป็นพี่สะใภ้สามของเจ้า อย่าได้คิดไม่ซื่อ”
หลงเทียนอวี้ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้เอ่ยขัดความคิดของหลงชิงหาน
เขาที่เป็นองค์ชายหกมีความสามารถรอบด้าน อีกทั้งใบหน้ายังหล่อเหลาเกินพรรณนา สาวสวยมากมายต่างพากันหมายปอง แต่เขากลับไม่หยุดที่จะหาดอกไม้งามดอกใหม่มาดอมดมเสมอ
แต่เพราะหลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนกุหลาบอาบยาพิษ เกรงว่าหากหลงชิงหานนำนางมาไว้ใกล้ตัว รังแต่จะเป็นพิษต่อร่างกายเสียมากกว่า
“พี่สะใภ้สาม?” หลงชิงหานกระตุกยิ้มนึกสนุก กดพัดที่ถืออยู่ในมือทับลงบนหนังสือที่หลงเทียนอวี้กำลังถือ สีหน้าพลันแสดงให้เห็นถึงอาการหวาดผวา
“จริงหรือ? พี่สาม นางเป็นหมากตัวหนึ่งของฮองเฮานะ หรือว่า…นางทำให้พี่หวั่นไหวกระนั้นหรือ?”
หวั่นไหว? สมองของหลงเทียนอวี้ปฏิเสธความคิดนี้แทบจะในทันที
สีหน้าเย็นชา สายตาข่มขวัญจับจ้องไปทางหลงชิงหาน
“ข้าไม่มีวันรู้สึกหวั่นไหวกับสตรีทุกคน นาง…ตอนนี้เป็นหมากตัวหนึ่งของข้า”
ถูกต้อง เขายอมปล่อยให้หลินเมิ้งหยาปรับเปลี่ยนจวนอวี้ตามความต้องการของนาง ยินยอมให้นางใช้อำนาจของตนเองตามอำเภอใจ เขามักจะตอบรับคำขอทุกอย่างของนาง ทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากนาง นางจะได้มาเป็นผู้ช่วยเขาเท่านั้น
เขาไม่เคยนึกสนใจผู้หญิง เมื่อก่อนเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น
“นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่งดงามมีเสน่ห์มากเท่านั้น นางต้องจัดการงานบ้านงานเรือนและต่อสู้กับปัญหาภายใน แต่ถึงกระนั้นนางกลับสง่างามเหลือเกิน ถ้าหากพี่สามไม่ชอบ เช่นนั้นยกให้ข้าได้หรือไม่?”
หลงชิงหานที่เดาไว้อยู่แล้วว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ จับจ้องมองทางเรือนร่างของหลินเมิ้งหยาตาไม่กะพริบ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด รอยยิ้มของหญิงสาวผู้นั้นสว่างไสวดึงดูดสายตาของเขาเหมือนแม่เหล็ก
“ข้าว่าเจ้าอย่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับนางเลย มิเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้”
น้ำเสียงเย็นชา หัวใจพลันรู้สึกไม่สบอารมณ์
แม้หลงชิงหานจะเป็นน้องชายที่เขารักและเอ็นดูเป็นอย่างมาก แต่ถึงขั้นบังอาจเอ่ยขอพระชายาของเขาต่อหน้าเช่นนี้ เขาเองอดที่จะรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้
“พี่สาม ข้าเพียงแต่ล้อท่านเล่นเท่านั้น…ทำไมไท่จื่อจึงมาที่นี่เล่า?”
กระซิบเสียงเบา จู่ๆ ร่องรอยของความเย็นชาพลันปะปนอยู่ในน้ำเสียง
แม้หลงชิงหานจะเป็นองค์ชายเช่นเดียวกัน แต่เพราะเขาถูกพระสนมเต๋อเฟยเลี้ยงดูมาจนโต ดังนั้นเขาจึงถูกไท่จื่อกลั่นแกล้งอยู่ลับๆ เสมอ
ต้าจิ้นมีองค์ชายทั้งหมดสิบเอ็ดพระองค์ แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้มีเพียงห้าพระองค์เท่านั้น
แม้สาเหตุการตายที่ทุกคนได้รับรู้จะเกิดจากอุบัติเหตุ แต่ลับหลังไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าเพราะอะไร
“เขาทำอะไร?”
