เล่มที่ 3 บทที่ 69 เลือกคนรักที่มักคุ้น

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

พาสาวใช้ของตนเองกลับไปยังตำหนักหลิวซิน หลินจงอวี้ที่ได้ทราบข่าวรีบตามมาสมทบ เพียงเดินผ่านธรณีประตูเข้ามาก็ได้เห็นหลินเมิ้งหยาที่กำลังข่มความไม่พึงพอใจ

    “ไท่จื่อคนนี้ไร้มารยาทจริงเชียว! พี่สาวอย่าได้ขุ่นเคืองไปเลย เดี๋ยวจะส่งผลไม่ดีต่อร่างกาย”

    หลินเมิ้งหยาถูกข่มเหง คนที่กำลังโกรธหาใช่นางเพียงคนเดียวไม่

    “อารมณ์เสียแล้วจะส่งผลไม่ดีต่อร่างกาย? ไม่มีทางหรอก ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่าจะเอาคืนเขาอย่างไรเท่านั้น”

    หลินเมิ้งหยาเกลียดผู้ชายที่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของโลกเช่นนี้ที่สุดมาตั้งแต่ชาติปางก่อนแล้ว

    จำได้ว่าเมื่อครั้นที่นางเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ชายคนหนึ่งที่คิดว่าบ้านของตนเองร่ำรวยมากเข้ามาข่มเหงนาง

    นางยังคงจำได้ดี ต่อมานางแอบเอาโครงกระดูกของมนุษย์ไปใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของชายคนนั้น สุดท้ายเข้าตกใจแทบตาย

    วันนี้ไท่จื่อกล้าข่มเหงนาง เกรงว่าเขาไม่อยากจะมีชีวิตยืนยาวอีกต่อไปแล้ว

    “ทูลพระชายา ท่านอ๋องคุยงานเสร็จแล้ว อีกทั้งยังรับสั่งว่าไท่จื่อจะอยู่เสวยอาหารเย็นที่จวน ขอพระชายาได้โปรดจัดเตรียม”

    ด้านนอก เสียงของผู้ดูแลดังขึ้น หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ป๋ายจื่อจึงรีบวิ่งออกไปถาม

    ยังคิดจะอยู่กินข้าวที่นี่อีกหรือ มุมปากของหลินเมิ้งหยาพลันเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดขึ้นมา จู่ๆ นางก็คิดได้ว่านางจะทำให้ไท่จื่อได้เสวยอาหารมื้อที่ยากจะลืมเลือน!

    ภายในสวนขนาดเล็ก คิ้วของไท่จื่อขมวดเข้าหากันขณะต้องมองใบหน้าน่าสงสารของท่านน้า

    ภายในเรือนสะอาดสะอ้าน แต่มันกลับดูทรุดโทรม แม้แต่ของใช้ในบ้านก็แทบจะไม่มี

    แม้แต่แก้วชาที่นำมาให้เขาดื่มก็เป็นเพียงถ้วยชาธรรมดา ใบชาที่นำมาชงก็ขมจนเกินทน

    ท่านน้าและน้องสาวล้วนสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย เมื่อเทียบกับหลินเมิ้งหยาแล้ว พวกนางไม่ต่างอะไรจากขอทานข้างถนน

    สมัยเด็ก เสด็จแม่มักจะยุ่งอยู่กับการทำสงครามกับพระสนมทั้งหลาย ดังนั้นท่านน้าที่มักจะเข้ามาดูแลเขาในวังจึงเรียกได้ว่าเป็นแม่คนหนึ่งของเขาเช่นเดียวกัน

    ตอนที่เขามาจวนอวี้ เขาแอบได้ยินสถานการณ์ของท่านน้ามาบ้างแล้ว

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะน่าสงสารขนาดนี้ หลินเมิ้งหยาคนนั้นทำเกินไปจริงๆ

