เล่มที่ 3 บทที่ 70 จัดการเจ้าอย่างไรเล่า

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ภายในห้องโถงใหญ่ ทุกคนต่างหันมองซ้ายขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง

    หลินเมิ้งหยาก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นไม่เห็น

    “ปู้ด” เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าทุกคนกลับพากันหันหน้าไปทางตำแหน่งที่นั่งของไท่จื่อ

    สีหน้าทุกคนเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย

    “น้องสาม ข้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ไม่ทราบว่าจะขอยืมห้องรับแขกสักห้องได้หรือไม่”

    แม้ไท่จื่อจะหน้าหนามากสักเพียงไหน แต่เขาก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป

    ด้วยแรงกระตุ้นบางอย่าง แม้เขาจะพยายามอดทนอดกลั้นมากสักเพียงไหน ทว่าทุกคนกลับดูออกหมด

    “พ่ะย่ะค่ะ พ่อบ้านเติ้ง เจ้าจงพาไท่จื่อไปยังห้องรับแขก”

    ใบหน้าของหลงเทียนอวี้ไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่านัยน์ตากลับเผยร่องรอยบางอย่าง

    มีเพียงเขาคนเดียวที่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างดั่งดอกไม้บานของหญิงสาวที่กำลังนั่งข้างๆ

    เกรงว่าคนที่มีความกล้ามากมายขนาดนี้จะมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น

    สีหน้าของไท่จื่อยังคงเย่อหยิ่งเช่นเคย ทว่าเมื่อลุกขึ้นยืนแล้ว ราวกับว่าเขาไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป เสียงปู้ดป้าดดังสนั่นหวั่นไหวราวกับเสียงฟ้าผ่า

    แม้จะพยายามอดทนอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่กลับยิ่งดังขึ้นมากกว่าเดิม

    นอกจากเสียงแล้ว สิ่งที่ตามมาคือกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องรับแขก

    หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เคยเย่อหยิ่งของไท่จื่อ บัดนี้ใบหน้าสีขาวกลับกลายเป็นสีดำดั่งตับหมู

    สะใจจริงเชียว!

    “ไท่จื่อ นี่ท่าน…”

    แน่นอนว่าทุกคนได้รับรู้และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหมดแล้ว หลงชิงหานที่ได้เห็นร่างซึ่งกำลังสั่นระริกของไท่จื่อรีบลุกขึ้นขวางหน้าเขาเอาไว้

    แม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกถึงความกังวล ทว่าเมื่ออยู่ในสายตาของไท่จื่อมันกลับดูขวางหูขวางตาไปหมด

    “หลบ!”

    น้ำเสียงบ่งบอกถึงความหงุดหงิด เขาอยากจะบินกลับห้องของตัวเองในวังหลวงประเดี๋ยวนี้

    เขารู้สึกได้ว่าท้องไส้ของตนเองกำลังปั่นป่วน จากนั้นเสียงบาดหูดังกระหึ่มราวกับเสียงพสุธากัมปนาท

    เขาที่เป็นองค์ชาย ทุกการกระทำล้วนต้องเป็นไปตามระบบระเบียบทั้งสิ้น

    ทว่าเรื่องเช่นนี้เขาต้องจัดการเองเพียงคนเดียวเท่านั้น

    แต่น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองได้เลย

    เขารู้สึกว่ากระเพาะของเขากำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และต้องการจะระบายสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมาจึงจะคลายความเจ็บปวดไปได้

    แต่ทุกครั้งที่เขาปลดปล่อยมันออกมา เขามักรู้สึกเสียใจจนอยากจะฆ่าตัวตายเสียตรงนั้น

    มือ…อยากจะยกขึ้นบีบเจ้าคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าตรงหน้า ทว่าเมื่อยกขึ้นไปแล้วกลับพบว่าการทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้เขาดูแย่

    บัดนี้องค์ชายรัชทายาทแห่งต้าจิ้นกลับกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นเสียแล้ว

    “จะให้ตามหมอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ! หลินขุย รีบไปเชิญหมอหลวงที่ดีที่สุดมา เหตุใดจึงยังไม่รีบเข้ามาพยุงเจ้านายของเจ้าไปยังห้องรับแขกเล่า มัวทำอะไรอยู่!”

    หลงชิงหานร้องตะโกนด้วยความเป็นห่วง แต่ถึงกระนั้นกลับยังไม่รีบหลีกทางเดินให้ไท่จื่อ

    ขันทีประจำตัวของไท่จื่อมิเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เขารีบเข้าไปพยุงร่างของไท่จื่อ แต่กลับถูกผลักออกมา

    “ถอยไป!”