วางหนังสือในมือลง หลงเทียนอวี้เองก็เดินไปหยุดยืนข้างหน้าต่าง ชำเลืองมอง ก่อนจะได้เห็นชายใบหน้าหล่อเหลาสวมใส่ชุดสีเหลืองทอง ศีรษะประดับมงกุฎทองเดินตรงไปยังศาลาเล็กในสวนดอกไม้ของจวนอวี้
“ไท่จื่อเสด็จ…”
เสียงร้องของขันทีดังขึ้นจนดึงดูดความสนใจจากหลินเมิ้งหยาที่กำลังดูปลาอยู่ในสระน้ำกลับมา หันหน้าก่อนจะได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของไท่จื่อ
นางหลุบตาต่ำ กักเก็บความรู้สึกรังเกียจในหัวใจ ป๋ายซ่าวเข้ามาพยุง จากนั้นนางถวายคำนับตามธรรมเนียมของพระราชวัง
“ถวายคำนับไท่จื่อ”
น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนประหนึ่งสายน้ำที่สาดซัดเข้ามาในหัวใจของไท่จื่อ
หลังจากได้เห็นนางเพียงครั้งเดียวเมื่องานเลี้ยงฉลองวันเกิดของพระสนมเต๋อเฟย ทุกค่ำคืนเขามักจะเฝ้าฝันหานางเสมอ
หญิงสาวที่งดงามมากขนาดนี้ ไม่คู่ควรกับคนไร้ความรู้สึกเช่นนั้น
ไท่จื่อมั่นใจว่าเขาสามารถโน้มน้าวเอาชนะใจหลินเมิ้งหยาได้
หลงเทียนอวี้เป็นเพียงคนโง่เขลาเท่านั้น ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไร้ซึ่งความกล้าที่จะต่อกรกับเขา
“ลุกขึ้นเถิด ด้านนอกลมแรง เดี๋ยวคุณหนูหลินจะถูกความเย็นปะทะเอาได้”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งอย่างเช่นวันนั้น อีกทั้งยังอบอุ่นอ่อนโยน
หัวใจของหลินเมิ้งหยากระตุกเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นนางกลับขยับเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อยืนอยู่ทางด้านหลังป๋ายซ่าว
“ไท่จื่ออุตส่าห์เสด็จมา เฉินเซี่ย1จะรีบไปทูลท่านอ๋องให้มาเข้าเฝ้า ไท่จื่อได้โปรดรอสักครู่ ป๋ายจีจงไปนำชามาให้ไท่จื่อ”
แทนตนเองด้วยคำว่าเฉินเซี่ย หลินเมิ้งหยาต้องการเตือนไท่จื่อว่าตนเองเป็นภรรยาของน้องชาย อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม
ไท่จื่อกลับไม่ใส่ใจ เขาก้าวฉับๆ ขึ้นมาข้างหน้า ราวกับไม่สนใจชื่อเสียงของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“หากจะอ้างอิงจากความอาวุโส เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านพี่ เหตุใดจึงทำตัวเหมือนคนอื่นคนไกลกันเล่า?”
ญาติผู้พี่ตัวดี! หลินเมิ้งหยาขยับเท้าถอยหลังจนไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว ใบหน้ายังคงก้มต่ำ อีกทั้งยังไม่ยอมเอื้อนเอ่ยอันใดออกมา
เป็นถึงองค์ชายรัชทายาท แต่กลับไม่คำนึงถึงศีลธรรมและมารยาท เขากล้าแม้กระทั่งยั่วยวนน้องสะใภ้ เมื่อต้องพบกับไท่จื่อที่ไร้ยางอายเช่นนี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกรำคาญใจเหลือทน
“เจ้า…”
“ไม่รู้ว่าไท่จื่อมีเหตุอันใดจึงเสด็จมาที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังครุ่นคิดหาวิธีเอาตัวรอด ร่างกำยำพลันปรากฏขึ้นขวางหน้านางเอาไว้
ผงะ เงยหน้าขึ้นมองร่างอันแสนคุ้นเคย…หลิงเทียนอวี้ เหตุใดเขาจึงปรากฏตัวได้ทันท่วงทีเช่นนี้?