    “ท่านพี่ไท่จื่อดูสิเจ้าคะ หลินเมิ้งหยากลั่นแกล้งข้าและท่านแม่ ท่านพี่จะต้องออกหน้าช่วยพวกเรานะเจ้าคะ”

    หลินเมิ้งหวู่ร้องไห้กระทืบเท้าพร้อมทั้งพูดจาให้ร้ายหลินเมิ้งหยา ทว่านางกลับไม่พูดเรื่องที่ตนเองมาพำนักอาศัยบ้านของผู้อื่นและคิดจะแย่งสามีของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย

    “หวู่เอ๋อร์ อย่าเอ่ยวาจาหยาบคายเช่นนั้น ท่านพี่ไท่จื่อของเจ้าต้องทำเรื่องใหญ่ จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร?”

    ซ่างกวนฉิงรักใคร่เอ็นดูไท่จื่อมาก นางมีเพียงลูกสาวคนเดียว ส่วนลูกชายเพียงคนเดียวของสกุลหลินกลับเป็นลูกของนางแพศยาคนนั้น

    เหตุใดจะต้องขัดขวางนางไปเสียทุกเรื่อง

    วันนี้หลานชายของนางมาแล้ว เขาจะต้องออกหน้าแทนนางอย่างแน่นอน นางจะคอยดูว่านังแพศยาคนนั้นจะอวดเก่งได้อีกสักกี่น้ำ!

    “หวู่เอ๋อร์พูดถูก ในเมื่อเข้ามาแล้ว ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้ท่านน้าโดนกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน แต่เพราะหลินเมิ้งหยาเป็นเจ้าบ้าน พวกเราเป็นเพียงแขก เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้ สาเหตุที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องต้องการจะพูดกับท่านน้า”

    กักเก็บความขุ่นเคืองในใจ จู่ๆ ไท่จื่อก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

    ซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่สบตากัน ทว่าพวกนางกลับไม่เข้าใจว่าไท่จื่อมีเรื่องอะไรจะปรึกษาพวกนาง

    “อีกสามเดือนข้างหน้าน้องหวู่ก็จะอายุครบสิบหกปีแล้วใช่หรือไม่”

    หยิบถ้วยชาขึ้นมาด้วยความเคยชิน แต่เมื่อเห็นน้ำชาสีดำเมี่ยมจึงรีบวางกลับลงไปบนโต๊ะด้วยความรังเกียจ

    หัวใจของซ่างกวนฉิงกระสับกระส่าย มีเพียงหลินเมิ้งหวู่ที่แสดงท่าทางเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อ

    “อีกไม่ช้าฮ่องเต้หมิงจากซีฟานจะเสด็จเยือนเมืองหลวง เมื่อถึงเวลานั้นองค์ชายและองค์หญิงก็จะเสด็จตามมาด้วย องค์ชายแห่งซีฟานอายุยังน้อยแต่กลับมีพรสวรรค์ล้นเหลือ เสด็จแม่ไตร่ตรองดูแล้วว่าอยากให้น้องหวู่เอ๋อร์อภิเษกสมรสกับองค์ชาย”

    “อะไรนะ!?”

    ซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่แผดเสียงร้องด้วยความตื่นตะลึงออกมาพร้อมกัน ดวงตาของคนทั้งคู่มองหน้าไท่จื่ออย่างไม่อยากจะเชื่อ

    “องค์หญิงในวังล้วนมีมากมาย แม้จะไม่มี แต่พวกราชสกุลเองก็มีไม่น้อย เหตุใดต้องเป็นหวู่เอ๋อร์ที่ต้องไปอภิเษกสมรสด้วยเล่า!”