    สีหน้าของไท่จื่อดำถมึงทึง แต่ไม่รู้ว่าเพราะออกแรงจากร่างกายมากเกินไปจนลืมควบคุมร่างกายตนเองหรือเพราะสภาวะของร่างกายที่ยิ่งแย่ลง

    ดังนั้นจึงได้ยินเสียง “ปู้ดดด” ดังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันไท่จื่อคิดอยากมุดศีรษะเข้าไปในรูหนูเหลือเกิน

    “ท่านแม่ ท่านพี่ไท่จื่อเขา…”

    พยายามหักห้ามตนเองไม่ให้ยกมือขึ้นบีบจมูก หลินเมิ้งหวู่ส่งสายตารังเกียจไปทางญาติผู้พี่อย่างไท่จื่อ

    คนที่ทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้จะขึ้นเป็นจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ

    หัวใจของหลินเมิ้งหยาผลิบานไปด้วยรอยยิ้ม โชคดีที่นางตระเตรียมเครื่องหอมห้าถึงหกอันมาแขวนตัวอยู่ก่อนแล้ว

    หลงเทียนอวี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างเองก็ได้กลิ่นเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงได้รับกลิ่นเหม็นเน่าบาดจมูกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    โชคดีที่ห้องโถงใหญ่แห่งนี้มีอากาศถ่ายเทค่อนข้างดี ไม่นานกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งก็จางหายไป

    ไท่จื่อที่คิดว่าหายนะของตนเองได้ผ่านพ้นไปแล้ว หลินจงอวี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างประตูตลอดเวลาเดินโซซัดโซเซเข้ามาภายใน

    ได้เห็นเพียงใบหน้าเรียวเล็กของหลินจงอวี้แดงระเรื่อขึ้นมา

    มือเล็กยกขึ้นลูบศีรษะ ร่างกายโงนเงน ก่อนจะล้มลงไปกลางห้องโถง

    “สวรรค์โปรด นายน้อยอวี้เป็นลม!”

    ป๋ายซ่าวตะโกนร้องเสียงดังพร้อมทั้งพุ่งตัวเข้ามา มือจับผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นปิดหน้า อีกทั้งยังร้องเรียกทาสเด็กเข้ามาช่วยประคองตัวของหลินจงอวี้ขึ้นมา

    เอ๋? หลินเมิ้งหยามองดูคนร่างกายอ่อนปวกเปียกตรงหน้า รู้สึกว่านางมิได้สั่งให้เขาแสดงละครนี่นา

    หรือว่า? อาการบาดเจ็บของหลินจงอวี้กำเริบ?

    หลินเมิ้งหยาคิดจะรีบเข้าไปดูเพราะความเป็นห่วง ทว่าป๋ายจื่อกลับดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้

    หันหน้ากลับไป สิ่งที่ได้เห็นคือดวงตาที่กำลังกะพริบปริบๆให้กับตนเอง

    หลินเมิ้งหยาเข้าใจในทันที ที่แท้เสี่ยวอวี้และป๋ายซ่าวกำลังแสดงละครนี่เอง

    จริงๆ เลย…

    สมจริงเหลือเกิน!

    องค์ชายรัชทายาทสามารถตดจนคนสลบได้ หากข่าวนี้แพร่ออกไปคงกลายเป็นเรื่องตลกทั่วทั้งเมือง

    แม้พวกคนที่อยู่ภายในจะไม่พูดออกไป ทว่าพวกข้าทาสที่อยู่ด้านนอกกลับได้ยินได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน

    ใบหน้าของไท่จื่อแหลกละเอียดร่วงหล่นลงพื้นแทบจะทันที

    “ไท่…ไท่จื่อ…” สีหน้าของขันทีที่ถูกผลักจนล้มลงไปกองกับพื้นขาวซีด

    ปกติองค์ชายมักจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างดีเสมอ ทว่าวันนี้กลับเกิดเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าเมื่อกลับไปแล้วพวกเขาจะต้องถูกทรมานไม่น้อยเลย

    “เหตุใดจึงยังไม่รับมาพยุงข้าไปห้องรับแขก!”

    เสียงของไท่จื่อเล็ดลอดออกจากไรฟัน

    หากเป็นไปได้ เขาอยากจะสั่งองครักษ์รักษาพระองค์ฆ่าคนที่นี่ทิ้งเสียให้หมด!