“แน่นอนว่าข้ามีเรื่องให้ต้องมาที่นี่ ฮ่องเต้ซีฟานหมิงเสด็จมาเยี่ยมเยียนที่เมืองหลวงอีกครา ทว่าท่านพ่อยังประชวรหนัก เพื่อมิให้เป็นการเสียมารยาท พวกเราเหล่าพี่น้องควรร่วมกันถวายการต้อนรับ”
ไท่จื่อจ้องมองน้องชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ร่องรอยของการดูถูกเหยียดหยามพลันปรากฏขึ้นในดวงตา
หากมิใช่เพราะเสด็จแม่เตือนว่าต้องมาหาหลงเทียนอวี้แล้วละก็ เขาไม่มีวันมาเหยียบที่นี่อย่างแน่นอน
“พวกเราควรให้การต้อนรับที่อบอุ่นแก่ฮ่องเต้หมิง เฉินตี้พร้อมน้อมรับพระบัญชาของไท่จื่อ”
เสียงสดใสของชายหนุ่มดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหันไปมองด้วยความสงสัย มิรู้ว่าองค์ชายรูปงามจากที่ใดเสด็จมา
ทว่าสิ่งที่ได้เห็นคือแววตาขี้เล่นซุกซนขณะที่ต้องมองมายังใบหน้าของตนเอง
เมื่อได้ฟังจากคำพูดของเขา หรือว่า…เขาจะเป็นน้องชายของหลงเทียนอวี้?
“ที่แท้ก็เป็นน้องหกนี่เอง ข้าคิดว่าเจ้ากับน้องสามมีความสัมพันธ์อันดีมาตลอด เกิดอะไรขึ้นกันเล่า? เหตุใดจึงมาหาดอกไม้งามที่จวนของน้องสามแห่งนี้?”
ส่งเสียงยั่วยุ ความรังเกียจถูกวาดลงบนแววตาของไท่จื่อ
ปกติน้องหกคนนี้มักจะเกกมะเหรกเกเรเป็นที่สุด แต่เสด็จพ่อกลับยังรักและเอ็นดูเขามาก
ทั้งที่เป็นเพียงลูกที่ให้กำเนิดโดยนางในเท่านั้น เขามีดีตรงไหนกัน?
“เฉินตี้จะกล้ามาหาสาวงามในจวนท่านพี่สามได้อย่างไร โอ้ นี่คงเป็นพี่สะใภ้สามสินะ คุณหนูของเจิ้นหนานโหวถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจริงๆ ข้าน้อยน้องหกขอถวายคำนับพี่สะใภ้สาม”
หลงชิงหานถวายคำนับอย่างมีมารยาท หลินเมิ้งหยารีบถวายคำนับตอบ
แม้จะมีลักษณะท่าทางประหนึ่งคุณชายเจ้าสำอาง แต่หลินเมิ้งหยารู้ได้เลยว่าองค์ชายพระองค์นี้มิใช่คนธรรมดาอย่างที่ได้แสดงออกมา
“เกรงว่าท่านอ๋องและไท่จื่อน่าจะยังมีเรื่องต้องคุยกับ เซี่ยเฉินขอทูลลา”
หลินเมิ้งหยาก้มหน้าลง ก่อนจะพาสาวใช้ออกไปจากที่นี่
สายตาสามคู่ตกลงบนเรือนร่างทางด้านหลังของนาง แต่พวกเขาต่างมีความคิดไม่เหมือนกัน
“นายหญิง เหตุใดไท่จื่อจึงปฏิบัติตนเสมือนไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นนั้นเจ้าคะ ท่านเป็นน้องสะใภ้ของเขามิใช่หรือ!”
ป๋ายจีเป็นคนสงบนิ่งมากที่สุด แต่ก็เชื่อฟังเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
ปกติแล้วท่านอ๋องและพระชายาต่างอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพและให้เกียรติซึ่งและกัน พวกเขาไม่เคยลุกร้ำความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายเลย
เขาเป็นถึงไท่จื่อ แต่กลับแสดงกิริยาวาจาต่ำทรามจนเกินจะรับได้
“ไท่จื่อจงใจอย่างแน่นอน คาดว่าคงต้องการทำให้ท่านอ๋องลำบากใจ”
บดบังนิ้วมือที่กำลังกำเข้าหากันแน่น แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ทว่าในใจกลับจดจำหนี้แค้นที่มีต่อไท่จื่อในครั้งนี้เอาไว้แล้ว
***********************
1 เฉินเซี่ยคือคำแทนตนของหญิงสาวที่แต่งงานแล้วซึ่งมีฐานะต่ำต้อยกว่าอีกฝ่าย โดยส่วนใหญ่นางในมักจะใช้เรียกแทนตนเวลาพูดกับฮ่องเต้