    ซ่างกวนฉิงส่งเสียงไม่น่าฟัง แต่เมื่อได้เห็นสายตาไม่พอใจของไท่จื่อแล้ว นางจึงกักเก็บความไม่พอใจของตนเองเอาไว้

    แม้แต่น้ำเสียงก็อ่อนโยนลง

    “น้าหมายถึงน้ามีหวู่เอ๋อร์เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว หากนางต้องแต่งงานออกเรือน เช่นนั้นน้าคงอดที่จะคิดถึงนางไม่ได้”

    หลินเมิ้งหวู่ทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว แต่ถึงกระนั้นก็มิกล้าส่งเสียงทัดทาน ดังนั้นใบหน้าเรียวเล็กจึงมีเพียงหยาดน้ำตาปรากฏให้เห็น

    ต้องการให้นางไปแต่งงาน ทว่าซีฟานเป็นดินแดนป่าเถื่อน เคยได้ยินมาว่ายังมีบางชนเผ่าที่ดื่มเลือดเป็นอาหาร หากส่งนางไปอยู่ที่นั่น มิเท่ากับส่งแกะเข้าปากเสือกระนั้นหรือ แล้วนางจะเอาตัวรอดได้อย่างไร?

    “นั่นก็ใช่ เสด็จแม่เพียงแต่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเท่านั้น เหตุเพราะยังต้องรอการตัดสินใจจากองค์ชายซีฟานก่อน เมื่อเวลานั้นมาถึง บรรดาองค์หญิงและราชนิกุลล้วนต้องเข้ามาร่วมงานในพระราชวัง ฉะนั้นจึงยังไม่รู้ได้ว่าองค์ชายจะพึงพอใจผู้ใด”

    แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าเสด็จแม่กลับส่งรูปภาพของหลินเมิ้งหวู่ไปก่อนแล้ว

    แม้ซีฟานจะเป็นชนเผ่าต่างแดน ทว่าพวกเขามีจุดเด่นเรื่องกำลังคนและกำลังทหาร ราษฎร์ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งคนแก่ผมหงอกล้วนสามารถออกรบฆ่าตนได้ทั้งนั้น

    การอภิเษกจัดขึ้นเพื่อสร้างความปรองดองและขั้วอำนาจของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    หากหลินเมิ้งหวู่สามารถเป็นพระชายาของซีฟานได้จนกระทั่งได้เป็นฮองเฮา เช่นนั้นอำนาจของตนเองก็ยิ่งแผ่ไพศาล

    ทว่าเรื่องนี้ยังไม่สามารถพูดกับท่านน้าที่หวงลูกสาวอย่างกับไข่ในหินตอนนี้ได้

    ซ่างกวนฉิงจ้องมองแสงในดวงตาของไท่จื่อ นางมั่นใจขึ้นมาทันที

    ความโกรธเคืองที่มีต่อพี่สาวพลันปะทุขึ้นมา

    ก่อนหน้านั้นนางตกหลุมรักหลินมู่จือที่เกิดในสกุลของนักรบ แต่พี่สาวกลับแสดงละครและเอ่ยกับท่านพ่อว่าอยากให้นางแต่งงานกับชายป่วยกระเสาะกระแสะเพื่อเสริมอำนาจในตำแหน่งของนาง

    หากมิใช่เพราะเทวดาฟ้าดินมีหูมีตาทำให้ชายป่วยกระเสาะกระแสะผู้นั้นด่วนตายจากไปก่อนแล้วละก็ เกรงว่าป่านนี้นางคงกลายเป็นแม่หม้ายไปแล้ว

    หากไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของท่านพี่ มู่จือคงไม่ไปเก็บนังแพศยาคนนั้นมาได้จากสนามรบและปฏิเสธคำคัดค้านจากทุกคนแล้วแต่งงานกับนางคนนั้นหรอก

    หวู่เอ๋อร์เปรียบเสมือนดวงใจของนาง นางไม่มีทางยอมปล่อยให้พี่สาวพรากความสุขไปจากนางเด็ดขาด!