    โดยเฉพาะเจ้าคนที่กำลังยืนขวางหน้าเขาอยู่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าหลงชิงหานกำลังมองเหตุการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องตลกขบขัน

    “เชิญไท่จื่อตามสบาย! ไม่ทราบว่าพระองค์ต้องการเกี้ยวหรือไม่? เกรงว่าหากขี่ม้ากลับไปจะไม่สะดวกนัก” เขาหลีกทางก่อนจะส่งเสียงเอ่ยถาม

    ทั้งที่เป็นประโยคแสดงออกถึงความเอาใจใส่ ทว่าเมื่อไท่จื่อได้ยิน เขากลับรู้ได้ทันทีว่ามันคือการแสดง

    หากไม่ใช่เพราะเสด็จแม่เอ่ยว่าเขาจะต้องผนึกกำลังเพื่อปกครองประเทศให้ดีแล้วละก็ เกรงว่าเขาคงฆ่าไอ้คนสารเลวตรงหน้าตายไปนานแล้ว

    โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ขึ้น

    “พระสนมเต๋อเฟยเหนียงเหนียง ท่านอ๋องได้โปรดให้อภัย หมินฟู่1ขออนุญาตไปดูแลไท่จื่อก่อน หม่อมฉันขอทูลลา”

    ซ่างกวนฉิงที่ตอนแรกคิดจะหยิบยืมอำนาจของไท่จื่อเพื่อแก้แค้นขอตัวกลับออกไปด้วยความสงสัย

    ดึงตัวหลินเมิ้งหวู่เดินตามหลังไท่จื่อออกจากห้องโถงไป

    แม้ไท่จื่อจะสาวเท้าค่อนข้างเร็ว แต่เสียงปู้ดป้าดก็ยังดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

    ทุกครั้งมักจะได้ยินเสียงไอค่อกแค่กดังมาจากองครักษ์ที่เดินตามหลังไท่จื่อ

    แต่เมื่อทุกคนเข้าใจสถานการณ์กันหมดแล้ว พวกเขาจึงมองเป็นเพียงเรื่องตลกขบขัน

    “พวกเจ้าจงออกไปให้หมด หากไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ห้ามเข้ามาภายในห้องฉถงเด็ดขาด”

    หลินเมิ้งหยานั่งตัวตรง ก่อนจะไล่เหล่าคนรับใช้ออกไป

    “อยากหัวเราะ ก็เชิญหัวเราะได้ตามสบายเลยเพคะ”

    เมื่อห้องโถงเหลือเพียงพวกเจ้านายและคนสนิทของตนเองแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงกระซิบเสียงเบา

    “อุ๊บ…ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆ…”

    คนที่มีอุปนิสัยร่าเริงอย่างหลงชิงหานหลุดขำพรืดออกมา แต่เพราะไม่อยากทำให้คนอื่นๆ ตกใจ ดังนั้นจึงปรับเสียงให้เบาลงเล็กน้อย

    ต่อมาเป็นเสียงหัวเราะของป๋ายจื่อที่อยู่ด้านหลังหลินเมิ้งหยา แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยและน้าจิ่นเย่วเองก็หลุดขำเช่นเดียวกัน

    พระสนมเต๋อเฟยที่เกร็งใบหน้าตลอดเวลากระตุกยิ้ม นิ้วเรียวยาวชี้มาทางหลินเมิ้งหยา ก่อนจะยกมือขึ้นปาดหัวตา

    “ท่านอ๋อง อย่าฝืนเลยเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาหันไปหยักยิ้มให้หลงเทียนอวี้

    นางไม่ได้โง่ เมื่อครู่ร่างกายของหลงเทียนอวี้สั่นไหวเพราะกำลังกลั้นหัวเราะ

    “เจ้านี่หนา!”

    หลงเทียนอวี้ส่ายหน้า ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก

    รอยยิ้มนี้อ่อนโยนราวสายน้ำไหล ขับให้ใบหน้าคมเข้มของเขายิ่งดูหล่อเหลาขึ้นไปอีก

    หลินเมิ้งหยาเผลอจ้องมองโดยไม่รู้ตัว นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ารอยยิ้มของชายคนหนึ่งจะสวยงามเปล่งประกายราวดอกไม้ไฟที่ถูกจุดสว่างบนท้องฟ้ายามราตรีเช่นนี้

    ความเปล่งประกายทำให้นางเผลอหยักยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางหาได้ยิ้มให้กับเรื่องตลกเมื่อครู่ แต่กลับยิ้มเพราะรอยยิ้มของเขา

    เหตุใดบนโลกใบนี้จึงมีรอยยิ้มงดงามเช่นนี้กันนะ?