    “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็วางใจ”

    ซ่างกวนฉิงกระตุกแขนเสื้อของหลินเมิ้งหวู ส่งสายตาปลอบโยนให้กับหลินเมิ้งหวู่

    สีหน้ากลับมาเป็นปกติ ทว่าหัวใจกลับเจือไว้ซึ่งความเกลียดชัง

    ลูกสาวของนางจะต้องไม่แต่งงานกับซีฟานเด็ดขาด ทว่านางจะอาศัยโอกาสอันดีนี้ให้เป็นประโยชน์

    “วางใจเถิด หากหวู่เอ๋อร์ไม่ยินยอมที่จะแต่งงาน ข้าและเสด็จแม่ก็ไม่คิดบีบบังคับนาง ถึงอย่างไรหวู่เอ๋อร์ก็เป็นน้องสาวของข้า นางไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป”

    เอื้อนเอ่ยวาจาแสดงความใจกว้าง ไท่จื่อลอบสำรวจหลินเมิ้งหวู่

    แม้จะมิได้งดงามมีเสน่ห์ดังเช่นหลินเมิ้งหยา แต่ถึงกระนั้นก็ยังนับว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง

    เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้ว องค์ชายที่ไม่เคยเจอสาวงามในเมืองหลวงเช่นนี้จะต้องถูกพระทัยอย่างแน่นอน

    เมื่อถึงเวลานั้นนางก็ไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะแต่งหรือไม่!

    “ทูลไท่จื่อ ฮูหยินหลิน คุณหนูรอง อาหารเย็นตระเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระชายาสั่งให้หนู่ปี้มาเชิญทุกท่านเจ้าค่ะ”

    ด้านนอกสวน ป๋ายจีผู้แสนอ่อนโยนถ่ายทอดคำสั่งของหลินเมิ้งหยา

    ดังนั้นทั้งสามจึงเลิกพูดคุยเรื่องแต่งงาน

    ไท่จื่อปรับสีหน้าของตนเอง จากนั้นเดินออกจากเรือนเล็กไปเป็นคนแรก ซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่ทยอยเดินตามหลังไป

    ทั้งสามพาคนรับใช้ของตนเองมายังห้องรับแขกด้วย

    หลงเทียนอวี้และหลงชิงหานนั่งลงที่ที่นั่งผู้น้อย มีเพียงพระสนมเต๋อเฟยคนเดียวที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งผู้อาวุโส ส่วนที่นั่งหัวโต๊ะยังคงว่างเปล่า

    ไท่จื่อเดินเข้าไปนั่งยังที่นั่งหัวโต๊ะ ซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่นั่งลงยังตำแหน่งของแขก คนเดียวที่ยังไม่ปรากฏตัวคือนายหญิงของบ้านหลินเมิ้งหยา

    “ถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงอยู่ที่นี่สุขสบายดีหรือไม่?”

    เสแสร้งแสดงออกถึงความสนิทสนม อีกทั้งยังเอื้อนเอ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทั้งที่ในใจรู้สึกรังเกียจผู้หญิงที่ก่อสงครามกับแม่ของตนเองมานานเกือบครึ่งชีวิตตรงหน้าเหลือเกิน

    ได้รับความรักและเอ็นดูจากเสด็จพอไปแล้วยังไม่พอ แต่กลับยังคลอดลูกชายที่เสด็จพ่อให้ความสำคัญมากออกมาอีก ไม่เพียงแค่เสด็จแม่ แม้แต่เขาเองก็เกลียดชังพระสนมเต๋อเฟยเหลือเกิน

    “ขอบพระทัยในความเป็นห่วงเพคะ เปิ่นกงอยู่ที่นี่สุขสบายดี”

    แม้จะเป็นเพียงการถามไถ่ตามมารยาท แต่ถึงกระนั้นพระสนมเต๋อเฟยก็ไม่เผยร่องรอยของความรู้สึกใดๆ ออกมา

    เคยชินกับการปฏิบัติตัวให้สง่างามอยู่เสมอเหมือนดั่งเช่นตอนที่ยังอยู่ในรั้วในวัง ราวกับว่านางไม่เคยลืมตัวเลยแม้แต่น้อย