    หลินเมิ้งหยาจ้องมองหลงเทียนอวี้ด้วยความหลงใหล ท่าทางหลงใหลอย่างไร้เดียงสาเช่นนี้ไม่เหมือนกับพระชายาอวี้ผู้ฉลาดปราดเปรื่องเลยแม้แต่น้อย

    “พี่สะใภ้สาม…ท่าน…ท่านเป็นอัจฉริยะชัดๆ ข้าหลงชิงหานมิเคยยอมจำนวนต่อผู้ใด ทว่าวันนี้ข้าเลื่อมใสท่านยิ่งนัก!”

    หลงชิงหานหัวเราะจนล้มลงไปกองกับพื้น เขายังคงนอนแผ่หลาอยู่ที่พื้น ท่าทางไม่เหมือนองค์ชายเลยแม้แต่น้อย

    แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยเองก็หัวเราะจนน้ำตาไหล เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นมา นางไม่อาจหยุดขำได้เลย

    ขนาดวันงานเลี้ยงฉลองวันประสูติของฮ่องเต้มีตัวตลกแต่งหน้าแต่งตาแสดงกิริยาน่าขำขันยังไม่ดูมีผลเช่นนี้เลย

    “เฮ้อ! องค์ชายหกพูดเรื่องอะไรกันเพคะ? ไท่จื่อท้องไส้ไม่ดี แต่กลับกินอาหารเข้าไปมากมาย ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ว่า…ก็ถือเป็นทุกขลาภนะเพคะ เมื่อปล่อยก๊าซเสียในร่างกายออกมาจนหมดก็จะสบายตัวขึ้น”

    หลินเมิ้งหยาเอ่ยด้วยความสัตย์จริง อันที่จริงนางมิได้ใส่ยาอะไรลงไปเลยแม้แต่น้อย

    แต่เพราะนางเคยใช้ยาพิษกับไท่จื่อคราวที่แล้ว ดังนั้นนางจึงพบว่ากระเพาะอาหารของไท่จื่อทำงานไม่ปกติเพราะถูกบำรุงมาอย่างหนัก

    ทว่านางใส่ยากระตุ้นเข้าไปในเหล้าอีกเล็กน้อยเท่านั้น คนที่มักดื่มเหล้าเป็นประจำจะไม่รู้สึกอะไร ผิดกับคนอย่างไท่จื่อ เขามีก๊าซเสียอยู่ในตัวค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงผายลมออกมาไม่หยุดเช่นนั้น

    ยิ่งไปกว่านั้น ยาถอนพิษที่นางใส่ให้กับไท่จื่อทำหน้าที่เพียงขับสารพิษในร่างกายให้ออกมาเร็วขึ้นเท่านั้น

    เมื่อถูกใช้มากหน่อย ประสิทธิภาพจึงดีเช่นนี้

    เพียงแค่…กลิ่นที่ออกมายากที่จะรับได้

    “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชิงหานเข้าใจแล้ว ต่อจากนี้ไปถ้าหากโกรธเคืองพี่สาม ชิงหานคงมิกล้ายุ่งวุ่นวายกับพี่สะใภ้สามอย่างแน่นอน หากถูกพี่สะใภ้สามเอาคืนขึ้นมา ข้ายอมฆ่าตัวตายเสียยังจะดีกว่า”

    เพราะเหตุนี้พี่สามจึงบอกเขาว่าอย่าไปยุ่งกับพี่สะใภ้สามสินะ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้

    ขณะนี้คนที่ถูกเรียกว่าพี่สะใภ้สามกำลังถูกชื่นชมโดยไม่รู้ตัว

    แม้แต่ไท่จื่อยังถูกจัดการเสียราบคาบ ผู้หญิงคนนี้จะใช้คำว่า “อำมหิต” มาจำกัดความได้ไหมนะ?

    “หยาเอ๋อร์ เจ้ากระทำการซุกซนขนาดนี้ หากเกิดเรื่องอะไรกับไท่จื่อขึ้นมา อวี้เอ๋อร์จะมิเป็นไรกระนั้นหรือ?”

*************************

1 หมินฟู่ คือสรรพนามที่ภรรยาของแม่ทัพใช้แทนตนเอง