    “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เสด็จแม่ที่อยู่ในพระราชวังเองก็คิดถึงพระสนมเช่นกัน”

    ร่องรอยของความเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาของไท่จื่อ แต่ถึงกระนั้นหลงเทียนอวี้กลับพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกของตนเองเอาไว้ในใจ

    “ไท่จื่อได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันมัวแต่ยุ่งวุ่นวาย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าไท่จื่อชอบเสวยอาหารชนิดไหน ดังนั้นจึงพยายามครุ่นคิดและทำออกมาอยู่นาน ไท่จื่อได้โปรดอย่าขำอาหารที่หม่อมฉันทำเลยนะเพคะ”

    หลินเมิ้งหยารีบร้อนเข้ามา ร่างกายสวมใส่ชุดสีฟ้าเขียวที่ทำให้คนมองรู้สึกสบายตา

    ความเย็นชาบนใบหน้าถูกลบออกไป รอยยิ้มสดใสร่าเริงเข้ามาแทนที่

    นางมิได้ดูเหมือนหญิงสาวที่แต่งงานออกเรือนแล้ว แต่กลับเหมือนหญิงสาวทั่วไปที่มีความร่าเริงงดงาม ความงามของนางทำให้หลินเมิ้งหวู่ดูหม่นหมองไปในทันที

    สายตาของไท่จื่อและหลงชิงหานล้วนจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างของหญิงสาวอรชรอ้อนแอ้นตรงหน้า

    ทว่านางกลับส่งยิ้มหวานหยดย้อยแล้วนั่งลงข้างกายของหลงเทียนอวี้

    “ท่านอ๋อง หากข้าทำออกมาได้ไม่ดี ท่านจะต้องขอร้องไท่จื่อแทนหม่อมฉันนะเพคะ”

    น้ำเสียงออดอ้อน ทว่าคิ้วของหลงเทียนอวี้กลับเลิกสูงขึ้น

    เอียงหน้ามองดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น…ยัยเด็กนี่วางแผนอะไรอยู่กันแน่?

    เบนสายตามองอาหารหลากสีสันที่กำลังถูกยกออกมาวางบนโต๊ะ

    แม้จะเป็นอาหารที่รับประทานกันในครอบครัว ทว่าอาหารทุกชนิดล้วนถูกจัดเรียงตามมาตรฐาน ข้างกายของไท่จื่อคือขันทีที่ทำหน้าที่ชิมอาหารก่อน หลังจากที่เขาชิมเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะนำอาหารจัดวางให้ไท่จื่อรับประทาน

    “อาหารจานนี้ดูสวยงามแปลกตายิ่งนัก ไท่จื่อยังไม่เคยกินมาก่อน เหตุใดจึงรสชาติดีเยี่ยงนี้?”

    ในจานอาหารของไท่จื่อมีอาหารชนิดหนึ่ง ด้านนอกเหลืองกรอบ ด้านในหวานนุ่มชุ่มช่ำ อีกทั้งยังสดใหม่มากอีกด้วย

    “อาหารชนิดนี้ชื่อว่ามันฝรั่งเคลือบน้ำตาลเพคะ เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เชิญไท่จื่อเสวยตามสบายเลยเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำเพื่อปกปิดรอยยิ้มในแววตา

    นอกจากมันฝรั่งเคลือบน้ำตาลแล้ว บนโต๊ะอาหารยังมีหัวไชเท้า แอปเปิ้ล มันฝรั่งที่ทำเป็นอาหารคาว แม้จะหน้าตาไม่น่าอภิรมย์ ทว่ารสชาติกลับถูกปาก

    เมื่อได้เห็นไท่จื่อดื่มเหล้าชั้นเลิศที่นางเลือกให้เป็นพิเศษ หลินเมิ้งหยายกมือขึ้นปิดริมฝีปากเพื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มของตนเองเอาไว้

    “ปู้ด” เสียงผิดปกติบางอย่างดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน